ตุ้บ!
อ่างอาบน้ำถูกวางลง
ขันทีซุนถามเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างสุภาพว่า ”คุณหนูใหญ่ขอรับ พวกข้าเตรียมอ่างอาบน้ำกับเหล้าพร้อมแล้ว ท่านต้องการอะไรอีกหรือไม่ขอรับ”
“ข้ายังอยากได้ฟืนด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยสั่งโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น
“ขอรับ…” ขันทีซุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปสั่งการให้คนเตรียมของซึ่งเดิมทีควรจะใช้สำหรับอาบน้ำ
หลังจากที่ฟืนถูกนำเข้ามา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สั่งให้คนต้มน้ำ จากนั้นจึงบอกให้อดีตฮ่องเต้และคนอื่นๆ เข้าไปนั่งในอ่าง
ภาพนี้ดูไม่เหมือนกับการช่วยชีวิตคนนัก แต่กลับดูเหมือนการจับคนทั้งเป็นไปต้มในน้ำเดือดมากกว่า
มีรางเหล็กอยู่ใต้อ่างไม้ และมีฟืนกำลังลุกไหม้อยู่ด้านล่างนั้น ท่อนฟืนลุกไหม้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเพียงไม่นานทั่วทั้งห้องก็เต็มไปด้วยไอน้ำ
จนถึงตอนนี้ บรรดาเสนาบดีก็ยังมีอาการงุนงงสงสัย แต่พวกเขายอมทำทุกอย่างในสถานการณ์อันสิ้นหวังเช่นนี้ แม้พวกเขาจะไม่เชื่อว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าจะสามารถช่วยพวกเขากำจัดพิษกร่อนกระดูกได้ก็ตาม
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าน้ำเดือดได้ที่แล้ว นางก็เทเหล้าทั้งหมดในเยือกลงอ่าง อ่างหนึ่งอ่างใช้เหล้าหนึ่งเยือก
ตลอดการทำขั้นตอนนี้ นางไม่ได้ใช้เวลาไปเกินกว่าหนึ่งก้านธูป
ยามที่หมอลงมือรักษาคนไข้นั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ย่อมดูน่าเชื่อถือไปเสียหมด
แต่
“ท่านสามารถใช้วิธีนี้ล้างพิษได้จริงๆ หรือ” ขันทีซุนมองผู้เป็นนายอย่างกระวนกระวาย วิธีนี้ไม่ดูอันตรายเกินไปหน่อยหรือ จะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นกับอดีตฮ่องเต้และผู้อาวุโสคนอื่นหรือเปล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เสียสมาธิจากพวกเขาเลยแม้แต่น้อย นางถึงกับบอกให้หยวนหมิงไปเก็บมะเขือเทศจากมิติสวรรค์ออกมาเพื่อชดเชยกำลังกายของตัวเองอีกด้วย
นางยืนอย่างเฉื่อยชาอยู่ท่ามกลางไอร้อน พลางใช้มือของตนวัดอุณหภูมิของน้ำในอ่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบยาสมุนไพรที่หมอหลวงนำมาให้ด้วยท่าทางขอไปที แล้วโยนพวกมันลงไปในอ่างอาบน้ำแต่ละใบ
น้ำที่เดือดอยู่นั้นพัดเอายาสมุนไพรพวกนั้นลงไปที่ก้นอ่างทันที กลิ่นยาที่ลอยอบอวลไปทั่วห้องก็เริ่มฉุนขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นนั้นทำให้หยวนหมิงถึงกับสำลักตอนที่สูดหายใจเข้าไป ”แม่นาง เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้โยนเจ้าพวกนี้ลงไปมากขนาดนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันเพื่อกำจัดพิษให้พวกเขาเสียหน่อย ผู้ฝึกปราณใช้เพียงแค่กำลังภายในก็สามารถขับพิษออกจากร่างกายของพวกเขาได้แล้ว”
“การทำเช่นนี้จะไม่ทำให้ข้าดูเป็นมืออาชีพมากขึ้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงโยนสมุนไพรเหล่านั้นลงไปในอ่างอย่างต่อเนื่อง แล้วตอบอย่างเกียจคร้านว่า ”ไม่อย่างนั้น ถ้าข้าเริ่มกำจัดพิษให้พวกเขาทันที ทุกคนก็จะรู้ว่าข้าเป็นผู้ฝึกปราณ หนำซ้ำในตอนนี้ข้าก็ยังมีอีกสถานะคือการเป็นพระชายาอยู่ด้วย ข้าจึงไม่สามารถเปิดเผยฝีมือของตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้น… การทำเช่นนี้ย่อมทำให้ฝีมือด้านการปรุงยาของข้าดูโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมด้วยนะ”
ในที่สุดหยวนหมิงก็เข้าใจ
ตอนที่เขาหันไปมองด้านข้าง หมอหลวงกำลังจดจำสมุนไพรทุกชนิดที่เฮ่อเหลียนเวยเวยโยนลงในอ่างน้ำอย่างขะมักเขม้น แม้กระทั่งลำดับที่นางโยนพวกมันลงไป เขาก็กระซิบกับตัวเอง พร้อมกับทำสีหน้าราวกับมั่นใจในเรื่องนี้มากทีเดียว จากนั้นก็แสดงสีหน้าคาดหวังออกมาราวกับกำลังบอกว่า ”จำได้แล้ว”!
นี่มันเรื่องอะไรกัน
“เอาล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยปล่อยสมุนไพรในมือ จากนั้นจึงนั่งลงกับพื้น ฝ่ามือค้ำอยู่ที่ฝั่งด้านนอกของอ่างอาบน้ำ พร้อมกับออกแรงเล็กน้อย!
เมื่อได้ไอจากเหล้าและเหงื่อจากก่อนหน้านี้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งวินาทีก็สามารถทำให้ไอพิษลอยออกมาจากอ่างได้
เมื่อบรรดาเสนาบดีเห็นไอสีดำที่ลอยออกมา พวกเขาก็รู้ว่ารอดตายแล้ว!
พวกเขาลุกขึ้นนั่งตัวตรง สองขาไขว้กัน แล้วหลับตา
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ไปทีละคนช่างเสียเวลายิ่งนัก นางจึงวางมือข้างหนึ่งไว้บนอ่างอาบน้ำ พร้อมกับถ่ายทอดพลังปราณออกไป ในขณะที่น้ำเดือดกลายเป็นระลอกคลื่น แล้วผิวน้ำของอ่างอาบน้ำก็มีไอลอยขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ทุกคนนิ่งเงียบในระหว่างการกำจัดพิษ และไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
มีเพียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคนเดียวเท่านั้นที่ตั้งใจหมุนแหวนบนนิ้วของตนอย่างช้าๆ แหวนสีดำของเขาเรืองแสงสีดำออกมา ภาพนั้นสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้นจนดูสว่างไสวเป็นพิเศษ เขามองวิธีการที่เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้พลังของตนด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม…
ผู้หญิงคนนี้เป็นเหมือนกับปริศนาอันไร้ก้นบึ้ง
เขาอยากรู้เหลือเกินว่านางจะมีสภาพอย่างไรตอนที่ปริศนาพวกนั้นถูกเขากระชากออกไปทีละชั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเม้มริมฝีปากบางของตนเข้าหากันอย่างชั่วร้าย
ในที่สุด เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จัดการล้างพิษให้คนสุดท้ายสำเร็จ รอยสีม่วงคล้ำบนใบหน้าของเขาเริ่มจางลง และแก้มกลับมามีสีเลือดฝาดดูสุขภาพดีดังเดิมอีกครั้ง
“ท่านอย่าเพิ่งขยับตัวมากจะดีกว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนขึ้น ปัดฝุ่นออกจากร่างของตน แล้วพูดยิ้มๆ ว่า ”ร่างกายของท่านยังอ่อนแอเกินไป รอจนกระทั่งธูปดอกนี้ไหม้หมดก่อนก็แล้วกัน จากนั้นเราค่อยมาดูกันว่าพลังปราณเป็นอย่างไร”
แค่การที่นางสามารถกำจัดพิษออกจากร่างของพวกเขาได้ก็ทำให้บรรดาเสนาบดีรู้สึกประหลาดใจมากพออยู่แล้ว แต่มาตอนนี้พวกเขากลับยังได้ยินอีกว่าพลังปราณของตนสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูปอีกด้วย
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เหมือนกับบรรดาหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานหรือบรรดาฮูหยินที่นิยมชมชอบข่าวลือและเรื่องซุบซิบนินทาในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็รู้ว่าบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นเป็นคนไร้ค่า
แต่วันนี้ นึกไม่ถึงว่านางจะสามารถถอนพิษกร่อนกระดูกที่ไม่มีใครสามารถแก้ได้สำเร็จ!
นางฉุดพวกเขาทุกคนกลับมาจากความตาย!
บรรดาเสนาบดีไม่รู้ว่าพวกเขาจะอธิบายอารมณ์ในเวลานี้ของพวกตนได้อย่างไร พวกเขาเพียงแค่มองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ในเวลานั้น หัวใจของพวกเขาคล้ายกับมีรสชาติเปรี้ยว หวาน ขม เค็ม ตีกันอยู่ภายใน ความรู้สึกเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใด
“แม่หนู ตระกูลน่าหลานของข้าซาบซึ้งกับหนี้บุญคุญอันใหญ่หลวงนี้ยิ่งนัก!” แม่ทัพน่าหลานเต็มไปด้วยความห้าวหาญ ”เมื่อใดที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือของตระกูลน่าหลาน ขอให้เอ่ยออกมาได้ตลอดเวลา!”
แม้แต่หมอหลวงเจี่ยงที่รู้จักกันในนาม ‘หมอเทวดาผู้สามารถใช้สองมือปลุกคนตายให้กลับคืนมามีชีวิตได้’ ก็ยังยืนอยู่ข้างเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า ”คิดไม่ถึงเลยว่าพิษกร่อนกระดูกจะสามารถกำจัดได้ด้วยวิธีนี้ เมื่อแช่ตัวในน้ำร้อน พิษก็จะถูกชะล้างออกจากร่างกายตามรูขุมขน อีกทั้งยาสมุนไพรพวกนี้ก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อย”
หยวนเสี่ยวหมิงแค่นหัวเราะ ”ตาแก่นี่ทั้งโง่และอ่อนต่อโลกจริงๆ”
“เจ้าเงียบไปได้แล้ว” หลังจากตอบคำพูดของหยวนเสี่ยวหมิงผ่านทางกระแสจิต เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้าไปบอกว่า ”อดีตฮ่องเต้ หม่อมฉันยังมีเรื่องอื่นต้องทำอยู่เพคะ ในเมื่อตอนนี้พิษได้รับการชำระล้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หม่อมฉันกับสหายคงต้องขอตัวก่อน”
สหายหรือ
ดวงตาของขันทีซุนเคลื่อนไปหยุดลงที่ผู้เป็นนายของตนโดยอัตโนมัติ
องค์ชายมิต้องอยู่กับอดีตฮ่องเต้ตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสหรอกหรือ
“เจ้าไปก่อนแล้วกัน” ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหล่อเหลาเย็นชา รอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าของเขา ”ข้าขออยู่พักผ่อนที่นี่ต่อสักครู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ”พักผ่อนหรือ เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า”
“เปล่า” ราวกับจนปัญญา ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วเรียวของตนขยี้ตา ”พวกเราเดินกันมาทั้งคืนแล้ว ข้าเพียงแค่เหนื่อยเกินไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าแทนการบอกว่านางเข้าใจแล้ว ”เช่นนั้น เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”
“ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคลี่ริมฝีปาก
ขันทีซุนยืนมองภาพนี้จากด้านข้างโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ภายในใจนั้น กลับกระโดดโลดเต้น [เสแสร้ง องค์ชายต้องเล่นละครอยู่อีกแล้วแน่ๆ]
“จริงสิ จะว่าไปแล้ว…” เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังจะยกขาขึ้นเดิน หันกลับไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วหรี่ตาลง ”ตาของเจ้าหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป แล้วหลุบตาลงอย่างสงบ ”ตอนที่เจ้ากรีดมือตัวเอง”
“ข้าว่าแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพึมพำ แต่ถ้าก่อนหน้านี้เขาหายดีนานแล้ว เขาก็ไม่ควรที่จะปล่อยให้นางพาเขามาจนถึงที่นี่ได้นี่นา ระหว่างที่คิดเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้าไปทางขันทีซุน ”ขันทีซุน รบกวนท่านช่วยเตรียมห้องให้สหายของข้านอนพักสักครู่ด้วย ข้าจัดการธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับมา”
การประลองยุทธ์ไม่น่าจะกินเวลานานนัก
ถึงเวลาที่นางจะทำให้คนที่ขับไล่นางออกจากตระกูล และตัดโอกาสไม่ให้นางเข้าร่วมการประลองนี้ยอมแพ้ซะ!