“…!”
ความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวทำให้อินซอบดีดตัวลุกขึ้น และเริ่มแกะลังอย่างไม่เลือก หลังจากแกะไปได้ประมาณสิบลัง เขาก็เจอลังที่เขาห่อหนังสือเก็บเอาไว้ เขาหยิบหนังสือที่เรียงไว้อย่างเป็นระเบียบออกมาทั้งหมด และล้วงเอาหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่ที่ก้นลังออกมายากลำบาก
‘การเดินทางไม่มีสิ้นสุด’
หากต้องวางมือจากหนังสือไปในขณะที่กำลังอ่านอยู่ อีอูยอนมักจะมีนิสัยชอบพับหัวมุมกระดาษไว้เล็กๆ พอเขาถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้นทุกครั้งโดยไม่ใช้ที่คั่นหนังสือ อีกฝ่ายก็ยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบ
‘ยังไงมันก็เป็นแค่หนังสือนี่ครับ จะไปสนใจอะไรล่ะ’
อินซอบใช้มือที่สั่นเทากางหนังสือออกและหาวรรคสุดท้ายของนิยาย จากนั้นก็เดินไปที่หน้าชั้นวางหนังสืออย่างช้าๆ หน้าที่หนึ่ง หน้าที่สอง และหน้าที่สาม
“…”
หัวมุมกระดาษแผ่นที่สามตรงหน้าในส่วนของบทสรุปถูกพับไว้เล็กๆ
วันที่อีกฝ่ายรออยู่ทั้งคืนที่กรรมการผู้จัดการคิมพูดถึง คือวันนั้นที่เขาเข้าโรงพยาบาลครั้งแรก วันนั้นอีอูยอนอยู่ที่ห้องของเขา
เขาเข้าใจในน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ไม่ง่วงเลยสักนิดเดียวในตอนที่โทรศัพท์ไปหาตอนกลางดึก และท่าทีที่เย็นชาของอีกฝ่ายในคราวเดียว
‘ต่อให้คุณอินซอบจะทิ้งผมไป ผมก็จะรอจนกว่าคุณจะถือกล่องเค้กกลับมาครับ’
‘ถ้าไม่มีอะไรจะบอก ก็ควรจะเอาเค้กมาด้วยสิ’
เสียงของอีอูยอนดังซ้อนทับกันอยู่ในหัว คำพูดต่างๆ ของอีกฝ่ายที่เขาไม่เข้าใจในตอนนั้นเริ่มเข้าที่เข้าทางขึ้นมาทีละนิด ตอนนั้นอินซอบถึงได้รู้เหตุผลที่อีอูยอนไม่เค้นถามเรื่องตนเรื่องการโกหก และรอให้พูดความจริง
เขาไม่อยากให้เรื่องที่ฮาวายเกิดขึ้นซ้ำอีก เพราะแบบนั้นวันนั้นอีอูยอนอ่านหนังสือให้ฟังทั้งคืนทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเขาเองโกหก
“…”
หนังสือที่ถืออยู่ในมือตกลงบนพื้นราวกับลื่นหลุดจากมือ
อีอูยอนต่อสู้ขนาดนั้นเพื่อที่จะเชื่อใจเขา แต่เขากลับพยายามเพื่อที่จะสงสัยในตัวอีกฝ่าย เพื่อหาความชอบธรรมว่าอีกฝ่ายต้องทรยศตัวเองเป็นแน่
ท้องไส้ของเขาปั่นป่วน อินซอบวิ่งไปที่ห้องน้ำ และทรุดนั่งลงกับพื้น แต่ไม่มีอะไรให้อ้วกออกมา มีเพียงน้ำย่อยเปรี้ยวๆ ที่ปนกับน้ำลายเท่าที่ไหลขึ้นมาตามลำคอ เขารู้สึกปวดราวกับกระเพาะถูกวัตถุติดไฟชั้นดีแทง แต่ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดทางร่างกาย แม้จะใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา แต่ก็เปล่าประโยชน์ น้ำตาของเขาไหลลงมาราวกับพยายามจะระบายความชื้นทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร่างกายออกมาให้หมด
เขาคิดว่าวันหนึ่งคงต้องจบลง และฝ่ายที่ถูกทิ้งจะต้องเป็นตัวเองแน่ๆ เพราะเขาเชื่อว่าความรู้สึกที่มีต่ออีอูยอนจะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่คนที่เปลี่ยนไปก็คือตัวเขาเอง ยิ่งเวลาผ่านไป ความโลภที่มีต่ออีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนทำให้เขารู้สึกกดดันในที่สุด อีกฝ่ายพยายามจะรักษาสัญญาที่ตัวเองให้ไว้ให้ได้จนถึงที่สุด แต่ในที่สุดเขาก็ทิ้งอีอูยอนไปด้วยหัวใจที่ไม่ได้เรื่องของตัวเอง
อินซอบใช้มือทั้งสองข้างกุมใบหน้าของตัวเอง
ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ปฏิเสธในเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ทำ ไม่สิ เขาอาจจะไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิเสธก็ได้ และการที่เขาเบื่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว เพราะเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเชื่อใจตนแต่ตนกลับถูกคำพูดของคนอื่นทำให้ไขว้เขว และยอมแพ้ในตัวของอีอูยอน
น้ำตาที่หยดลงมาเปียกพื้น ความรู้สึกเสียใจที่ทำลงไปกับความละอายถาโถมเข้ามา เขาอึดอัดใจจนหายใจได้ลำบาก และทั้งตัวก็เย็นเฉียบขึ้นมาอย่างกะทันหันเหมือนกับเลือดไหลออกมาจากใต้เท้า เขาได้ยินเสียงดังตึกตักในหูเหมือนกับสมองกับหัวใจเชื่อมต่อกัน
อินซอบลุกขึ้นอย่างลำบาก เขาหาขวดยาที่วางอยู่ตรงชั้นวางของในห้องน้ำและกลืนยาลงไป เขานั่งอย่างหมิ่นเหม่ตรงอ่างอาบน้ำพลางปรับลมหายใจให้เข้าที่จนกว่ายาจะออกฤทธิ์ พอเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกว่าเลือดได้กลับมาสูบฉีดทั่วทั้งตัวแล้ว เหงื่อที่เปียกโชกไหลลงมาตามหน้าผาก และหยดลงบนหลังมือ
เขานึกถึงคำเตือนของหมอที่บอกว่าห้ามประมาทกับความเครียด และคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันเขาอาจจะตายจริงๆ ก็ได้
‘จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตกับการคบหากันด้วยเหรอครับ’
“…”
เขาตาลายเหมือนถูกตีเข้าที่หลังศีรษะ
จากนั้นคำพูดต่างๆ ที่อีอูยอนเคยพูดกับตนก็หลั่งไหลออกมาในความทรงจำ
กินข้าวเช้าหรือยังครับ ช่วงนี้นอนหลับสนิทหรือเปล่า ดูเหมือนจะกินไม่ได้มากกว่าปกติอีกนะ กินข้าวให้ครบทุกมื้อนะครับ ไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหนใช่ไหมครับ เหมือนจะไม่ใช่อาการหวัดนะครับ ไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหนจริงๆ ใช่ไหมครับ ร่างกายเป็นยังไงบ้างครับ
กินข้าวครบทุกมื้อ…หรือเปล่าครับ
นี่ไม่ใช่คำถามโดยทั่วไป มีความจริงใจแฝงอยู่ในคำพูดทั้งหมดที่เขาพูด
‘ห้ามป่วยนะครับ’
คำขอร้องที่อีกฝ่ายขอร้องตนด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งอย่างจริงจังเป็นพิเศษ
และนั่นก็คือเหตุผลที่อีอูยอนทิ้งเขา
***
พอขับรถผ่านจนน้ำกระเซ็นอย่างหนัก เขาก็ได้ยินเสียงบีบแตรด้วยความหงุดหงิดจากรถที่ขับอยู่ในเลนข้างๆ ถ้าเป็นปกติเขาน่าจะลดกระจกรถ และเอ่ยปากขอโทษ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะทำแบบนั้น
เขาต้องรีบไป
อินซอบจับพวงมาลัยอย่างกระวนกระวายใจ
พอได้รู้เหตุผลที่อีอูยอนโกหกตัวเอง อินซอบก็ต่อสายหากรรมการผู้จัดการคิมทันที
‘รู้แล้วเหรอว่าอีอูยอนอยู่ที่ไหน’
ทันทีที่รับสาย กรรมการผู้จัดการคิมก็ถามอย่างร้อนรน เขาสามารถรู้ได้เลยว่าคำพูดที่อีกฝ่ายพูดว่าไม่ต้องเป็นห่วงนั้นเป็นคำพูดที่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ
‘ยังไม่รู้เลยครับ ผมขอถามได้ไหมครับว่าไปลองหาคุณอีอูยอนที่ไหนมาบ้างแล้ว’
‘ไปหาที่บ้านเก่ากับบ้านที่เพิ่งย้ายไปใหม่มาหมดแล้ว’
‘ติดต่อไม่ได้เลยเหรอครับ’
กรรมการผู้จัดการคิมถอนหายใจ และเริ่มคร่ำครวญถึงความเสียใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา
‘เพราะเขาทิ้งโทรศัพท์เอาไว้ ฉันถึงได้ประสาทกินอยู่นี่ไงล่ะ ฉันกลัวว่าเขาจะก่อเรื่องอะไร เลยนอนเฝ้าอยู่บนเตียงคนเฝ้าไข้แข็งๆ ถึงสามวัน เขาทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง ถ้าหายไปโดยที่พูดอะไรไว้สักหน่อย มันจะแย่ลงกว่าเดิมตรงไหน แล้วถ้าใส่ชุดผู้ป่วยเดินไปไหนมาไหนในสถานการณ์แบบนี้ พวกนักข่าวต้องจิกกัดว่าอะไรสักอย่างแน่ๆ ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว เขาทิ้งโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ไว้แล้วหายไป ฉันแก่ลงไปจมเลยเนี่ย’
‘แล้วกุญแจรถล่ะครับ’
คำถามของอินซอบทำให้กรรมการผู้จัดการคิมถามกลับเหมือนกับงงว่า ‘กุญแจรถเหรอ’ พอได้ยินแบบนั้นเขาก็ค้นหาอะไรบางอย่างทันที และตะโกนอย่างดีใจว่า ‘ไม่มีกุญแจ’ แค่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยการเดิน เขาก็โล่งใจแล้ว
อินซอบวางสายจากกรรมการผู้จัดการคิม และเตรียมตัวที่จะออกไป เขานึกถึงที่ที่อีกฝ่ายน่าจะไป และความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวก็ทำให้อินซอบรีบโทรศัพท์หากรรมการผู้จัดการคิมเพื่อขอยืมรถอีกครั้ง
กรรมการผู้จัดการคิมขับเฟอร์รารี่มาที่บ้านของอินซอบทันที เขาสั่งให้ใช้ได้ตามใจชอบเลย เพราะนี่เป็นรถที่เร็วที่สุดในบรรดารถของตัวเอง หากเป็นเวลาปกติ อินซอบคงจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้เขารับกุญแจรถมาโดยไม่ต้องพูดซ้ำ
พอเหยียบคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์หนักๆ ก็ดังขึ้นพร้อมกับรถที่ทะยานออกไปข้างหน้า ฝนที่เทลงมาทำให้มองรอบๆ ได้อย่างยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นอินซอบก็ไม่ยอมลดความเร็ว
เขาไม่แน่ใจว่าอีอูยอนจะอยู่ที่นั่น อีกฝ่ายเคยพูดถึงที่นั่นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่นอกจากที่นั่นแล้วก็ไม่มีที่อื่นที่เขานึกออก
ขอให้อีอูยอนอยู่ที่นั่นด้วยเถอะ
เขาภาวนาเหมือนเดิมซ้ำๆ ไปตลอดทางที่ออกจากโซล
ได้โปรด ได้โปรด…ได้โปรด
พอออกจากตัวเมืองมาได้ไม่นาน เขาก็เห็นบ้านพักตากอากาศที่อยู่ใกล้ๆ กับทะเลสาบ และรถที่จอดอยู่หน้าพักตากอากาศก็เข้ามาในสายตา
รถของอีอูยอน
อินซอบจอดรถราวกับจอดมั่วๆ และถือร่มวิ่งออกไปข้างนอก
อยู่ในบ้านพักตากอากาศหรือเปล่านะ
ความคิดที่ว่าต้องเช็กดูด้านในก่อนทำให้อินซอบหมุนตัวกลับ แต่พอเห็นว่าประตูถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา เขาก็เริ่มมองสังเกตรอบๆ อีกครั้ง ฝนเทลงมาอย่างแรงจนทำให้ดินเป็นแอ่ง ถึงขนาดที่เกินกำลังของตัวเขาเองที่กำลังยืนถือร่มอยู่
“คุณอูยอน!”
แม้จะเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง แต่ก็ถูกเสียงฝนกั้นไว้ และทำให้เสียงเรียกนั้นสูญเปล่า
หรือว่าแค่จอดรถเอาไว้ที่นี่แล้วไปที่อื่นหรือเปล่า ถ้าไม่อย่างนั้นก็…
เขามองผิวของทะเลสาบที่ถูกเม็ดฝนทำให้เกิดเสียงดังอึกทึก ความกังวลใจที่จู่โจมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้อินซอบรีบส่ายหน้า
อีกฝ่ายคงจะไปได้ไม่ไกล ต้องอยู่แถวๆ นี้อย่างแน่นะ…
“…!”
ตาของอินซอบเบิกกว้าง
อินซอบวิ่งไปที่ม้านั่งที่อยู่หน้าทะเลสาบ อีอูยอนนั่งอยู่บนม้านั่งนั้น และมองทะเลสาบด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
เขาอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ชุดผู้ป่วยของเขาอยู่ในสภาพที่เปียกโชก อินซอบยื่นร่มคันใหญ่ไปด้านหน้าก่อนจะเอนตัวไป
“…คุณจะเป็นหวัดนะครับ”
คำพูดของอินซอบทำให้ผู้ชายที่นั่งอยู่บนม้านั่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา วินาทีที่สบตากัน อีอูยอนก็ขมวดคิ้วเหมือนกับงงงวย จากนั้นก็ก้มมองมือของตัวเอง
การกระทำของอีกฝ่ายที่ไม่สามารถเข้าใจได้ทำให้อินซอบเป็นกังวลขึ้นมาทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
แม้อินซอบจะเอ่ยถาม แต่อีอูยอนกลับไม่ยอมขยับ และเอาแต่เพ่งมองมือของตัวเอง จากนั้นเขาถอนหายใจออกมาทันทีและกุมใบหน้าของตัวเองไว้
“มีธุระอะไรที่นี่ครับ”
ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้เอ่ยปากพูด
“ผมมาหาคุณอูยอนครับ”
“ติดอุปกรณ์ติดตามไว้ที่รถเหรอครับ ไม่สิ หรือว่าตัดสินใจจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นสตอล์กเกอร์แล้ว”
“…ผมจำที่คุณพูดก่อนหน้านี้ได้น่ะครับ”
ก่อนงานเปิดตัวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ อีอูยอนกอดอินซอบไว้และกระซิบด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กหนุ่มที่ตื่นเต้น
‘เราไปที่ไหนกันดีครับ ทะเลสาบที่เคยไปด้วยกันคราวนั้นก็ดีนะครับ’
หลังจากนึกคำพูดที่อีกฝ่ายเคยพูดออก เขาก็ไม่สามารถคิดถึงที่อื่นได้เลย อินซอบขับรถตรงมาจนถึงคังวอนโด
อีอูยอนที่ได้ยินคำตอบของอินซอบยิ้มเล็กน้อย
“กรรมการผู้จัดการส่งมาเหรอครับ”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้น
เขาหาความรู้สึกงงงัน หรือความสั่นไหวที่เห็นตอนที่สบตากันครั้งแรกไม่เจอเลย นี่เป็นหน้าตาสุภาพที่เก็บซ่อนความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
“ผมมาหาเองครับ”
“เปล่าประโยชน์ครับ ผมมารับลมแค่แป๊บเดียวเท่านั้น และตั้งใจว่าจะกลับทันทีเลยครับ”
อีอูยอนยิ้ม เขาหาความอ่อนโยนบนใบหน้าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนไม่เจอเลย
“ผมรู้แล้วครับว่าคุณโกหก”
“โกหกเรื่องอะไร?”
อีอูยอนถามกลับ และทำสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
“ที่บอกว่าคุณไปเจอกับคุณแชยอนซอ…ผมรู้แล้วครับว่าไม่ใช่ ผมเห็นข่าวแล้วครับ”
อีอูยอนร้องอ๋อก่อนจะยิ้มจนตาหยี
“ผมไม่ได้โดนถ่ายรูปหรอกครับ ไอ้พวกโง่นั่นต่างหากที่โดน”
“…ผมเข้าใจผิดไปเองครับ”
“เข้าใจผิดเรื่องอะไรล่ะ คุณอินซอบไม่ได้เข้าใจผิดเลยครับ เพราะผมก็ชอบไปเที่ยวมีอะไรกับผู้หญิงจริงๆ”
อีอูยอนยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“ผมเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วครับ คุณก็รู้ดีไม่ใช่เหรอครับ เพราะเคยแอบไปค้นหาเกี่ยวกับผมมาก่อน”
“ไม่ต้องจงใจพูดแบบนั้นก็ได้ครับ”
“ฮ่าๆๆ จงใจพูดอะไรเหรอครับ คงคิดว่าผมยังไม่เบื่อคุณอินซอบสินะครับ แค่เสียบรูของผู้ชายมันสำคัญอะไรล่ะ ถึงได้คิดว่าไอ้เวรอย่างผมจะรักษาความซื่อสัตย์มาจนถึงตอนนี้”
เขาพูดคำพูดที่โหดร้ายออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน นี่เป็นภาพที่อินซอบคุ้นเคย เป็นใบหน้าของนักแสดงที่เห็นในหน้าจอ
“ขอโทษครับ”
อินซอบก้มหัวขอโทษ
“มีอะไรให้ขอโทษครับ ผมเป็นแบบนี้ของผมอยู่แล้ว”
“…ขอโทษครับ”
อินซอบเอ่ยขอโทษอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังก้มหัวอยู่ ต่อให้ขอโทษสักพันครั้ง ไม่สิ สักหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ อินซอบพูดคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา ขอโทษครับ ขอโทษครับ…ขอโทษครับ
อีอูยอนลุกขึ้น
“ถ้ากลับไปที่โซลแล้วก็กลับอเมริกาไปทันทีเลยนะครับ”
น้ำเสียงเย็นชาของอีอูยอนผลักความรู้สึกออกไปได้อย่างหมดจด
อินซอบรั้งอีอูยอนที่กำลังจะเดินผ่านไปไว้ ร่มที่ถืออยู่ปลิวออกไปเพราะลม และกลิ้งไปบนพื้น แม้ฝนเย็นๆ จะตกกระทบใบหน้า อินซอบก็ยังพยายามรั้งอีอูยอนไว้
“ผมผะ ผิดเองครับ เพราะผมเข้าใจผิด….ผมทำตัวขี้ขลาดแบบนั้นเพราะไม่เชื่อใจคุณอีอูยอน”
มือของอินซอบที่รั้งอีอูยอนไว้สั่นระริก อีอูยอนวางมือของตัวเองลงบนมือของอินซอบ
“คุณอินซอบ”
มือนั้นเย็นราวกับแผ่นน้ำแข็ง
เขานั่งอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
อินซอบกลั้นน้ำตาไว้อย่างยากลำบาก
“ผมเองก็ไม่เคยเชื่อใจคุณเลย เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องขอโทษกับเรื่องพวกนั้นทุกอย่างหรอกครับ”