เฮ่อเหลียนเหมยไม่เห็นว่าเรื่องนั้นน่าสนใจแต่อย่างใด นางไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า ”ก็แค่ผู้เข้าแข่งขันฝีมือครึ่งๆ กลางๆ เพียงคนเดียว ไม่ว่าวรยุทธ์ของเขาจะดีเพียงใด หรือจะมีความสามารถขนาดไหน แต่ด้วยภูมิหลังของเขา เขาย่อมไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ได้อย่างแน่นอน ที่เขาดูเก่งกาจนักหนาก็เป็นเพราะข่าวลือไม่ดีจากในเมืองหลวงช่วยเอาไว้ต่างหาก เขายังเทียบกับพี่รองของข้าไม่ได้สักนิด นางชนะต่อกันมาเป็นรอบที่สิบแล้ว”
เหล่าคุณหนูที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างก็พากันพยักหน้า ”คุณหนูเหมยพูดถูก ถ้าพวกเราไปอยู่กลุ่มนั้น เราก็อาจจะชนะทุกคนในนั้นได้เหมือนกันกระมัง คนพวกนั้นเป็นแค่สามัญชนจากทั่วจักรวรรดิที่มารวมตัวกัน จะไปมีพิษสงอะไร”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น พวกนางก็ค่อยๆ ยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบ ส่วนเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่นั่งถัดจากพวกนางไปนั้น แม้นางจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ดวงตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความจองหอง นางไม่ได้แสดงมันออกมา แต่กลับแสร้งทำทีเป็นเขินอาย ภาพนี้ทำให้บรรดาคุณชายทั้งหลายแทบจะตกหลุมรักนางอย่างหัวปักหัวปำทีเดียว
แต่จู่ๆ ศิษย์คนหนึ่งของสำนักก็ผุดลุกขึ้น แล้วอุทานออกมาเสียงดังว่า ”เป็นไปไม่ได้”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“จะเป็นนางไปได้อย่างไร ต้องไม่ใช่นางสิ”
“ใครหรือ”
“เฮ่อเหลียนเวยเวย!” ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินลงมาจากเวที ดวงตาของศิษย์คนนั้นก็เต็มไปด้วยความตกใจ
เคร้ง!
ถ้วยชาในมือของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หล่นลงกระแทกพื้นก่อนจะกลิ้งไปมา นางหันกลับไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่แต่งตัวเป็นผู้ชายอย่างไม่เชื่อสายตา สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เป็นไปได้อย่างไร!
นังคนเหลือขอนี่ตายไปแล้วมิใช่หรือ!
ทำไมนางถึงยังมาปรากฏตัวที่การประลองยุทธ์ได้
“คนที่จัดการสี่ตระกูลใหญ่ด้วยมือเพียงข้างเดียวไม่ใช่ขอทาน แต่เป็นเฮ่อเหลียนเวยเวย!” บรรดาลูกศิษย์กระซิบกระซาบกันเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
มู่หรงฉางเฟิงจ้องมองร่างที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยความตกตะลึง
เฮ่อเหลียนเวยเวยดึงคอเสื้อของตัวเองขึ้นอย่างเกียจคร้าน แล้วก้าวเท้าออกไปข้างหน้าก้าวใหญ่ ขาของนางทั้งยาวและเพรียวบาง นางยืนอยู่ใต้ท้องฟ้ายามพลบค่ำ ท่าทางของนางทั้งงดงามและหล่อเหลา
กร็อบ!
ทันใดนั้นมู่หรงฉางเฟิงก็กำหยกในมือที่กำลังเล่นอยู่แน่น เขาเผลอออกแรงมากเกินไปจนนิ้วขึ้นข้อขาว เขารู้สึกว่าการหายใจของตัวเองนั้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แต่การเต้นของหัวใจกลับค่อยๆ รุนแรงขึ้น!
ในขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังลั่นอยู่นั้น สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ดูไม่น่ามองอย่างยิ่ง ใบหน้าของนางซีดเผือด!
อดีตฮ่องเต้พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาท่ามกลางความเงียบ ”ไม่แปลกใจเลยที่นางเป็นสายเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียน นางสามารถอดทนจนผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้ได้ ดี! ดียิ่งนัก!”
บรรดาเสนาบดีถึงกับพูดอะไรไม่ออกสักคำ แค่การที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถกำจัดพิษกร่อนกระดูกได้ก็ทำให้พวกเขาตกใจมากพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับมีคนบอกพวกเขาว่าขอทานที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองหลวงนั้น แท้จริงแล้วเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวย!
ทุกอย่างฟังดูเหมือนความฝันไม่มีผิด!
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่นางเอาชนะมาได้เจ็ดหรือแปดรอบติดต่อกันแล้วต่างหาก! รอบถัดไปนางจะต้องประมือกับบรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียง! เมื่อมาถึงรอบนี้ รูปแบบการประลองจะแตกต่างออกไปจากตอนแรก ผู้เข้าแข่งขันจะขึ้นเวทีตามหมายเลขของตน และเลือกคู่ต่อสู้ที่จะสู้ด้วยตัวเอง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หรี่ดวงตาที่ชั่วร้ายของตนเข้าหากัน แล้วเอ่ยอะไรบางอย่างข้างหูของเฮ่อเหลียนเหมยที่อยู่ข้างกาย ดวงตาของเฮ่อเหลียนเหมยเป็นประกาย แล้วนางก็โบกมือให้กับบรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางเหล่านั้น
“ก๊อง!”
เสียงระฆังดังกังวานเป็นสัญญาณบอกว่าการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!
คุณหนูฟางเป็นคนแรกที่เริ่ม นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า ”ข้าเลือกหมายเลข 151!”
หมายเลข 151 หรือ นั่นมันเฮ่อเหลียนเวยเวยมิใช่หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วเดินขึ้นไปบนเวที ”เชิญเลย”
“ยังกล้าพูดว่าเชิญเลยอีกหรือ” คุณหนูฟางเย้ยหยันเสียงดัง ”เจ้าเปิดร้านขายอาวุธ และเพิ่งจะชนะไปได้ไม่กี่รอบแท้ๆ แต่ตอนนี้เจ้ากลับคิดว่าตัวเองเก่งกาจแล้วหรือ หึ! เจ้ามันก็เป็นได้แค่คนชั้นต่ำเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาที่เคยผ่อนคลายของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เรืองแสงวาบ ไม่มีใครมองเห็นการเคลื่อนไหวของนางได้ชัดเจนนัก พวกเขาสัมผัสได้เพียงลมกระโชกแรงสายหนึ่งเท่านั้น! รู้ตัวอีกทีนางก็คว้าเข้าที่แขนของคุณหนูฟาง แล้วเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไปอย่างแรง!
เสียงปังดังลั่นไปทั่วทั้งสนาม!
ริมฝีปากของคุณหนูฟางซีดเผือด ความเจ็บปวดเป็นเหมือนกับคลื่นที่ถาโถมเข้าใส่ นางมองแขนของตนที่ห้อยอยู่ และไม่สามารถรวบรวมพลังปราณของตนได้ นางทำได้เพียงนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเวทีประลองเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อตัวลงมาเล็กน้อย ดวงตาของนางพราวระยับไปด้วยความขบขัน แล้วถามอีกฝ่ายว่า ”เจ็บหรือเปล่า ถ้าเจ็บก็สมควรแล้ว”
ขณะที่นางพูดเช่นนั้น ก็มีเสียงกระดูกลั่นดังขึ้นตามมา คุณหนูฟางทรมานเสียจนดวงตาของนางเบิกโพลง ใบหน้าของนางซีดจนไร้สี เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้พ่ายแพ้การแข่งขันในรอบนี้…
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทันทีที่นางตั้งท่าจะกลับลงไปพัก ผู้เข้าแข่งขันคนที่สองก็พูดขึ้นมาว่า ”ข้าเลือกหมายเลข 151!”
นางอีกแล้วหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินลงส้นเท้ากลับมา และมองคุณหนูที่ทำหน้าตาเย่อหยิ่งอยู่บนเวที แล้วจึงมองดูรอยยิ้มที่มุมปากของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ นางหรี่ตาลง
หลังจากรอบที่สองจบลง แน่นอนว่าผู้ชนะเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทันทีที่นางได้รับชัยชนะ นางก็ต้องกลับสู่สถานการณ์เดิมเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง! นางไต่ระดับขึ้นมาจากรอบคัดเลือกโดยตรง แม้ว่านางจะไม่ได้เหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนั้น แต่ก็รู้สึกกระหายน้ำใช่เล่น
ยิ่งการประลองเข้าสู่รอบที่ลึกขึ้นเท่าใด คู่ต่อสู้ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น อีกทั้งพลังปราณของแต่ละคนก็ยังมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันอีกด้วย เฮ่อเหลียนเวยเวยจำต้องเปลี่ยนกระบวนท่าของตัวเองเพื่อให้มั่นใจว่านางจะสามารถเอาชนะได้
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นต้องการใช้กลยุทธ์นี้เพื่อบั่นทอนพลังโจมตี และพลังกายของนาง
ต่อให้ในรูปแบบการประลองจะไม่มีกฎระบุเอาไว้ว่าห้ามท้าคู่ต่อสู้คนเดิมติดต่อกัน แต่นี่มันจะมากเกินไปแล้ว! เห็นได้ชัดเลยมิใช่หรือว่ามันเป็นการกลั่นแกล้ง
เหล่าขุนนางที่ยืนอยู่บนอาคารอดถอนหายใจไม่ได้ พวกเขาล้วนแต่คิดว่านางคงไร้หนทางจะเอาชนะได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจก็คือการที่องค์ชายสามที่มักจะมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอกลับเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง แววตาเย็นชาอันลึกล้ำแล่นผ่านดวงตาของเขา ราวกับดาบอันคมกริบ มันหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
“เงาทมิฬ ไปสืบมาว่านี่เป็นความคิดของใคร”
เงาทมิฬก้มหน้าลงด้วยความเคารพ แล้วขานรับว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขุนนางที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเขาด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าองค์ชายสามที่ไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องใดเลย ทำไมวันนี้เขาถึงออกปากขึ้นมาเองล่ะ
นอกจากสายตาเย็นชาในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว ภายในนั้นยังมีจิตสังหารรวมอยู่ด้วย เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนของเขา ต่อให้นางจะถูกรังแก แต่คนที่สามารถรังแกนางได้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
ตึง!
เสียงกลองดังขึ้นอีกครั้ง
ผู้ตัดสินมองกลอุบายอันชั่วร้ายนี้ออก แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก เพราะอย่างไรการประลองก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แสดงสีหน้าใดเช่นกัน ในความคิดของนาง วิธีการแบบนี้มันไร้ประโยชน์สิ้นดี ในยุคปัจจุบันนั้น ความไม่ยุติธรรมเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
เดิมทีนั้นโลกใบนี้ก็เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ คนที่ชนะเป็นราชา ส่วนคนแพ้ก็จะกลายเป็นกบฏอยู่แล้ว มันต่างกันแค่เพียงวิธีการเท่านั้น
คนพวกนั้นคิดจริงๆ หรือว่านางจะพ่ายแพ้เพราะเรื่องแค่นี้
ก็แค่ลูกไม้ตื้นๆ!
คนพวกนี้ประเมินฉายาราชินีนักรบของนางต่ำเกินไปแล้ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ แล้วหรี่ตาลงอย่างอันตราย ริมฝีปากของนางเม้มเข้าหากัน ก่อนจะหันไปหาผู้ตัดสิน ”ผู้ตัดสิน ข้าตรวจสอบรูปแบบการประลองมาก่อนหน้านี้ และข้าได้ตัดสินใจแล้ว”
“ตัดสินใจอะไรได้รึ” ผู้ตัดสินขมวดคิ้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา แล้วตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ”ข้าต้องการสู้แบบหนึ่งต่อสิบ!”