คำโกหกก็เปรียบเสมือนก้อนหิมะ ยิ่งกลิ้งก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
สืออีเหนียงบ่นสวีลิ่งอี๋สองสามประโยคในใจ จากนั้นก็หยิบชามสีเขียวเล็กๆ ในมือของไท่ฮูหยินมาดื่มจนหมด “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรมาก แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
โกหกนาง…สืออีเหนียงไม่สบายใจ
ไท่ฮูหยินไม่พูดไม่จา นางยิ้มแล้วยื่นชามน้ำสะอาดให้นางล้างปาก ป้าตู้ยื่นมือออกไปหยิบชามล้างปากในมือของสาวใช้ หู่พั่วตกใจรีบหยิบมันมาไว้ที่ตัวเองแทนแล้วยื่นไปที่ปากของสืออีเหนียง
“…ข้าให้พ่อบ้านไป๋ไปเชิญหมอหลวงหลิวของสำนักหมอหลวงมาแล้ว” ไท่ฮูหยินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้สืออีเหนียงที่พึ่งจะล้างปากเสร็จเช็ดปาก “เจ้าห่มผ้านอนหลับพักผ่อนเสียเถิด”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ตอนเย็นลมหนาวแรง ท่านรีบกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าก็แค่เป็นหวัดนิดหน่อย ดื่มซุปขิงไปแล้ว แล้วท่านยังเชิญหมอหลวงหลิวมาให้ข้า มีหู่พั่วคอยดูแล ข้าไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็มองไปที่ฮูหยินสามและฮูหยินห้าที่มาเยี่ยมนางกับไท่ฮูหยินด้วยสายตาที่รู้สึกผิด “ลำบากพี่สะใภ้สามและน้องสะใภ้ห้าแล้ว”
“พี่สะใภ้สี่เกรงใจพวกเราเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินห้ายิ้ม “สะใภ้อย่างพวกเรา จะไม่เป็นห่วงกันได้เช่นไร” แต่สายตากลับมองของตกแต่งในห้อง เห็นม่านผืนใหญ่ โต๊ะเก้าอี้สีดำทั้งชุด เบาะรองนั่งสีเหลือง ผ้าคลุมเก้าอี้ มุมกำแพงและบนโต๊ะตกแต่งด้วยดอกไม้ต่างๆ เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน เรียบง่ายไม่หรูหรา นางก็แอบพยักหน้า
ฮูหยินสามก็พูดด้วยความเกรงใจ “เจ้าพักผ่อนเถิด อยากทานหรือดื่มสิ่งใดก็บอกข้า”
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณนาง
แต่สายตาของนางกลับถูกแจกันเครื่องเคลือบดินเผาสีเขียวบนโต๊ะดึงดูด
ปีใหม่กลับไปสกุลเดิมเคยเห็นแจกันเช่นนี้ที่เรือนของพี่สะใภ้ใหญ่สกุลเดิม บอกว่าแกะสลักจากหิน ราคาสองร้อยตำลึง เทียบเท่ากับสร้อยอัญมณี คิดไม่ถึงว่า สืออีเหนียงพึ่งจะแต่งเข้ามาได้ไม่เท่าไร ก็เรียนรู้ที่จะทำตัวสูงส่งเช่นนี้แล้ว แต่แค่ไม่รู้ว่าแจกันเครื่องเคลือบดินเผาสีเขียวชิ้นนี้คือสินเดิมจากสกุลหลัวหรือว่าไท่ฮูหยินมอบให้?
คิดเช่นนี้ นางก็เหลือบไปมองไท่ฮูหยิน
เห็นไท่ฮูหยินกำลังแตะหน้าผากของสืออีเหนียงเพื่อวัดอุณหภูมิ เห็นว่าทุกอย่างปกติ นางก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “โชคดีที่ไม่มีไข้” นั่งตัวตรงแล้วกวาดสายตา เห็นว่าในห้องมีแต่สาวใช้ไม่มีท่านป้าเลยสักคน จึงเอ่ยถามว่า “ป้าเถาเล่า”
หู่พั่วมองไปที่สืออีเหนียง เห็นสืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าไม่อยากทำให้นางตกใจเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินสืออีเหนียงบอกว่าตกใจ นางก็เลิกคิ้ว เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ว่าโรคร้ายก็เริ่มจากการเป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ เจ้าอย่าได้ประมาทเชียว” จากนั้นก็พูดว่า “ช่วงนี้เจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ต้องไปคารวะข้าแล้ว ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์และเจี้ยเกอนอนที่เรือนของข้าก่อน จะได้ไม่รบกวนเจ้าพักผ่อน”
โกหกนางแล้วยังต้องรบกวนนางดูแลเด็กๆ อีก
สืออีเหนียงรู้สึกผิด นางรีบพูดว่า “ท่านแม่ ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ แค่เป็นหวัด ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น บางทีข้าทานยาสองถ้วยก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
พูดถึงตรงนี้ นางก็บ่นสวีลิ่งอี๋ในใจอีกครั้ง
เหตุใดถึงต้องบอกว่านางเป็นหวัด ทำไมไม่บอกว่านางไม่สบายท้อง โชคดีที่ยุคนี้รักษาโรคอะไรก็ใช้ยาจีน หากใช้ยาตะวันตก...ยังคิดไม่ออกว่าจะแก้ตัวเช่นไร
แต่ปากกลับพูดว่า “หากพรุ่งนี้ยังไม่ดีขึ้น ค่อยให้พวกเขาไปนอนที่เรือนของท่านก็ไม่สายเจ้าค่ะ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ยืนฟังอย่างรู้ความอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยินก็เดินเข้ามาพูดว่า “ท่านย่าเจ้าคะ ให้น้องห้าอยู่เป็นเพื่อนจุนเกอ ข้าคอยรับใช้ท่านแม่อยู่ที่นี่ดีกว่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามและฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็บอกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ช่างกตัญญูเสียจริง คนหนึ่งพูดว่า “สมแล้วที่เจินเจี่ยเอ๋อร์โตมากับท่านแม่”
เหวินอี๋เหนียงที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องกับเว่ยจื่อ เหยาหวงและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็เหลือบมองไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าจะดึงเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามาเกี่ยวข้อง
นางพลิกตัวด้วยความไม่สบายใจ “ข้าคิดว่าไม่ต้องหรอก อีกสองวันฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็จะมาเป็นแขกที่เรือนของเรา เจ้าดูแลนางให้ดีก็พอแล้ว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “นางไม่สบายทำให้เจ้าเป็นกังวล เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี” นางมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ชื่นชม “แต่ท่านแม่ของเจ้าเวียนศรีษะ ต้องรักษาตัวเงียบๆ แล้วอีกอย่าง อีกสองวันฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็จะมาแล้ว เจ้าช่วยท่านแม่ของเจ้าดูแลแขก ก็เป็นการแสดงความกตัญญูเหมือนกัน”
มาเยี่ยมลูกสะใภ้ที่ไม่สบายด้วยตัวเอง แต่กลับไม่ยอมให้หลานสาวอยู่ดูแลลูกสะใภ้
บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความแปลกใจ
ไท่ฮูหยินที่อยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคนก็ยืนขึ้น “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด ให้สืออีเหนียงได้พักผ่อน”
ฮูหยินสามและฮูหยินห้าที่มาเยี่ยมนางกับไท่ฮูหยินก็รีบลุกขึ้นยืน สืออีเหนียงก็พยายามจะลุกขึ้นแล้วไปส่งพวกนางออกไปที่ประตู หลังจากนั้นนางก็สูดหายใจลึก
“ท่านโหวนี่ก็จริงๆ เลย” นางอดไม่ได้ที่จะบ่นสวีลิ่งอี๋ “เหตุใดถึงไม่ห้ามท่านแม่เอาไว้ ทำเช่นนี้ไม่ดีเอาเสียเลยเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาก็คิดไม่ถึงว่าท่านแม่จะมาเยี่ยมนางด้วยตนเอง
กำลังจะเอ่ยปากพูดแก้ตัว หมอหลวงหลิวก็มาพอดี
สืออีเหนียงเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ดูสิว่าท่านโหวจะพูดเช่นไร”
ปล่อยม่านเตียงลง ใช้ผ้าวางที่ข้อมือขวาแล้วให้หมอหลวงหลิวจับชีพจร
สวีลิ่งอี๋พูดอยู่ข้างๆ “นางเป็นหวัด ท่านคิดว่าต้องพักผ่อนกี่วันถึงจะหาย?”
หมอหลวงหลิวก็เป็นคนฉลาด ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่จับชีพจรข้างซ้ายแล้ว เขาเดินไปที่ห้องโถงกับสวีลิ่งอี๋ เขียนใบสั่งยาแล้วพูดว่า “ต้องพักผ่อนสักเจ็ดแปดวัน แต่หากได้พักผ่อนสิบวันหรือครึ่งเดือนก็จะดีกว่า หากไม่ได้จริงๆ ก็ต้องสี่ห้าวัน”
สืออีเหนียงที่อยู่ในห้องได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม
จู่ๆ ก็คิดว่ายานี้คงจะดื่มไม่ยาก…
*****
ในยามนี้ มีร่างคนคนหนึ่งแอบเข้าไปในเรือนของหยวนเหนียงอย่างเงียบๆ
บนท้องฟ้าเมีเพียงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ในห้องมืดมนมองเห็นไม่ชัดเจนมากนัก แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคกับเงาของคนคนนั้นเลยแม้แต่น้อย เดินเข้าไปในเรือนหลักของหยวนเหนียงอย่างคุ้นเคย
แจกันหยกในห้องเปล่งประกาย
แต่คนคนนั้นกลับไม่มองเลยแม้แต่น้อย เดินเข้าไปในห้องของหยวนเหนียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
“ฮูหยิน วันนี้บ่าวทำให้สืออีเหนียงคนนั้นน้อยใจแต่ไม่กล้าพูดออกมา” ลูบหมอนใบใหญ่บนหัวเตียง “บ่าวรู้ว่าไม่ควรทะเลาะกับนางตอนนี้ เพราะว่าจุนเกอยังเด็ก นางยังไม่มีบุตรของตัวเอง เรายังคงต้องพึ่งพานาง แต่ว่าบ่าวไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านไม่รู้ว่านางกล้าบอกให้หู่พั่วชักสีหน้าใส่บ่าว ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน สาวใช้พวกนั้นก็ไม่เคารพข้าเมื่อแต่ก่อนแล้ว หากบ่าวไม่สู้ คนพวกนั้นคงจะเหยียบย่ำบ่าว บ่าวถูกเหยียบย่ำไม่เป็นไร แต่หากถึงตอนนั้นบ่าวใช้งานสาวใช้และท่านป้าไม่ได้สักคน บ่าวจะปกป้องจุนเกอได้เช่นไรเล่าเจ้าคะ จุนเกอก็จะต้องอยู่ในเงื้อมมือของสืออีเหนียงคนนั้น แต่ว่า…ท่านไม่ต้องเป็นห่วง หากสืออีเหนียงอยากจะจัดการบ่าว นางต้องมีอำนาจและสิทธิ์ ก่อนหน้านี้บ่าวแอบไปรายงานข่าวที่ตรอกกงเสียน เป็นความผิดของบ่าว นางลงโทษบ่าวบ่าวไม่ว่าอะไร แต่ความผิดนี้บ่าวไม่มีทางทำผิดอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอนเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างไม่พอใจ “ฮูหยิน บ่าวคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตรอกกงเสียนจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้…”
เสียงพึมพำเบาๆ และเสียงถอนหายใจอย่างเอือมระอาสะท้อนอยู่ในเรือนที่เงียบสงัด
*****
“เจ้าบอกว่าอะไรนะ” เฉียวเหลียนฝังนั่งตัวตรง “ไท่ฮูหยินไปเยี่ยมนางด้วยตัวเอง?”
ซิ่วหยวนพยักหน้า “บ่าวเห็นท่านโหวออกมาส่งไท่ฮูหยินเองกับตาเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังกัดริมฝีปาก สีหน้าของนางซับซ้อน
“ท่านคิดว่า ท่านพึ่งจะตั้งครรภ์ นางก็ไม่สบายขึ้นมา…” ซิ่วหยวนพูดเบาลง “หรือว่านางไม่พอใจ?”
“นางต้องไม่พอใจแน่นอน!” เฉียวเหลียนฝังสะบัดมืออย่างไม่พอใจ “แต่นางไม่พอใจแล้วอย่างไรเล่า ก็ยังต้องขอให้ไท่ฮูหยินส่งท่านป้ามาดูแลข้าสองคนอยู่ดี ข้าไม่เห็นว่านางจะกล้าทำสิ่งใด” พูดจบนางก็ยิ้มมุมปาก ครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “นางไม่สบาย เช่นนั้นท่านโหว…จะไปนอนที่เรือนไหน”
สายตาของซิ่วหยวนมืดมนลง นางพูดเบาๆ “นอนที่เรือนสืออีเหนียงเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังขมวดคิ้ว “นอนที่เรือนของนางเช่นนั้นหรือ” นางอดไม่ได้ที่จะจับท้องของตัวเองเบาๆ “เจ้าคิดว่า หากข้าไม่สบาย ไท่ฮูหยินและท่านโหวจะ…” นางพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองซิ่วหยวน สายตาเป็นประกลายท่ามกลางแสงไฟ
ซิ่วหยวนตกใจ “ไอ๊หยา คุณหนูของบ่าว ท่านอย่าคิดเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ…”
“ข้ารู้” เฉียวเหลียนฝังยิ้มแล้วขัดจังหวะนาง “ข้าก็แค่พูด” ก้มหน้ามองลงที่ท้องของตัวเอง “นี่คืออนาคตของข้า ข้าจะทำบุ่มบ่ามได้อย่างไร”
ซิ่วหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลัวว่านางจะคิดอะไรฟุ้งซ่านอีกจึงเกลี้ยกล่อมว่า “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินสามก็บอกแล้วว่า ที่ท่านโหวไม่นอนที่เรือนของท่านก็เพราะว่าเป็นกฎ รอให้เด็กอายุครึ่งขวบแล้ว ร่างกายของท่านกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว ท่านโหวก็เป็นเหมือนเดิมเจ้าค่ะ…”
ซิ่วหยวนที่อยู่ภายใต้แสงไฟ คิ้วที่สวยงาม ริมฝีปากสีแดง สวยงามราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ
เฉียวเหลียนฝังเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ
เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างไม่รู้ตัว สาวน้อยคนนี้โตเป็นแม่นางที่หน้าตาสวยงามแล้ว
นางยิ้มอย่างแผ่วเบา “ซิ่วหยวน เจ้าไปสืบมาว่าสืออีเหนียงจะรับใครเป็นสาวใช้ห้องข้าง”
*****
สืออีเหนียงได้ยินเสียงลมหายใจของสวีลิ่งอี๋ที่นอนอยู่ข้างๆ นางก็พลิกตัวเบาๆ
ทั้งๆ ที่นางเหนื่อยล้ามาก แต่กลับนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ในหัวว่างเปล่า แต่กลับสงบสติอารมณ์ไม่ได้
ในค่ำคืนเงียบสงบที่ยาวนาน เตียงที่กว้างกว่าหนึ่งฟุตอันว่างเปล่าทำให้นางรู้สึกหนาว
หดตัวเข้าไปในผ้าห่ม
ก็ยังคงรู้สึกหนาว
หดตัวอีกครั้ง…
จนปลายนิ้วเท้าสามารถแตะขอบเตียงได้
ครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็แตะขอบเตียงอีก
ผ่านไปลมหายใจหนึ่ง นางก็แตะอีกครั้ง
ราวกับเจอเรื่องสนุกๆ…
ทันใดนั้นก็มีเสียงถอนหายใจที่แผ่วเบาดังออกมาจากด้านบนหัว ผ้าห่มขยับ มุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น
“รีบนอน”
“ข้าคิดว่าท่านหลับไปแล้ว” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด “ข้าทำให้ท่านตื่นหรือเจ้าคะ”
เมื่อก่อนตอนที่อยู่หอในมหาวิทยาลัย ทุกคนลงความเห็นเกี่ยวกับนิสัยของคนอื่นที่ทุกคนไม่ชื่นชอบ นิสัยแรกก็คือ ไม่เคารพนิสัยการใช้ชีวิตของคนอื่น นางจำได้เสมอ
สวีลิ่งอี๋ลูบผมที่ดำขลับของนาง เขาตอบไม่ตรงคำถามว่า “กำลังคิดอะไรอยู่”
“ไม่ได้คิดอะไรเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงหาตำแหน่งที่สบายผ่อนคลายร่างกายของตัวเอง “ข้าแค่นอนไม่หลับ!”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “หรือว่าจะอ่านหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจว?” เขาพูดด้วยความลังเล
สืออีเหนียงตกใจ
นางนึกถึงตอนที่พึ่งแต่งงานกันที่ตัวเองเคยใช้หนังสือเรื่องเก้าแคว้นแห่งต้าโจวมาแนะนำสวีลิ่งอี๋…จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ลุกออกไปจุดตะเกียง แล้วหยิบหนังสือมา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณเขา เปิดหนังสือออก เอนตัวลงบนหมอนผิงใบใหญ่สีน้ำทะเลแล้วเริ่มอ่านหนังสือ