วันที่ 8 เมษายน
ในที่สุดหลินเยวียนก็มาถึงชมรมจิตรกรรมของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว
ที่เป็นครั้งแรกที่หลินเยวียนแวะมายังชมรม ตั้งแต่กลับมายังมณฑลฉิน
ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูมา หลายคนก็ลุกขึ้นยืน แววตาลุกโชนจับจ้องมาที่เขา มีคนเอ่ยถาม
“ท่านเทพกลับมาแล้ว วันนี้มาสอนเหรอ”
หลินเยวียนส่ายหน้าตอบ
วันนี้เขาไม่ได้มาสอน
ทุกคนอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครตอแยหลินเยวียน เพียงแต่มองตามเขาตาละห้อยโดยไม่รู้ตัว…
ในชมรมมีกำแพงสำหรับจัดแสดงผลงาน บนนั้นแขวนผลงานของสมาชิกในชมรมไว้
เมื่อก่อนตอนที่หลินเยวียนอยู่ ผลงานก็มักจะถูกนำไปแขวนโชว์อยู่บ่อยครั้ง แต่ช่วงนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
หลินเยวียนเดินมาถึงหน้ากำแพงจัดแสดง และมองดูผลงานที่แขวนไว้
ตอนนี้เขาต้องการผู้ช่วย ผู้ช่วยที่สามารถช่วยเขาวาดรูปได้จริงๆ
ผู้ช่วยคนนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีฝีมือดีพอถึงขั้นที่ผลงานถูกนำมาจัดแสดง
ภาพวาดบนผนังทุกชิ้น ล้วนมีชื่อของผู้สร้างสรรค์ผลงานเขียนไว้
มีชื่อของหลายคนที่หลินเยวียนรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะพวกเขาเป็นแขกประจำของกำแพงจัดแสดงผืนนี้ ก็เหมือนกับหลินเยวียนที่เมื่อก่อนผลงานของเขาก็ถูกนำมาอวดโฉมอยู่บ้างเป็นครั้งคราว…
“หลัวเวย?”
สายตาของหลินเยวียนจับจ้องไปยังภาพวาดแผ่นหนึ่ง
หลัวเวยคนนี้ เมื่อก่อนหลินเยวียนเคยเห็นชื่ออยู่หลายครั้ง
คนคนนี้เชี่ยวชาญภาพเขียนพู่กันโบราณ และฝีมือการวาดภาพเขียนพู่กันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินเยวียนเลย แตะถึงระดับมืออาชีพด้วยซ้ำ!
เพียงแต่ในครั้งนี้ ผลงานของหลัวเวยกลับไม่ใช่ภาพเขียนพู่กัน แต่เป็นภาพสเก็ตช์บุคคลที่ลงสีแล้ว
ไม่ใช่สไตล์การวาดภาพสมจริง
นี่เป็นภาพบุคคลในการ์ตูนตามแบบฉบับ
ภาพของหญิงสาวงามพิเลิศเฉิดฉันท์สีหน้าเรียบเฉยแกมเย่อหยิ่ง บนศีรษะสวมมงกุฎ ชายกระโปรงยาวสวยสง่าลากไปตามพรมแดง
ฉากหลังคล้ายกับจะเป็นพระราชวัง
สิ่งปลูกสร้างแกะสลักงามวิจิตร ถ้วยชาลายประณีต แม้แต่รอยยับบนกระโปรงของดรุณีก็พลิ้วไหวเป็นธรรมชาติ ดึงดูดสายตาผู้คนทันทีที่แรกเห็น
“ภาพวาดฝีมือประธานชมรมสุดยอดเหมือนเสกมาเลย!”
ด้านข้างมีเสียงหนึ่งดังมา หลินเยวียนหันไปมอง ก็พบว่าเป็นจงอวี๋
“ได้ยินว่าท่านเทพมาแล้ว ฉันก็รีบมาทันทีเลย” จงอวี๋ยิ้มพลางเอ่ยอธิบาย
หลินเยวียนพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยถาม “ประธานชมรมคือใครครับ”
“ท่านเทพไม่รู้จักเหรอ…เอาเถอะ ประธานชมรมไม่ค่อยได้เข้าชมรมหรอก เทอมนี้ต้องสอบซ่อมทุกวี่ทุกวัน…นายคงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้หรอกใช่ไหม เอาเป็นว่าหลัวเวยก็คือประธานชมรมจิตรกรรมของพวกเรา” จงอวี๋พูดแนะนำ
หลินเยวียนกระจ่างขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง เสียงนั้นแฝงไปด้วยความอืดอาดและไม่ใส่ใจ “ฉันก็ว่าใครมานินทาลับหลังว่าฉันสอบซ่อมอยู่ทุกวี่ทุกวัน ที่แท้ก็เป็นจงอวี๋ ปีนี้ฉันตกแค่สามวิชาเองค่ะ”
คำพูดนี้ พูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
จงอวี๋กลับหน้าเปลี่ยนสีทันที หันหน้าไปมองผู้หญิงที่เอ่ยคำพูดนี้ พูดด้วยรอยยิ้มขื่น “ประธานหลัว มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ…”
“พวกนายดูภาพวาดของฉันจนเคลิ้มแล้ว”
เรือนผมยาวของหญิงสาวที่พูดปล่อยระบ่า ใบหน้าเรียวเป็นธรรมชาติ สันจมูกเรียวตรง ดวงตาโตดำขลับ บวกกับรูปร่างสูงสะโอดสะองโดดเด่น ให้กลิ่นอายของสาวผมดำยาวในอนิเมะ ต่อให้อยู่ในสถาบันด้านศิลปะอย่างวิทยาลัยศิลปะฉินโจว รูปร่างหน้าตาของเธอก็จัดอยู่ในกลุ่มที่โดดเด่นอันดับต้นๆ
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ ใบหน้าซีกขวาของเธอมีแถบสีดำพาดอยู่
คนที่วาดภาพสเก็ตช์บ่อยๆ ก็น่าจะรู้ว่านี่เป็นร่องรอยบนใบหน้าซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากวาดภาพที่ใช้ความเข้มของเส้นสูง เช่นพวกเส้นผมเป็นต้น
เธอก็คือหลัวเวย ประธานชมรมจิตรกรรม
“หน้าเธอ…”
จงอวี๋เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
หลัวเวยชะงักไป ทันใดนั้นก็เอ่ยปากขอกระจกจากผู้หญิงด้านหลัง และทิชชู่เปียกเพื่อเช็ดหน้าให้สะอาด
ดังนั้น คนงามใบหน้าไร้ที่ติก็ปรากฏกายขึ้น
เธอมองไปยังหลินเยวียน ออกตัวพูดว่า “สวัสดี ฉันชื่อหลัวเวย ได้ยินเกี่ยวกับคุณมานานแล้ว อยากเจอมาตลอด วันนี้ได้เจอกันสักที”
“หลินเยวียนครับ”
หลินเยวียนแนะนำตัวเสร็จ ก็จ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความสงสัย “คุณเชี่ยวชาญการวาดการ์ตูนเหรอครับ”
หลัวเวยพูดอย่างมั่นใจ “พื้นฐานวาดภาพฉันก็ทำได้ทุกประเภท คุณล่ะ”
หลินเยวียนตอบ “ผมก็เหมือนกัน”
หลัวเวยเลิกคิ้ว กำลังจะเอ่ยตอบ จู่ๆ หลินเยวียนก็พูดขึ้นมาว่า “คุณมาเป็นผู้ช่วยวาดการ์ตูนของผมได้ไหมครับ”
เฮือก…
จงอวี๋ส่งเสียงแปลกประหลาด
ไม่เพียงจงอวี๋ สมาชิกชมรมจิตรกรรมไม่น้อยซึ่งคอยสอดส่องสังเกตการณ์หลินเยวียนกับหลัวเวยก็เผยสีหน้าตกตะลึง?
หลินเยวียนถึงกับให้ประธานชมรมมาเป็นผู้ช่วยของตัวเอง?
เขาไม่รู้ว่าประธานชมรมเป็นใคร?
เป็นจงอวี๋ที่กลัวว่าหลินเยวียนจะตกประหม่า จึงเอ่ยเตือนอย่างเสียไม่ได้ “ท่านเทพ ประธานหลัวเป็นจิตรกรชื่อดัง ไม่ว่าจะในโลกออนไลน์หรือในวงการจิตรกรรมก็มีชื่อเสียงในระดับหนึ่งเลยนะ…”
“อ้อ”
หลินเยวียนพยักหน้า
ขณะที่ทุกคนคิดว่าหลินเยวียนกำลังจะยอมแพ้ หลินเยวียนก็ตัดสินใจทำเรื่องหนึ่งด้วยความลำบากใจ ก่อนจะจ้องมองหลัวเวยพลางเอ่ยถามว่า “ผมให้เงินเดือนละหนึ่งหมื่นหยวน โอเคไหมครับ”
ทุกคนแทบกุมขมับ
หลัวเวยพูดอย่างขบขัน “ฉันเป็นนักวาดการ์ตูนเองก็ได้ อีกอย่างฉันสุ่มรับออเดอร์จากในเน็ตมาสักชิ้นก็ได้เงินเท่านี้แล้ว ทำไมต้องมาเป็นผู้ช่วยวาดการ์ตูนให้คุณด้วย”
หลินเยวียนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “โอเคครับ”
มาตรฐานภาพวาดของหลัวเวยสูงมาก ตรงกับมาตรฐานการเป็นผู้ช่วยในการวาดการ์ตูนของหลินเยวียน แต่น่าเสียดายที่เชิญมาไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงเลือกคนอื่น
“อันที่จริงฉันก็มีเรื่องจะมาหาคุณเหมือนกัน”
หลัวเวยมองไปยังหลินเยวียนอย่างยิ้มแย้ม “คุณยินดีจะมาเป็นประธานชมรมจิตรกรรมแทนฉันมั้ย”
“ไม่ครับ”
หลินเยวียนส่ายหน้าโดยไม่ต้องยั้งคิด
เขามีเรื่องต้องจัดการมากเกินพอแล้ว จะหาเวลาจากไหนมาเป็นประธานชมรมจิตรกรรม
สมาชิกชมรมจิตรกรรมกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่ ประธานชมรมจิตรกรรมเป็นตำแหน่งที่ดีอยู่หรอก แต่นั่นเป็นเพียงความปรารถนาของปุถุชนคนธรรมดาผู้มีพรสวรรค์ เทพอย่างหลินเยวียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก
หลัวเวยขมวดคิ้ว
จู่ๆ แววตาของเธอก็เป็นประกาย เอ่ยขึ้นด้วยซ้ำเสียงแฝงความเย้าแหย่ “คุณอยากให้เป็นผู้ช่วยช่วยคุณวาดการ์ตูนใช่ไหม พวกเราพนันกันสักตั้งไหมล่ะ”
“พนันอะไรครับ”
หลินเยวียนพลันรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที
“สีน้ำมัน สเก็ตช์ สีกวอช พู่กันโบราณ ทั้งหมดสี่ประเภท มาจับฉลากกัน จับได้อะไรก็แข่งอันนั้น”
“เดิมพันล่ะครับ”
“กฎพื้นฐานเลย ถ้าคุณแพ้ คุณต้องมาเป็นประธานชมรมจิตรกรรม ตอนนี้คุณอยู่ปีสาม ยังเหลือเวลาสองปีกว่าจะเรียนจบ เพราะงั้นคุณต้องมาเป็นประธานชมรมสองปี ถ้าฉันแพ้ ก็เหมือนกัน ฉันจะเป็นผู้ช่วยวาดการ์ตูนให้คุณสองปี ไม่คิดเงิน!” หลัวเวยเอ่ยพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ดีล!”
หลินเยวียนไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ภาพวาดพู่กันโบราณของหลัวเวยอยู่ในระดับมืออาชีพ
มองจากภาพสเก็ตช์การ์ตูนตรงหน้า ฝีมือการวาดสีกวอชของเธอน่าจะไม่เลวเลย ความสามารถของทั้งสองคนนับว่าสูสีกัน หลินเยวียนมีโอกาสชนะเพียงครึ่งเดียว
แพ้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร อย่างมากก็เป็นประธานชมรม
ถ้าชนะ เขาก็ได้ผู้ช่วยวาดการ์ตูนมาฟรีๆ!
……………………………………………………