เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นว่าขันทีซุนยังคงมองเพื่อนร่วมโต๊ะของนางอยู่ตลอดจนไม่ได้ตอบคำถามนาง นางก็เลิกคิ้วขึ้น ”ขันทีซุน มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“หืม” ขันทีซุนเพิ่งจะได้สติกลับคืนมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองเขา แล้วเอ่ยทวนเสียงเบาว่า ”รบกวนขันทีซุนแล้ว”
ขันทีซุนมีสีหน้าเหมือนถูกบีบคอ เขากระแอมออกมาอย่างแรง ”ไม่ขอรับ แค่ก ไม่มี! คุณหนู คุณหนูใหญ่โปรดวางใจ บ่าวจะไปจัดการให้สหายของท่านอย่างเหมาะสมขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว นางก็หมุนตัวเดินลงบันไดไป จากนั้นนางก็หยิบชุดผู้ชายออกมาทันที
หยวนหมิงยิ้มอย่างชั่วร้ายอยู่ในมิติสวรรค์ ”เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมจู่ๆ เจ้าถึงอยากเปลี่ยนชุดล่ะ”
“ใส่กระโปรงแล้วสู้ไม่ถนัด” เฮ่อเหลียนเวยเวยสะบัดแขนเสื้อยาวของตน นางดูเหมือนชายหนุ่มผู้สง่างาม แต่ก็ดูแตกต่างจากคนทั่วไป รูปร่างหน้าตาของร่างนั้นงดงามราวกับหยก
นางมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ยิ้มเป็นประกาย หันหน้าไปด้านข้างแล้วจัดคอเสื้อของตน
จากนั้นนางก็เดินทอดน่องเข้าสู่เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คน…
หลังจากที่มองร่างอันคุ้นเคยนั้นเดินลับสายตาไป ขันทีซุนจึงเพิ่งจะกล้าหันหน้ากลับไปมองผู้เป็นนายของตน ”ฝ่าบาท…”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโยนเศษผ้าในมือทิ้ง คิ้วสะอาดสะอ้านของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในชั่วพริบตา ”เรียกเจ้าของหอเฟิ่งหวงมาที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนตัวสั่น เขารู้ว่าองค์ชายกำลังจะเริ่มการสอบสวนเรื่องยาพิษ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกนิ้วของตัวเองขึ้นเล็กน้อย แล้วหน้ากากสีเงินก็ถูกสวมเพื่อปิดบังใบหน้าของเขา เสื้อคลุมสีขาวปลิวเป็นวงโค้ง ”องครักษ์เงาสิบแปดนาย จงฟังคำสั่งข้า”
“กระหม่อมอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!
องครักษ์เงาทั้งสิบแปดนายคุกเข่าข้างหนึ่งลงอย่างพร้อมเพรียง เสื้อคลุมของพวกเขาระกับพื้น
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”ไปตรวจสอบมาว่าปีศาจเฒ่าเป็นใคร”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์เงากระจายตัวไปในเวลาเดียวกัน
ขนนกสีดำสนิทร่วงหล่นลงมา เหลือไว้เพียงภาพแผ่นหลังของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มันดูดุดัน ชั่วร้าย เฉยเมย และโหดเหี้ยม
บรรดาเสนาบดีมององค์ชายสามที่เดินเข้ามาในห้องอย่างไม่รีบร้อน พวกเขาถึงกับจับต้นชนปลายไม่ถูก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ตอนที่ขันทีซุนเดินออกไป เขาพาศิษย์จากสำนักไท่ไป๋คนหนึ่งไปกับเขาด้วย แต่ทำไมตอนที่เขากลับมา คนคนนั้นถึงกลับกลายเป็นองค์ชายสามไปได้
“หลานมาช้าไป” น้ำเสียงอันราบเรียบของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังดูไม่ค่อยจริงใจเล็กน้อย ”หวังว่าเสด็จปู่จะอภัยให้ข้าได้”
อดีตฮ่องเต้กระแอมเบาๆ สองครั้ง แต่ไม่ได้เปิดโปงเขา เขาพึมพำว่า ”นั่งลง สถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ทุกอย่างปกติดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นจึงสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ”เจ้าไปเปิดหน้าต่างได้แล้ว”
องครักษ์รับคำสั่ง เขารีบเข้าไปยืนที่ข้างหน้าต่างอย่างรวดเร็ว พร้อมกับถือมีดเอาไว้เพื่อป้องกัน เขาตรวจสอบดูจนมั่นใจว่าอดีตฮ่องเต้และคณะจะสามารถรับชมการแข่งขันต่อได้
ความแตกต่างระหว่างการประลองยุทธ์กับการประลองประเภทอื่นนั้นคือการให้ผู้เข้าแข่งขันที่ถูกคัดเลือกมาจากทั่วทั้งจักวรรดินั้นยืนต่อแถวกันอย่างเป็นความลับ ไม่มีการประกาศชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขา แต่มีเพียงขานเรียกหมายเลขลำดับดังๆ เท่านั้น
ดังนั้นจึงไม่ใช่เพียงคนทั่วไป แต่แม้กระทั่งผู้อาวุโสของสี่ตระกดูลใหญ่ก็ไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน
แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สี่ตระกูลใหญ่กำลังให้ความสนใจอยู่ และนั่นก็คือผู้มีความสามารถที่อยู่ในการประลองนี้
ดังนั้นตั้งแต่เริ่มการประลอง พวกเขาจึงตั้งตารอคอยให้ขอทานในคำเล่าลือคนนั้นปรากฏตัว
เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยป่าวประกาศเอาไว้ว่าเขาจะมาปรากฏตัวในการประลองยุทธ์
แต่จนถึงตอนนี้ กลับยังไม่มีผู้เข้าแข่งขันที่โดดเด่นเป็นพิเศษปรากฏตัวขึ้นบนลานประลองเลยแม้แต่คนเดียว
ทุกเวทีล้วนแต่เงียบสงบ เว้นก็แต่เวทีของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่เอาชนะไปได้ในรอบแรก
จนกระทั่งเฮ่อเหลียนเวยเวยที่แต่งตัวเป็นผู้ชายปรากฏตัวขึ้น ตอนนั้นนั่นเองที่ผู้ตัดสินเพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นนาง พวกเขาพึมพำกับตัวเองในใจว่าโชคของชายคนนั้นค่อนข้างดีทีเดียว เพราะเขาเอาชนะไปได้สามรอบรวดแล้ว
เดิมทีแล้วในการประลองนี้ คนที่ชนะสองในสามจะได้รับการเลื่อนระดับ
แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่เคยพ่ายแพ้การประลองเลยแม้แต่รอบเดียวตั้งแต่เริ่มแข่งมา
และสุดท้าย
ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ตัดสินเท่านั้น แต่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ที่รอให้ถึงตาตัวเองต่างก็หันไปชมการประลองนั้นด้วยความสนใจ
“เป็นไปได้อย่างไรกัน เขาชนะอีกแล้วหรือ นี่มันรอบที่หกแล้ว เขายังไม่แพ้เลยแม้แต่รอบเดียวรึ”
“ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
“แปลกชะมัด! ทำไมข้าถึงสัมผัสพลังปราณจากเขาไม่ได้เลย… อ๊ะ! ข้าจำได้แล้ว!”
ฟุ่บ!
ชายที่ถือขวานคู่ไว้ในมือถูกท่าเตะกวาดอากาศของเฮ่อเหลียนเวยเวยถีบตกเวทีจนเห็นเป็นเส้นโค้ง
หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันด้านล่างตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า ”เขานั่นเอง!”
“ใครหรือ”
“ขอทานยอดฝีมือที่ปั่นหัวสี่ตระกูลใหญ่คนนั้นไงเล่า!”
“อะไรนะ”
“ดูท่าทางของเขาสิ เขาไม่มีพลังปราณ แต่เขากลับใช้กระบวนท่าพิศดารนั่นคว้าชัยชนะไปได้ บนแผ่นดินนี้จะมีใครที่สามารถทำเช่นนี้ได้อีก แล้วบนแผ่นดินนี้จะมีใครที่ไหนยากจะต่อกรได้เท่ากับยอดฝีมือคนนั้นอีกเล่า”
“เป็นเขาจริงๆ ด้วย!”
บรรดาผู้ชมขยี้ตา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสที่ได้เห็นยอดฝีมือในตำนาน หัวใจของพวกเขาเต้นแรง เลือดในกายเดือดพล่าน!
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ใกล้ชิดกับยอดฝีมือมากขนาดนี้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจสายตาตื่นตกใจและชื่นชมจากผู้ชม นางทำเพียงยิ้มบางๆ แล้วยืนหลังตรง ประจันหน้ากับบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่ยืนตะลึงงันอยู่ พร้อมกับกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ”คนต่อไป”
ทันทีที่สายลมจากทิศเหนือโบกพัด นางก็ขึ้นไปยืนอยู่บนลานไม้ ทุกการเคลื่อนไหวของนางสวยงามและอ่อนช้อย ร่างเพรียวบางของนางดูเหมือนกับหยกที่ทำให้นึกถึงภาพเขียนน้ำหมึกอันงดงามของประเทศจีน
บางคนก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง นางไม่ได้มีเสน่ห์มากจนดูโดดเด่น แต่เป็นเหมือนกับเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาจากฟ้า เย็นชา สูงส่ง งดงาม เงียบสงบ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใด
ขันทีซุนที่ยืนชมการแข่งอยู่สูงขึ้นไปเบิกตาโตจ้องคนที่อยู่บนเวที ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมองค์ชายถึงปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้ต่างไปจากคนอื่น
ความสับสนอลหม่านนี้ย่อมดึงดูดความสนใจจากผู้คนของสำนักไท่ไป๋ได้เป็นธรรมดา
บรรดาคุณชายจากตระกูลขุนนางนำโดยมู่หรงฉางเฟิงรับชมการแข่งนี้อยู่ไกลๆ ด้วยความเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาติดตามการแข่งนั้น
แม้แต่มู่หรงฉางเฟิงเองก็ยังเผลอจับตามองด้วยความสนใจโดยไม่รู้ตัว หากจวนอ๋องมู่หรงได้ยอดฝีมือผู้นี้มาเป็นหมากได้ ก็คงเหมือนการติดปีกเพิ่มให้กับพยัคฆ์เลยทีเดียว
“เยี่ยม!” อดีตฮ่องเต้ที่หายดี และกลับมามีชีวิตชีวาลูบเคราของตน พร้อมกับหัวเราะในลำคอ ”คนนี้ฝีมือไม่เลว”
“เอ่อ.. พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนรู้ว่าอดีตฮ่องเต้สายตาไม่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาอยู่ห่างจากเวทีมาก จึงทำให้ยากจะมองออกว่าคนที่เขาเพิ่งบอกว่า ’ไม่เลว’ คนนั้นคือบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียน
อดีตฮ่องเต้เลิกคิ้ว ”ทำไมรึ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”
“เปล่าๆ ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนส่ายหน้ารัวเร็วเพราะเห็นสายตาราบเรียบที่ผู้เป็นนายส่งมาให้ แล้วเอ่ยกับอดีตฮ่องเต้ว่า ”บ่าวโง่เขลานัก เป็นเพราะบ่าวไม่เคยเห็นการประลองที่วิเศษเช่นนี้มาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
อดีตฮ่องเต้พยักหน้าด้วยความพอใจ
ตอนนั้นเองที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนสายตาไปจากขันทีซุน แล้วจิบชาด้วยท่าทางพอใจ
“เจวี๋ยเอ๋อร์ ระหว่างเจ้ากับคนคนนี้ ใครแข็งแกร่งกว่ากัน” จู่ๆ อดีตฮ่องเต้ก็ถามขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เสนาบดีทุกคนหันไปมองทางด้านนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกสีดำที่นิ้วของเขาอย่างใจลอย มุมปากของเขาย้อมไปด้วยความชั่วร้าย แต่ในตอนที่เขากำลังจะเอ่ย จู่ๆ ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง!
“เดี๋ยวก่อน! ทำไมด้านหลังของยอดฝีมือคนนั้นถึงได้ดูคุ้นตาเช่นนี้ล่ะ!”