ในเลือดมีพลังวิญญาณแฝงอยู่ มันผุดขึ้นเป็นฟองและไหลออกมาราวกับขานรับ เลือดทุกหยดไปรวมกันอยู่ที่จุดเดียว ก่อนจะกลายเป็นตราธรรมจักรขนาดใหญ่
แม้จะแผ่วเบา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้ยินคำพูดสุดท้ายของไต้ซือท่านนั้นดังก้องอยู่ในหูของตน มีร่องรอยแห่งรอยยิ้มเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น ”อาตมาบอกแล้วว่าถ้าหากเป็นเจ้า ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงรักษาท่านั่งของตนเอาไว้
แล้วก็ได้ยินเสียงดังแกร๊ก!
ในเวลาเดียวกันกับที่ตราธรรมจักรปรากฏขึ้น แสงสีทองก็แทรกตัวไปทั่วผนัง ผนังหินแตกออกเป็นโพรง ซากศพที่อยู่ตรงนั้นขยับเปิดทางให้โดยอัตโนมัติ แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้ามาภายใน!
ชายชราในเสื้อคลุมสีดำทั้งสองคนที่ยืนอยู่ในห้องสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากใต้ฝ่าเท้า ฝุ่นบนหลังคาลอยไปทั่วบริเวณ
“เกิดอะไรขึ้น” หนึ่งในชายชราชุดดำมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
คนคนนั้นส่ายศีรษะ
ชายชราชุดดำหรี่ตา ”แผ่นดินไหวหรือ”
แต่แล้วอย่างไรเล่า พวกเขาไม่สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว
“จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ จัดการเก็บเจ้าพวกนี้ก่อนก็แล้วกัน” ชายคนที่ถืออาวุธอยู่ในมือดูกระเหี้ยนกระหือรือที่จะลงมืออย่างเห็นได้ชัด
ชายชราในชุดสีดำเลียเลือดที่ปลายนิ้วของตน แล้วหัวเราะออกมา ”ต้องเร่งมือด้วยหรือ อย่างไรคนพวกนี้ก็ล้วนตกอยู่ใต้ฤทธิ์ของผงสลายพลังของพวกเราอยู่แล้ว ต่อให้พวกมันไม่ตาย แต่สุดท้ายก็ต้องสูญเสียกำลังภายในในร่างไปมากกว่าครึ่งอยู่ดี ยิ่งกว่านั้น การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งก็กินเรี่ยวแรงไปไม่ใช่น้อย แล้วจะเอาอะไรมาตอบโต้พวกเราได้รึ ตับไตไส้พุงของพวกมันยังไม่หยุดทำงานอีกหรือไร”
“พวกเจ้าไม่กลัวว่าถ้าทำเช่นนี้แล้วจะถูกเปิดโปงหรือ” เสนาบดีฝ่ายพลเรือนถามเสียงขุ่น เสียงไอของเขาตามมาด้วยเลือดที่ไหลทะลักออกจากมุมปาก
“ฮ่าๆๆ เปิดโปงหรือ” ชายชราหัวเราะเยาะเย้ยเหมือนคนที่เพิ่งได้ยินเรื่องโง่ๆ ”ตอนนี้ความสนใจของทุกคนล้วนแต่จดจ่ออยู่กับการประลองยุทธ์ ใครจะรู้ว่าพวกข้าแอบเปลี่ยนโลกใบนี้อยู่”
“แล้วถ้าข้าบอกว่ามีคนรู้ล่ะ” ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา เสียงอันเย็นยะเยือกและชั่วร้ายนั้นเหมือนกับพุ่งตรงขึ้นมาจากแดนนรกก็ไม่ปาน
ชายชราในชุดคลุมสีดำทั้งสองตัวแข็งทื่อไปพร้อมกัน พวกเขารีบหันหน้ากลับไป และเห็นร่างในชุดสีขาวราวกับปีศาจยืนอย่างเย็นชาอยู่ด้านหลังของตน ในเวลาเดียวกันนั้นสายฝนก็พลันโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจากอีกฝั่งหนึ่งของผนัง
ชายชราในชุดคลุมสีดำถูกสายฝนกระหน่ำใส่จนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ เขาทำได้เพียงแค่หรี่ตามอง และพยายามแยกแยะสิ่งที่เห็นอย่างสุดกำลังเท่านั้น ความเยือกเย็นในน้ำเสียงของเขาหายไปจนหมดสิ้น ”เจ้าเป็นใครกัน”
ร่างในชุดสีขาวเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าทำไมเสื้อผ้าของเขาที่ควรจะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนนั้นกลับยังปลิวอยู่ในอากาศได้อย่างอิสระ ภาพนั้นทำให้เขาดูเหมือนตัวแทนจากนรก
ทันใดนั้นอุณหภูมิก็ดูคล้ายจะลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง เมื่อพวกเขาสาวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น
ชายชราในชุดดำสัมผัสได้ถึงความกดดันอันหนักหน่วง
เหมือนกับมีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังกุมหัวใจของทุกคนเอาไว้!
เพียงสะกิดเบาๆ นิดเดียว เลือดก็สาดกระเซ็นออกมาได้ในทันที และชีวิตทั้งหลายก็กลับกลายเป็นเถ้าธุลีโดยพลัน!
ในเวลาเดียวกันนั้น ใบหน้าเย็นชาอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ก็ปรากฏให้เห็นเต็มสองตา ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ข้างประตูด้วยใบหน้าเฉยชา ดวงตาของเขามีผ้าสีขาวเส้นหนึ่งปิดตาเอาไว้ ช่วงขาเรียวยาวที่ทำให้ใครต่อใครต้องอิจฉาทั้งสองข้างนั้นมีกล้ามเนื้อเล็กน้อย ดวงตาสีอำพันของเขาสะท้อนต้องแสงแดด ท่าทางเช่นนี้ทำให้เขาดูงดงามและเต็มไปด้วยบรรยากาศสันโดษ
ส่วนอีกคนหนึ่งมีสายตาดุร้ายราวกับมีดสั้นอันคมกริบที่ทาบอยู่บนคอของสองผู้เฒ่า และกำลังจะแทงเข้าไปในลำคอของพวกเขาในวินาทีต่อมา!
ชายชราชุดดำที่มีอาวุธอยู่ในมือมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่เชื่อสายตา เขารู้สึกถึงสีหน้าตกใจบนใบหน้าของตนได้ทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
ผู้หญิงคนนี้ควรจะตายไปแล้วมิใช่หรือ ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้
แล้วบรรยากาศกดดันนี่มันอะไรกัน
ในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนกับหงส์เพลิงที่ถือกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน ร่างของนางเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจนไม่สามารถที่จะจ้องมองตรงๆ ได้!
มันดูเหมือนกับว่าแค่นางสะบัดปีกเบาๆ เพียงครั้งเดียว เปลวเพลิงที่เหมือนจะผุดขึ้นมาจากนรกนั่นก็สามารถเผาไหม้ทุกอย่างให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ภายในพริบตา!
แต่ก่อนที่นางจะได้ลงมือ หยวนหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมาจากในมิติสวรรค์ ”แม่นาง บรรยากาศดูไม่เข้าทีนัก ในอากาศดูเหมือนจะมีกลิ่นของผงสลายพลังอยู่ เสด็จปู่ในอนาคตของเจ้าก็ถูกวางยาพิษ ถ้าเจ้าไม่รักษาบาดแผลให้เขาละก็ ดูจากอายุของเขาแล้ว เขาอาจจะไม่รอดก็ได้ เจ้าควรตัดสินใจให้ดีว่าเจ้าจะใช้โอกาสนี้สร้างความประทับใจดีๆ ต่อเสด็จปู่ในอนาคตของตัวเอง หรือว่าจะฆ่าสองคนนั้นก่อน”
เดิมที ความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่หลังจากที่ได้ยินหยวนเสี่ยวหมิงเรียกอดีตฮ่องเต้ว่าเสด็จปู่อย่างนั้นเสด็จปู่อย่างนี้ ริมฝีปากของนางก็ถึงกับกระตุก คำเรียกนั่นมันบ้าอะไรกัน
แต่ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะตัดสินใจได้ ใครบางคนก็ดึงแขนของนางเข้าเสียก่อน
“เจ้าไปช่วยรักษาอดีตฮ่องเต้ก็แล้วกัน”
น้ำเสียงของชายหนุ่มลุ่มลึกเหมือนกับว่าเขาคุ้นชินกับการใช้เสียงออกคำสั่งเช่นนี้เป็นอย่างดี
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาจากด้านข้าง นางมองเห็นเพียงดวงตาที่มีผ้าพันเอาไว้ของเพื่อนร่วมโต๊ะ ใบหน้าสูงศักดิ์และเฉยเมยของเขาดูหยิ่งผยองเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับดูเย็นชายิ่งกว่าที่เคย…
ชายชราชุดดำที่มีอาวุธอยู่ในมือคนนั้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน และแค่นหัวเราะออกมา ”เจ้าคิดจะหยุดข้าคนนี้ด้วยตัวคนเดียวหรือ”
ระหว่างที่พูด เขาก็กระแทกอาวุธลงกับพื้น ทันใดนั้นสัตว์อสูรในรูปลักษณ์ของเปลวเพลิงสีแดงฉานก็ปรากฏตัวขึ้นและกระพือปีกออกจากทะเลเพลิง มันมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างดุร้าย
เงาในกองเพลิงกระโจนเข้าใส่เขาราวกับปีศาจชั่วร้าย อุณหภูมิรอบกายของเขาแทบจะพุ่งขึ้นไปถึงจุดเดือด คลื่นความร้อนฉีกเสื้อคลุมสีเงินของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่สะบัดอยู่อย่างรุนแรง มองไกลๆ แล้วดูเหมือนดอกบัวสีขาวที่เบ่งบานอยู่บนท้องฟ้ากำลังถูกเปลวไฟกลืนกิน แต่เขากลับทำเพียงยื่นมือออกไปอย่างเยือกเย็น ไม่ได้มีทีท่ารีบร้อนแต่ประการใด แล้วค่อยๆ ดึงผ้าที่ปิดบังใบหน้าของตนออก สุดท้ายเขาก็โยนมันทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ
แล้วจากนั้น
เปลือกตาของเขาก็เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาสีดำขลับราวน้ำหมึกดูเหมือนจะถูกย้อมด้วยประกายแสงสีทอง แววตานั้นพุ่งตรงไปยังดวงตาของสัตว์อสูรเปลวเพลิงสีแดงตัวนั้น…
สัตว์อสูรซึ่งมีลักษณะเหมือนเปลวเพลิงสีแดงตัวนั้นชะงักไปในทันที มันยืนนิ่งไม่ไหวติง แล้วในไม่ช้า มันก็หันกลับไปทางชายชราชุดดำที่เป็นคนร่ายเวทด้วยท่าทางน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม พลางอ้าปากกว้างราวกับถ้วยที่ใช้ในพิธีบูชายัญ
ชายชราในชุดดำไม่มีเวลาให้ได้ประหลาดใจมากนัก ในเวลาแทบไม่ถึงเสี้ยววินาที เกราะป้องกันบางๆ ที่เขาสร้างนั้นก็ถูกลิ้นที่เต็มไปด้วยเปลวไฟซัดเข้าใส่อย่างเกรี้ยวกราด มันแยกออกเป็นสองเสี่ยงในทันใด จากนั้นเปลวเพลิงก็ค่อยๆ ลุกลามไปทั่วทั้งร่างของเขา!
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้คือความเจ็บปวดจากการถูกเผา
หูของเขาได้ยินเพียงเสียงจากนรก ”ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องเหยื่อของข้า เจ้าก็ต้องจ่ายค่าชดเชยมา”
ตึง!
ชายชราในชุดสีดำล้มลงกับพื้น
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความตกใจ พวกเขามองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเหลือเชื่อ!
โดยเฉพาะบรรดาเสนาบดีเหล่านั้น พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อเลยด้วยซ้ำว่าบนแผ่นดินนี้จะมีคนที่มีฝีมือล้ำเลิศเช่นนี้อยู่!
ดูจากชุดที่เขาสวมแล้ว เขาน่าจะเป็นศิษย์ของสำนักไท่ไป๋
เขาสามารถทำลายเปลวเพลิงได้ในพริบตา เข่นฆ่าผู้คน และทำลายอาวุธได้ด้วยกระบวนท่าเดียว!
นี่เป็นเรื่องที่ศิษย์ทั่วไปของสำนักไท่ไป๋สามารถทำได้หรือ ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน
เหล่าเสนาบดีต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ ในหัวของพวกเขาเต็มไปด้วยคำถาม
มีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยเท่านั้นที่ไม่ได้มองมาทางนี้ แต่นางกำลังตรวจสอบอาการบาดเจ็บ และสภาพร่างกายของทุกคนอยู่ ทันทีที่มือของนางสัมผัสเข้ากับอดีตฮ่องเต้ นางก็พบว่าพลังในครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต!