เสียงนี้ช่างอ่อนโยน สง่างาม ใจเย็นน่าประทับใจ เหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่มีรอยยิ้มที่น่ากลัวเมื่อครู่นี้เลย
นางข้าหลวงที่ยืนอยู่ข้างหลังฮองเฮาสองคนก้าวเข้ามาช่วยพยุงนางพร้อมๆกัน “บ่าวจะพาเสด็จเข้าห้องบรรทมเพคะ”
นางข้าหลวงทั้งสองคนพยุงฮองเฮาเข้าไปพักผ่อนในห้องบรรทม กงหมัวมัวปาดเหงื่อบนหน้าผาก นางข้าหลวงที่อยู่ข้างๆ ก็โบกมือ
ไม่ต้องให้นางพูดอะไร นางข้าหลวงคนนั้นก็รีบเดินเข้าไปที่มุมมืดของตำหนักคุนหนิง แล้วรีบออกมาจากห้องมืดที่อยู่ทางด้านนั้น หยิบผ้าสีดำมาคลุมกรงนกนั้นไว้ หยิบนกแก้วตัวเมื่อครู่นี้ออกไป แล้วดึงผ้าสีดำที่คลุมกรงที่อยู่ในมือออกไปแขวนไว้ที่หน้าระเบียง
พอเอาผ้าสีดำที่คลุมกรงนกออก นกตัวนั้นก็บินไปมาอย่างมีความสุขอยู่ในกรง
นี่คือกรงนกแบบเดียวกันกับที่เอาออกไป นกแก้วที่อยู่ด้านในก็อยู่เหมือนนกแก้วตัวเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด
ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนก็มองไม่ออก ว่ากรงทั้งสองกรงนี้แตกต่างกันตรงไหน และก็มองไม่ออกว่านกแก้วที่กระโดดไปมาอยู่ในกรงแตกต่างกับนกแก้วตัวเมื่อครู่นี้อย่างไร
นางข้าหลวงคนนั้นแขวนกรงนกเรียบร้อยแล้ว ก็มองดูนกแก้วที่ไร้เดียงสาในกรงอย่างสงสาร หยิบนกที่ตายแล้วในมือส่งให้กับนางข้าหลวงคนหนึ่งที่เข้ามา แล้วก็นำกรงเปล่ากลับไปวางในห้องมืดนั้นอีกครั้ง
คนทั่วไปล้วนพูดว่าฮองเฮาทรงมีพระเมตตา เลี้ยงดูนกแก้วอย่างดี เล่นกับมันทุกวัน
ล้วนบอกว่านกแก้วตัวนี้ของฮองเฮานั้นเป็นนกที่โชคดีที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่อาศัยอยู่ในกรงทอง แต่สามารถอยู่ข้างกายสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าได้ อีกทั้งทุกวันยังมีคนคอยดูแลอีก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า นกแก้วตัวที่ตายเมื่อครู่นี้ที่จริงแล้วมีชีวิตอยู่ที่ระเบียงได้เพียงหนึ่งวัน เมื่อวานหลังจากที่หัวหน้าขันทีจากไปได้ไม่นานก็เพิ่งจะเปลี่ยนตัวใหม่เข้าไป เป็นฉากที่คล้ายกับเมื่อครู่นี้
ไม่ว่าใครก็ล้วนคิดไม่ถึง ในห้องมืดที่อยู่ตรงมุมของตำหนักคุนหนิงนั้นเต็มไปด้วยกรงนก ที่แตกต่างมีเพียง กรงนกบางกรงนั้นคลุมด้วยผ้า และบางกรงก็ว่างเปล่า
……
ณ ตำหนักเหยียนชิ่งที่อยู่ห่างจากตำหนักคุนหนิงไม่ไกล
ในห้องด้านในวัง มีสตรีผู้สง่างามคนหนึ่งเอนกายอยู่บนเตียงกุ้ยเฟย
ผมยาวดำขลับถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยเมฆ สวมใส่ชุดกระโปรงเอวสูงลายดอกอิงเถา[1]ที่อก ด้านล่างกระโปรงเป็นลายดอกกุหลาบแดง นางเอนหลังพิงเตียง กระโปรงพับลงมาเป็นชั้นๆ ทำให้นางดูเหมือนกับว่ากำลังนอนอยู่บนหมู่มวลผกา
ในเวลานี้ก็มีนางข้าหลวงยกน้ำดอกกุหลาบเข้ามาใช้ชโลมมือนางให้ชุ่มชื้น นางยื่นมือซ้ายออกไป มือนั้นอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก ผิวก็เนียนขาวราวกับหยก ทำให้คนมองดูรู้สึกหลงรัก
นางข้าหลวงคนนั้นคุกเข่าอยู่ที่พื้น ใช้น้ำกุหลาบนวดให้นาง
มือข้างหนึ่งของสตรีผู้นั้นให้นางข้าหลวงนวด ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ใช้ประคองศีรษะโดยใช้ศอกค้ำยันเอาไว้ ตาหงส์คู่นั้นที่งดงามมองคล้อยต่ำราวกับเมฆหมอกลอยละล่อง ยิ่งทำให้รู้สึกสูงส่งและลึกลับเข้าไปอีก มีริ้วรอยบางๆ ที่หางตา แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของนางทั้งหมดด้อยลงไปเลย ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ให้นางขึ้นอีกเล็กน้อย เป็นเสน่ที่สง่างาม
ได้ยินเสียงนกร้องดังมาจากตำหนักคุนหนิงอยู่แว่วๆ นางจึงยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ฮองเฮาไม่ได้ออกจากตำหนักคุนหนิงของนางมาเลย ดูท่านางคงจะอารมณ์ไม่ดี ก่อนหน้านี้ ทุกวันนางจะไปเดินเล่นอยู่ในสวน เพื่อแสดงอำนาจของนางที่เป็นถึงฮองเฮา”
นางยิ้มออกมา ทว่าในดวงตาของนางกลับไม่มีรอยยิ้มเลย เห็นได้ชัดว่าแววตาของนางราวกับจะเปลี่ยนเป็นบ่อน้ำแข็งลึก มีเพียงความเย็นชาและเฉยชาไม่มีที่สิ้นสุด
สตรีผู้นี้คืออวี้กุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมาสิบกว่าปีแล้ว
หนีหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยตอบ “กราบทูลกุ้ยเฟย ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้เต๋อกงกงขันทีคนสนิทของฝ่าบาทไปเข้าเฝ้าฮองเฮา จากนั้นก็ได้ยินเสียงนกร้องดังมาจากตำหนักของฮองเฮาดังมาก ดังพอๆ กับเสียงร้องที่ได้ยินเมื่อครู่นี้เพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยยิ้มตอบ “นกตัวนี้เข้าใจอารมณ์ของคนจริงๆ ตอนที่เจ้านายอารมณ์ไม่ดี มันยังร้องออกมาสองครั้ง”
เสียงหัวเราะนี้ต่างจากความเฉยชาเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูหมิ่นเย้ยหยัน
หนีหมัวมัวกล่าวต่ออีกว่า “ได้ยินมาว่านกตัวนี้นำมาจากบ้านของมารดานาง เลี้ยงดูในวังมาได้สิบห้าปีแล้ว นกตัวนี้เข้าใจอารมณ์ของคน อายุก็ยืนยาวจริงๆ”
อวี้กุ้ยเฟยกล่าว “ตราบใดที่ฮองเฮาไม่ให้มันตาย มันก็ไม่กล้าตายหรอก
ตอนที่ฝ่าบาทอภิเษกกับฮองเฮาเขายังเป็นองค์ชายอยู่ ส่วนอวี้กุ้ยเฟยเข้าวังมาหลังจากที่ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว แม้ว่าจะได้อยู่กับฝ่าบาทน้อยกว่าฮองเฮาไม่กี่ปี แต่ก็อยู่ในวังแห่งนี้มาสิบกว่าปีแล้ว คนอื่นๆ อาจไม่รู้ความลับของนกนั่น แต่นางอยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีมีหรือที่จะไม่รู้
เพียงแต่ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศ ถึงเปิดเผยเรื่องนี้มันก็ไม่มีความหมายอะไร ความทุกข์ตรมที่แสนยาวนานในวัง วันที่ยาวนานแสนน่าเบื่อ ใครบ้างไม่มีงานอดิเรกที่พิเศษ ก็แค่ฆ่านกเองมิใช่หรือ
นางก็กล้าแค่ฆ่านกเท่านั้น
นางแซ่เซี่ยผู้นี้นับวันก็ยิ่งไม่มีอนาคต
ไทเฮาเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักสือหนิงไม่ออกมา ฮองเฮาเพียงกล้าฆ่านกในตำหนักของตนเองอย่างสนุกสนานเท่านั้น หากให้เวลานาง สตรีที่จะมีเกียรติสูงสุดในวังก็ต้องเป็นนางแน่ ตราบใดที่นางให้กำเนิดองค์ชายแก่ฝ่าบาทอีกคนได้
ไม่น่าแปลกใจเลยที่บุตรีตระกูลเซี่ยจะไม่สมหวัง! ได้ยินมาว่า พระมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันถูกไทเฮาพระราชทานความตายให้ ตระกูลเซี่ยจะปล่อยให้สตรีผู้สูงศักดิ์กว่าตระกูลของตนปรากฎตัวในวังได้อย่างไร
ทว่า พวกเขากลับไม่ได้คิดถึงฝ่าบาท ฝ่าบาทจะให้คนที่บีบให้มารดาแท้ๆ ของเขาต้องตายสบายใจไร้กังวล ใช้อำนาจในทางที่ผิดอยู่ในวังหลังได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงไปสวดพระคัมภีร์เข้าสู่วิถีธรรมดีที่สุด…
ฮองเฮาไม่มีพระโอรส นางเองก็ไม่มี พระโอรสของฝ่าบาทไม่ได้มีกันง่ายๆ อย่างไรก็ตาม ฮองเฮาจะไม่มีวันมีพระโอรส เรื่องนี้ถ้าพวกข้าหลวงใช้ใจคิดถึงความคิดของฝ่าบาททุกคนก็จะล้วนเข้าใจดี แต่นางกลับยังมีโอกาส
องค์หญิงผู้นั้นที่ติดฮองเฮามาก ถือกำเนิดมาในตอนที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ในตอนนั้นฝ่าบาทจำเป็นจะต้องยืมอำนาจของตระกูลเซี่ยเพื่อขึ้นสู่ราชบัลลังก์ จึงให้นางมีได้
จวบจนถึงบัดนี้ ฝ่าบาทก็ครองราชย์มาสิบกว่าปีแล้ว แต่มีพระโอรสเพียงไม่กี่คน มีองค์ชายทั้งหมดสามคน องค์หญิงหกคน รวมกันแล้วมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ยังเทียบไม่ได้กับจำนวนบุตรชายของข้าหลวงระดับสูงหรือของตระกูลขุนนางที่มีอยู่มากมายนัก
องค์หญิงอวี้เหอของฮองเฮาอายุสิบสามปีแล้ว องค์หญิงหนิงเซียงของนางก็ใกล้จะอายุสิบสองแล้ว องค์หญิงหนิงถันของนางก็จะอายุหกปีแล้ว เช่นนี้ ผู้ที่มีบุตรอยู่ในวังถึงสองคน ก็มีเพียงนาง แม้ว่าทั้งสองคนล้วนเป็นบุตรี แต่ก็ไม่มีคนในวังคนไหนที่กล้าดูแคลนนาง
ภูมิหลังของครอบครัวนางไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ทำให้ฝ่าบาทเกิดความแคลงใจ และไม่ถูกฝ่าบาทละเลยเช่นกัน…
ส่วนองค์ชายทั้งสาม องค์ชายจงชิงมีอายุได้สิบเอ็ดปีแล้ว มารดาของเขาจากไปแล้ว ฮองเฮามีพระโอรสไม่ได้จึงคอยดูแลองค์ชายจงชิงเป็นอย่างดี ส่วนองค์ชายอีกสองคน องค์ชายมู่และองค์ชายหลี มารดาไม่เป็นที่โปรดปราน ครอบครัวฝั่งแม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…
อวี้กุ้ยเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางข้าหลวงที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก็ได้บำรุงมือซ้ายให้นางเสร็จแล้ว และก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวห่อเอาไว้ “มือซ้ายห่อเรียบร้อยแล้วเพคะ เหนียงเหนียงโปรดส่งมือขวามาให้บ่าวด้วยเพคะ”
เสียงของนางข้าหลวงได้ดึงสติของอวี้กุ้ยเฟยกลับคืนมา นางลุกขึ้นนั่งยื่นอีกมือให้นางข้าหลวง และได้กล่าวกับหนีหมัวมัวอีกครั้ง “รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไรที่ทำให้นกของฮองเฮาร้องเสียงดังอย่างนั้น”
หนีหมัวมัวกล่าวอย่างนอบน้อม “บ่าวได้ยินว่าเพิ่งจะมีคนไปบอกกงหมัวมัวว่า ท่านหญิงซูซูแห่งจวนจิ่งชินอ๋องส่งเทียบเชิญไปงานชมดอกท้อให้กับคุณหนูใหญ่มั่วแห่งจวนกั๋วกงเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยรับการดูแลจากนางข้าหลวงคนนั้นไปพลาง แล้วก็ยิ้มบางๆ ไปพลาง “มั่วเชียนเสวี่ยผู้นั้นยังมีความสามารถอยู่บ้าง! มีชีวิตออกมาจากพระตำหนักของฮองเฮาได้ อีกทั้งยังมีชีวิตออกมาจากตำหนักจินหลวนเป่าของฝ่าบาทได้อีก ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
[1] ดอกอิงเถา ดอกซากุระ