เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 241 แผนการซื่อสัตย์และความภักดีของพ่อบ้านเฟิง (1)

ตอนที่ 241 แผนการซื่อสัตย์และความภักดีของพ่อบ้านเฟิง (1)

เสียงนี้ช่างอ่อนโยน สง่างาม ใจเย็นน่าประทับใจ เหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่มีรอยยิ้มที่น่ากลัวเมื่อครู่นี้เลย

นางข้าหลวงที่ยืนอยู่ข้างหลังฮองเฮาสองคนก้าวเข้ามาช่วยพยุงนางพร้อมๆกัน “บ่าวจะพาเสด็จเข้าห้องบรรทมเพคะ”

นางข้าหลวงทั้งสองคนพยุงฮองเฮาเข้าไปพักผ่อนในห้องบรรทม กงหมัวมัวปาดเหงื่อบนหน้าผาก นางข้าหลวงที่อยู่ข้างๆ ก็โบกมือ

ไม่ต้องให้นางพูดอะไร นางข้าหลวงคนนั้นก็รีบเดินเข้าไปที่มุมมืดของตำหนักคุนหนิง แล้วรีบออกมาจากห้องมืดที่อยู่ทางด้านนั้น หยิบผ้าสีดำมาคลุมกรงนกนั้นไว้ หยิบนกแก้วตัวเมื่อครู่นี้ออกไป แล้วดึงผ้าสีดำที่คลุมกรงที่อยู่ในมือออกไปแขวนไว้ที่หน้าระเบียง

พอเอาผ้าสีดำที่คลุมกรงนกออก นกตัวนั้นก็บินไปมาอย่างมีความสุขอยู่ในกรง

นี่คือกรงนกแบบเดียวกันกับที่เอาออกไป นกแก้วที่อยู่ด้านในก็อยู่เหมือนนกแก้วตัวเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด

ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนก็มองไม่ออก ว่ากรงทั้งสองกรงนี้แตกต่างกันตรงไหน และก็มองไม่ออกว่านกแก้วที่กระโดดไปมาอยู่ในกรงแตกต่างกับนกแก้วตัวเมื่อครู่นี้อย่างไร

นางข้าหลวงคนนั้นแขวนกรงนกเรียบร้อยแล้ว ก็มองดูนกแก้วที่ไร้เดียงสาในกรงอย่างสงสาร หยิบนกที่ตายแล้วในมือส่งให้กับนางข้าหลวงคนหนึ่งที่เข้ามา แล้วก็นำกรงเปล่ากลับไปวางในห้องมืดนั้นอีกครั้ง

คนทั่วไปล้วนพูดว่าฮองเฮาทรงมีพระเมตตา เลี้ยงดูนกแก้วอย่างดี เล่นกับมันทุกวัน

ล้วนบอกว่านกแก้วตัวนี้ของฮองเฮานั้นเป็นนกที่โชคดีที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่อาศัยอยู่ในกรงทอง แต่สามารถอยู่ข้างกายสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าได้ อีกทั้งทุกวันยังมีคนคอยดูแลอีก

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า นกแก้วตัวที่ตายเมื่อครู่นี้ที่จริงแล้วมีชีวิตอยู่ที่ระเบียงได้เพียงหนึ่งวัน เมื่อวานหลังจากที่หัวหน้าขันทีจากไปได้ไม่นานก็เพิ่งจะเปลี่ยนตัวใหม่เข้าไป เป็นฉากที่คล้ายกับเมื่อครู่นี้

ไม่ว่าใครก็ล้วนคิดไม่ถึง ในห้องมืดที่อยู่ตรงมุมของตำหนักคุนหนิงนั้นเต็มไปด้วยกรงนก ที่แตกต่างมีเพียง กรงนกบางกรงนั้นคลุมด้วยผ้า และบางกรงก็ว่างเปล่า

……

ณ ตำหนักเหยียนชิ่งที่อยู่ห่างจากตำหนักคุนหนิงไม่ไกล

ในห้องด้านในวัง มีสตรีผู้สง่างามคนหนึ่งเอนกายอยู่บนเตียงกุ้ยเฟย

ผมยาวดำขลับถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยเมฆ สวมใส่ชุดกระโปรงเอวสูงลายดอกอิงเถา[1]ที่อก ด้านล่างกระโปรงเป็นลายดอกกุหลาบแดง นางเอนหลังพิงเตียง กระโปรงพับลงมาเป็นชั้นๆ ทำให้นางดูเหมือนกับว่ากำลังนอนอยู่บนหมู่มวลผกา

ในเวลานี้ก็มีนางข้าหลวงยกน้ำดอกกุหลาบเข้ามาใช้ชโลมมือนางให้ชุ่มชื้น นางยื่นมือซ้ายออกไป มือนั้นอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก ผิวก็เนียนขาวราวกับหยก ทำให้คนมองดูรู้สึกหลงรัก

นางข้าหลวงคนนั้นคุกเข่าอยู่ที่พื้น ใช้น้ำกุหลาบนวดให้นาง

มือข้างหนึ่งของสตรีผู้นั้นให้นางข้าหลวงนวด ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ใช้ประคองศีรษะโดยใช้ศอกค้ำยันเอาไว้ ตาหงส์คู่นั้นที่งดงามมองคล้อยต่ำราวกับเมฆหมอกลอยละล่อง ยิ่งทำให้รู้สึกสูงส่งและลึกลับเข้าไปอีก มีริ้วรอยบางๆ ที่หางตา แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของนางทั้งหมดด้อยลงไปเลย ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ให้นางขึ้นอีกเล็กน้อย เป็นเสน่ที่สง่างาม

ได้ยินเสียงนกร้องดังมาจากตำหนักคุนหนิงอยู่แว่วๆ นางจึงยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ฮองเฮาไม่ได้ออกจากตำหนักคุนหนิงของนางมาเลย ดูท่านางคงจะอารมณ์ไม่ดี ก่อนหน้านี้ ทุกวันนางจะไปเดินเล่นอยู่ในสวน เพื่อแสดงอำนาจของนางที่เป็นถึงฮองเฮา”

นางยิ้มออกมา ทว่าในดวงตาของนางกลับไม่มีรอยยิ้มเลย เห็นได้ชัดว่าแววตาของนางราวกับจะเปลี่ยนเป็นบ่อน้ำแข็งลึก มีเพียงความเย็นชาและเฉยชาไม่มีที่สิ้นสุด

สตรีผู้นี้คืออวี้กุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมาสิบกว่าปีแล้ว

หนีหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยตอบ “กราบทูลกุ้ยเฟย ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้เต๋อกงกงขันทีคนสนิทของฝ่าบาทไปเข้าเฝ้าฮองเฮา จากนั้นก็ได้ยินเสียงนกร้องดังมาจากตำหนักของฮองเฮาดังมาก ดังพอๆ กับเสียงร้องที่ได้ยินเมื่อครู่นี้เพคะ”

อวี้กุ้ยเฟยยิ้มตอบ “นกตัวนี้เข้าใจอารมณ์ของคนจริงๆ ตอนที่เจ้านายอารมณ์ไม่ดี มันยังร้องออกมาสองครั้ง”

เสียงหัวเราะนี้ต่างจากความเฉยชาเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูหมิ่นเย้ยหยัน

หนีหมัวมัวกล่าวต่ออีกว่า “ได้ยินมาว่านกตัวนี้นำมาจากบ้านของมารดานาง เลี้ยงดูในวังมาได้สิบห้าปีแล้ว นกตัวนี้เข้าใจอารมณ์ของคน อายุก็ยืนยาวจริงๆ”

อวี้กุ้ยเฟยกล่าว “ตราบใดที่ฮองเฮาไม่ให้มันตาย มันก็ไม่กล้าตายหรอก

ตอนที่ฝ่าบาทอภิเษกกับฮองเฮาเขายังเป็นองค์ชายอยู่ ส่วนอวี้กุ้ยเฟยเข้าวังมาหลังจากที่ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว แม้ว่าจะได้อยู่กับฝ่าบาทน้อยกว่าฮองเฮาไม่กี่ปี แต่ก็อยู่ในวังแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้ว คนอื่นๆ อาจไม่รู้ความลับของนกนั่น แต่นางอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีมีหรือที่จะไม่รู้

เพียงแต่ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศ ถึงเปิดเผยเรื่องนี้มันก็ไม่มีความหมายอะไร ความทุกข์ตรมที่แสนยาวนานในวัง วันที่ยาวนานแสนน่าเบื่อ ใครบ้างไม่มีงานอดิเรกที่พิเศษ ก็แค่ฆ่านกเองมิใช่หรือ

นางก็กล้าแค่ฆ่านกเท่านั้น

นางแซ่เซี่ยผู้นี้นับวันก็ยิ่งไม่มีอนาคต

ไทเฮาเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักสือหนิงไม่ออกมา ฮองเฮาเพียงกล้าฆ่านกในตำหนักของตนเองอย่างสนุกสนานเท่านั้น หากให้เวลานาง สตรีที่จะมีเกียรติสูงสุดในวังก็ต้องเป็นนางแน่ ตราบใดที่นางให้กำเนิดองค์ชายแก่ฝ่าบาทอีกคนได้

ไม่น่าแปลกใจเลยที่บุตรีตระกูลเซี่ยจะไม่สมหวัง! ได้ยินมาว่า พระมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันถูกไทเฮาพระราชทานความตายให้ ตระกูลเซี่ยจะปล่อยให้สตรีผู้สูงศักดิ์กว่าตระกูลของตนปรากฎตัวในวังได้อย่างไร

ทว่า พวกเขากลับไม่ได้คิดถึงฝ่าบาท ฝ่าบาทจะให้คนที่บีบให้มารดาแท้ๆ ของเขาต้องตายสบายใจไร้กังวล ใช้อำนาจในทางที่ผิดอยู่ในวังหลังได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงไปสวดพระคัมภีร์เข้าสู่วิถีธรรมดีที่สุด…

ฮองเฮาไม่มีพระโอรส นางเองก็ไม่มี พระโอรสของฝ่าบาทไม่ได้มีกันง่ายๆ อย่างไรก็ตาม ฮองเฮาจะไม่มีวันมีพระโอรส เรื่องนี้ถ้าพวกข้าหลวงใช้ใจคิดถึงความคิดของฝ่าบาททุกคนก็จะล้วนเข้าใจดี แต่นางกลับยังมีโอกาส

องค์หญิงผู้นั้นที่ติดฮองเฮามาก ถือกำเนิดมาในตอนที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ในตอนนั้นฝ่าบาทจำเป็นจะต้องยืมอำนาจของตระกูลเซี่ยเพื่อขึ้นสู่ราชบัลลังก์ จึงให้นางมีได้

จวบจนถึงบัดนี้ ฝ่าบาทก็ครองราชย์มาสิบกว่าปีแล้ว แต่มีพระโอรสเพียงไม่กี่คน มีองค์ชายทั้งหมดสามคน องค์หญิงหกคน รวมกันแล้วมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ยังเทียบไม่ได้กับจำนวนบุตรชายของข้าหลวงระดับสูงหรือของตระกูลขุนนางที่มีอยู่มากมายนัก

องค์หญิงอวี้เหอของฮองเฮาอายุสิบสามปีแล้ว องค์หญิงหนิงเซียงของนางก็ใกล้จะอายุสิบสองแล้ว องค์หญิงหนิงถันของนางก็จะอายุหกปีแล้ว เช่นนี้ ผู้ที่มีบุตรอยู่ในวังถึงสองคน ก็มีเพียงนาง แม้ว่าทั้งสองคนล้วนเป็นบุตรี แต่ก็ไม่มีคนในวังคนไหนที่กล้าดูแคลนนาง

ภูมิหลังของครอบครัวนางไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ทำให้ฝ่าบาทเกิดความแคลงใจ และไม่ถูกฝ่าบาทละเลยเช่นกัน…

ส่วนองค์ชายทั้งสาม องค์ชายจงชิงมีอายุได้สิบเอ็ดปีแล้ว มารดาของเขาจากไปแล้ว ฮองเฮามีพระโอรสไม่ได้จึงคอยดูแลองค์ชายจงชิงเป็นอย่างดี ส่วนองค์ชายอีกสองคน องค์ชายมู่และองค์ชายหลี มารดาไม่เป็นที่โปรดปราน ครอบครัวฝั่งแม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…

อวี้กุ้ยเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางข้าหลวงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก็ได้บำรุงมือซ้ายให้นางเสร็จแล้ว และก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวห่อเอาไว้ “มือซ้ายห่อเรียบร้อยแล้วเพคะ เหนียงเหนียงโปรดส่งมือขวามาให้บ่าวด้วยเพคะ”

เสียงของนางข้าหลวงได้ดึงสติของอวี้กุ้ยเฟยกลับคืนมา นางลุกขึ้นนั่งยื่นอีกมือให้นางข้าหลวง และได้กล่าวกับหนีหมัวมัวอีกครั้ง “รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไรที่ทำให้นกของฮองเฮาร้องเสียงดังอย่างนั้น”

หนีหมัวมัวกล่าวอย่างนอบน้อม “บ่าวได้ยินว่าเพิ่งจะมีคนไปบอกกงหมัวมัวว่า ท่านหญิงซูซูแห่งจวนจิ่งชินอ๋องส่งเทียบเชิญไปงานชมดอกท้อให้กับคุณหนูใหญ่มั่วแห่งจวนกั๋วกงเพคะ”

อวี้กุ้ยเฟยรับการดูแลจากนางข้าหลวงคนนั้นไปพลาง แล้วก็ยิ้มบางๆ ไปพลาง “มั่วเชียนเสวี่ยผู้นั้นยังมีความสามารถอยู่บ้าง! มีชีวิตออกมาจากพระตำหนักของฮองเฮาได้ อีกทั้งยังมีชีวิตออกมาจากตำหนักจินหลวนเป่าของฝ่าบาทได้อีก ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

[1] ดอกอิงเถา ดอกซากุระ

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท