หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 872 จักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝั่งซ้าย!

บทที่ 872 จักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝั่งซ้าย!

เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกขณะที่จ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อในโลงศพโปร่งใส ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“เมื่อใดเจ้าจึงจะออกมาได้เล่า”

หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งรู้สึกเศร้าใจเป็นยิ่งนักไม่ได้ให้ร่างจริงพูด แต่กลับให้ร่างอวตารกระแอมกระไออยู่ด้านหลัง เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงซึ่งไม่มีทางเลือกหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง ชายหนุ่มก็พูดออกมาอย่างลิงโลดใจ

“ในไม่ช้านี้แล้ว ตามที่ศิษย์พี่ของข้าพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ข้าจะต้องได้ออกมาเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็จ้องมองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันกลับไปมองร่างจริงซึ่งนอนราบอยู่ในโลง ที่กำลังกะพริบตาใส่นางพร้อมรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้า นางรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหันไปจ้องมองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ

“เจ้านี่เหลือเกินจริงๆ ในเมื่อเจ้าเองก็คือหวังเป่าเล่อ ทำไมถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก!”

“ข้าบอกแล้ว” ชายหนุ่มพูดก่อนจะยิ้มอย่างเพลียๆ

“เจ้าไม่ได้บอก!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะพูดอย่างแน่วแน่

“ข้าบอกแล้วจริงๆ… ข้าถึงขนาดเปลี่ยนหน้ากลับไปเป็นหน้าเดิมด้วยซ้ำ เจ้าลืมเสียแล้วหรือ สวรรค์ เจ้านี่นะ…” หวังเป่าเล่อยกมือตบหน้าผากหลังจากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะช่วยให้หญิงสาวจำเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไปได้

“เจ้าตะโกนใส่ข้า หวังเป่าเล่อ เจ้าเปลี่ยนไป!” เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที

แววตาของหวังเป่าเล่อดูสับสนขณะที่จ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มกำลังคิดหาทางจะอธิบายว่าเขาไม่ได้ตะโกน แต่จู่ๆ ร่างกายของเขาก็หยุดชะงัก พลันนึกไปถึงประสบการณ์และความรู้ที่เขาได้รับมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ และนึกไปถึงความระมัดระวังตัวของเจ้าเยี่ยเหมิง เมื่อนางสงสัยว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในอันตราย นางจะละทิ้งทุกอย่างและยอมทำทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขณะที่ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปกอดเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ ร่างกายของนางสั่นเทา เขายกมือลูบผมนางเบาๆ ก่อนจะพูดออกมา

“เยี่ยเหมิง ข้าขอโทษ ข้ามาถึงช้าเกินไป เล่าเรื่องความยากลำบากที่เจ้าได้เผชิญให้ข้าฟังทีเถอะ”

ขณะที่ชายหนุ่มพูดไปนั้น ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ค่อยๆ อ่อนลง นางไม่ส่งเสียงดังโวยวายอีกต่อไป ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเลิกระมัดระวังตัว ก่อนที่นางจะกอดหวังเป่าเล่อแน่นก่อนพึมพำออกมาแผ่วเบา

“เป่าเล่อ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่ความฝันใช่หรือไม่…”

“ไม่ใช่ความฝันแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง!”

นอกถ้ำมีท้องฟ้ายามค่ำคืนบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ภายในถ้ำมีประกายไฟสลัวสะท้อนอยู่บนก้องหิน ราวกับเป็นเปลวเทียนภายใต้นภายามราตรี แสงนั้นกลายเป็นความอบอุ่นที่แผ่ปกคลุมร่างทั้งสองที่กอดกันอยู่ภายใน แสงเงาที่สะท้อนอยู่บนกำแพงเริ่มหยุดสั่นไหว ดูราวกับเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจพวกเขาทั้งสองที่พาให้สิ่งรอบข้างเงียบงันไปจนหมด

ภาพนี้ควรจะเป็นฉากที่นุ่มนวลชวนฝัน แต่หวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังกอดเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่นั้น ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่อมองเห็นฉากนั้นผ่านสายตาร่างจริงของเขาเอง

รู้สึกเหมือนมีใครคนอื่นกอดเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่เลย…ไม่สิ ข้าจะคิดแบบนั้นไม่ได้ ร่างอวตารก็คือตัวข้าเช่นกัน หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออยู่ในใจก่อนจะรีบกวาดเอาความรู้สึกยุ่งเหยิงออกไปจากใจแล้วมุ่งมั่นกับการกอดเจ้าเยี่ยเหมิงแทน มือขวาของชายหนุ่มเลื่อนลงจากสะโพกของนางอย่างแนบเนียน…แล้วเขาก็หยิกนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“หวังเป่าเล่อ ทำแบบนี้ไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ” เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงที่ตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้วดังขึ้น

“หา? ข้าทำอะไรหรือ” หวังเป่าเล่อถึงกับตะลึงก่อนจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างไม่เข้าใจ

“มือเจ้า…” เจ้าเยี่ยเหมิงเงียบนิ่งอยู่หลายลมหายใจ ดูเหมือนนางต้องพยายามอย่างหนักที่จะพูดต่อไปอย่างใจเย็น

เมื่อได้ยินหญิงสาวพูด หวังเป่าเล่อก็ดูเหมือนจะเพิ่งเข้าใจ ชายหนุ่มทำสีหน้าสงสัยก่อนยกนิ้วเท้าขึ้น ลอบมองไปที่มือของเขาซึ่งอยู่ที่หลังของเจ้าเยี่ยเหมิง หลังจากนั้นจึงกระแอมกระไอออกมา

“ร่างอวตารของข้าเสียการควบคุมไปเล็กน้อย ข้าคงจะฝึกปราณมาไม่ดีเอง”

เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองหวังเป่าเล่อแต่ไม่ได้โกรธ กลับกันนางปัดปอยผมไปหลังหูขณะตั้งสมาธิไปยังหวังเป่าเล่อแล้วพูดออกมาเบาๆ

“เป่าเล่อ ทำไม…เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เจ้าเยี่ยเหมิงตกใจเป็นอย่างยิ่งที่หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่นางไม่เชื่อใจชายหนุ่มก่อนหน้านี้และรู้สึกสองจิตสองใจอยู่นาน ในความทรงจำของนาง หวังเป่าเล่อควรยังอยู่ที่สหพันธรัฐ

เพราะอย่างไรเสีย นางก็จำได้ชัดเจนว่าชายหนุ่มไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ เหตุผลของเรื่องนั้นง่ายมาก…มารดาของนางพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าหวังเป่าเล่อ…ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะถูกฝึกปรือให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคนต่อไป ไม่มีทางเลยที่สหพันธรัฐจะส่งเขาไปทำภารกิจที่อันตรายถึงเพียงนั้น

หากใครคนอื่นถาม หวังเป่าเล่อก็จะไม่ตอบตามจริง แต่เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นคนถาม ชายหนุ่มจึงได้แต่ทอดถอนใจ

“เราอย่าพูดเรื่องนั้นกันเลยนะ เจ้าไม่รู้… ว่าข้ามีศิษย์พี่ใหญ่อยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อใจนัก เขาบอกข้าว่าจะพาข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อแสวงหาโอกาส แต่สุดท้ายแล้ว…” ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่หวังเป่าเล่ออยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้เขาจะดูเหมือนมีสถานะใหญ่โต แต่ก็ชัดเจนว่าในอารยธรรมนี้ ชายหนุ่มยังเป็นเพียงคนนอก

บ้านของเขาคือโลกมนุษย์ และเมื่อมาอยู่ที่นี่ จึงเป็นการยากที่ชายหนุ่มจะไม่คิดถึงบ้าน มีหลายสิ่งที่ไม่อาจพูดคุยกับใครได้ แม้จะได้พบจั่วอี้เซียนก่อนหน้านี้ แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ใช่คนที่น่าเชื่อถือพอ หวังเป่าเล่อจึงไม่เชื่อใจเขาอยู่นั่นเอง แต่หลังจากที่ได้ยินคำถามของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มก็เล่าให้นางฟังเรื่องประสบการณ์ของเขาหลังจากที่มาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้

ขณะที่ฟังเรื่องของหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เบิกโพลง ปากของนางอ้าค้าง ยิ่งหวังเป่าเล่อเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ความตื่นเต้นในแววตาของหญิงสาวก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

“ช้าก่อน…เจ้าจะบอกว่า เจ้าได้เป็นถึงผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักเล็กๆ หลังจากที่มาที่นี่ จากนั้นเจ้าก็ไปมีปัญหากับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแล้วเข้าไปสมาชิกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แล้วก็ออกไปทำภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ และได้สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกับระดับดาวพระเคราะห์ด้วย

“จากนั้นเจ้าก็กลับมา…แล้วได้เป็นราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ เป็นผู้นำของดวงวิญญาณอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นับล้านและจักรพรรดิขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิบสอง แม้ว่าระดับปราณของเจ้าจะอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไปก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

ลมหายใจเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มไม่สม่ำเสมอขณะที่นางจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่อยากเชื่อ แม้ว่านางจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อบนสนามรบมาก่อน แต่นางก็ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ขณะนี้เมื่อหญิงสาวเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ความตื่นเต้นตกใจของนางก็พุ่งสูงถึงขีดสุด นางมองเห็นหวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยท่าทางภูมิใจในตนเอง เจ้าเยี่ยเหมิงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ก่อนที่จะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง

“เป่าเล่า…โชคชะตาของเจ้านั้น…”

“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ว่าข้าเป็นผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์และดวงดีเป็นที่สุด แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อข้า จบเรื่องของข้าแล้ว เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ้าง ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำที่เจ้าได้รับมอบหมายคือต้องไปที่อารยธรรมครามทองคำอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิ ไม่ได้ซุกซ่อนความภูมิใจเอาไว้อีกต่อไป แต่เมื่อคิดถึงความรู้สึกของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มก็กระแอมกระไอออกมาก่อนจะถามเรื่องของนางบ้าง

เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หญิงสาวจ้องมองหวังเป่าเล่อ ฉากการพบหวังเป่าเล่อเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของนาง หลังจากนั้น ภาพนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นหวังเป่าเล่อผู้ที่เขย่าฟ้าดินและผ่านการทดสอบจากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นทำให้แววตาของเจ้าเยี่ยเหมิงอ่อนลง หลังจากที่นางสลัดประกายแสงแห่งความสงสัยในใจทิ้งไป หญิงสาวก็เริ่มเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้หวังเป่าเล่อฟัง

ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำของสหพันธรัฐในตอนนั้นมีไพ่ตายลับซ่อนอยู่ ไพ่ตายที่ว่าคือการให้ร่างกายใหม่กับผู้ฝึกตนทุกคนที่ไปปฏิบัติภารกิจและทิ้งส่วนหนึ่งของวิญญาณพวกเขาไว้บนโลกด้วยความช่วยเหลือจากนักวิจัยวิญญาณและสำนักวังเต๋าไพศาล หากทำเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถรับประกันได้ว่า แม้พวกเขาจะเสียชีวิตในที่อื่นใดก็ตามแต่ พวกเขาก็จะถูกชุบชีวิตกลับมาบนโลกได้อีกครั้งหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน ร่างกายบนโลกที่มีวิญญาณผสานอยู่ด้วยจะถูกปลุกขึ้นมาเป็นครั้งคราวและป้อนข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาให้สหพันธรัฐ แผนนี้ควรเป็นความลับสุดยอด และมีเพียงผู้นำแห่งสหพันธรัฐกับปรมาจารย์สำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ข้อมูลและออกคำสั่งได้ และระบบดาวฤกษ์ที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปตามแผนนั้นก็คืออารยธรรมครามทองคำนั่นเอง

อันที่จริงแล้ว หลังจากที่เข้าไปในซากปรักหักพังซึ่งเป็นเป้าหมายบนโลก ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะได้ยังไปที่ใด เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เพิ่งรู้เมื่อนางมาปรากฏตัวที่อารยธรรมครามทองคำว่า คนเหล่านี้แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนบนโลกมากนัก

ตามความเข้าใจของนางเอง ผู้ฝึกตนที่เก่งที่สุดบนโลกคือหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณเท่านั้น แต่ในอารยธรรมครามทองคำ…ขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นไม่มีความหมายใดๆ สักนิด พวกเขาไม่ถูกนับว่าเป็นขุนพลด้วยซ้ำ มีเพียงระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าขุนพล อารยธรรมครามทองคำยังมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ซึ่งอยู่เหนือระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปด้วย และไม่ได้มีคนเดียว แต่มีถึงสามคน! ทั้งสามนั้นถือสันโดษมาเป็นเวลาเนิ่นนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์ครามทองคำ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้อยู่ในระดับดาราจักร แต่ตำนานก็เล่าขานกันว่าอีกเพียงครึ่งก้าวเขาก็จะบรรลุถึงระดับดาราจักรได้แล้ว!

ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ทั้งสาม เหมือนเป็นลูกไฟอันร้อนแรงที่ล้อมรอบอารยธรรมครามทองคำเอาไว้ พวกเขาทำให้อารยธรรมครามทองคำกลายมาเป็นผู้นำในดาราจักรที่สิบเก้าภายในจักรพิภพเต๋าฝั่งซ้ายภายใต้ดาราจักรไม่รู้สิ้น

“จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายหรือ ดาราจักรลำดับที่สิบเก้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตกตะลึง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท