บางครั้ง กลัวอะไรก็จะได้เจอกับสิ่งนั้น
สวีซื่อฉินพึ่งจะเริ่มพูด ก็มีเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นมาข้างหูของเขา “ฉินเกอ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ารักกัน แต่เรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องพูดถึงตัวเอง”
คนที่พูดคือสืออีเหนียง นางขัดจังหวะสวีซื่อฉิน จากนั้นก็มองไปที่สวีซื่ออวี้ “อวี้เกอ เจ้าก็ไม่ต้องพูดถึงตัวเอง”
ในขณะนี้ ฮูหยินสามที่กำลังกระวนกระวายเพราะว่าได้ยินสืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วไปเรียกสวีลิ่งอี๋และคุณชายสามมาก็ได้สติกลับมา เรื่องสำคัญที่สุดก็คือจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ ถึงตอนนั้น สกุลสวีจะเสียหน้า สกุลกานก็จะต้องเสียหน้า ยิ่งไปกว่านั้นหากพี่สะใภ้รู้ว่าเป็นเพราะว่าตัวเองจัดการไม่เรียบร้อย นางคงไม่ใช่แค่อารมณ์เสียเหมือนวันนี้ เกรงว่าแม้แต่ท่านลุงจงฉินปั๋วก็คงจะรู้ ท่านพ่อก็จะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง…
คิดเช่นนี้ ฮูหยินสามก็ตัวสั่นเทา
“ฉินเกอ ท่านอาสะใภ้สี่ของเจ้าพูดถูก” นางถือโอกาสตัดสินใจจัดการกับสถานการณ์ตอนนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน “พวกเจ้าสองคนก็ไม่ต้องช่วยพูดให้กัน ช่วยกันปิดบังแล้ว เรื่องนี้ข้ากับท่านอาสะใภ้สี่ของพวกเจ้าจะจัดการเอง” จากนั้นนางก็หันไปพูดกับสืออีเหนียง “น้องสะใภ้สี่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้อย่าพึ่งรบกวนท่านโหวและคุณชายสามเลยดีกว่า เจ้าไม่รู้ พี่สะใภ้ใหญ่ของข้ามาถึงก็โยนผ้าเช็ดหน้าใส่ข้าแล้วบ่นเป็นชุด ตอนนั้นข้าโมโหเป็นอย่างมาก ทำได้แค่โมโหที่เด็กๆ ไม่รู้ความ แต่คิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ได้ยินน้องสะใภ้สี่พูดเช่นนี้ มันมีลับลมคมในจริงๆ หากเอะอะโวยวายไปถึงท่านโหวและคุณชายสาม เกรงว่าคงจะดูไม่ดี ข้าคิดว่าเรื่องนี้ควรจะไปสืบมาก่อน จะได้ไม่เป็นการใส่ร้ายเด็กๆ ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้สี่คิดเห็นอย่างไร”
สีหน้าของฮูหยินสามหดหู่ ดูไร้เรี่ยวแรง
สวีซื่อฉินเรียบง่ายซื่อตรง สวีซื่ออวี้ชาญฉลาด
สืออีเหนียงรู้อยู่แก่ใจ เห็นว่ามันดีขึ้นนางก็ยอมปล่อยไป
แต่ก็ต้องมีวิธีการและกลยุทธ์
นางครุ่นคิดอยู่นานแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สามพูดมีเหตุผลเจ้าค่ะ เราเอะอะโวยวายไปหาท่านโหวและคุณชายสามเช่นนี้มันดูไม่ดี” นางพูดอย่างอ่อนโยน
ฮูหยินสามดีอกดีใจ รีบพูด “ใช่แล้ว”
แต่ใครจะรู้ว่าพึ่งจะพูดจบ น้ำเสียงของสืออีเหนียงก็เปลี่ยนไป “แต่ว่าเรื่องที่จะสืบนั้น…”
ฮูหยินสามตกใจอีกครั้ง “น้องสะใภ้สี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”
สืออีเหนียงทำสีหน้าหม่นหมองลง เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตั้งแต่ข้าแต่งเข้ามาในสกุลสวี พี่สะใภ้สามดีกับข้ามาตลอด บอกข้าว่าควรจะดูแลจวนเช่นไร แล้วยังแนะนำให้ข้าเป็นคนดูแลจวน จะว่าไปแล้ว ก็ราวกับเป็นพี่หญิงแท้ๆ ของข้า ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนจงฉินปั๋ว...” พูดจบนางก็ถอนหายใจ “ตอนนี้หากข้ายืนหยัดในความคิดของตัวเอง ข้าคงจะผิดต่อความเป็นห่วงที่พี่สะใภ้สามมีต่อข้ามาตลอด”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย “น้องสะใภ้สี่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเห็นว่าน้องสะใภ้สี่เป็นคนซื่อสัตย์ คู่ควรที่จะทำความรู้จัก ข้าจึงช่วยเหลือเจ้า แล้วอีกอย่าง เจ้าคือฮูหยินของหย่งผิงโหว ให้เจ้าเป็นคนดูแลเรื่องในจวนก็เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว”
“พี่สะใภ้สามอย่าพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านอายุเยอะกว่าข้า มีประสบการณ์มากกว่าข้า ข้าต้องเรียนรู้จากท่าน ไม่เช่นนั้น ท่านแม่ก็คงไม่ส่งข้าไปเรียนรู้กับท่านกระมัง” สืออีเหนียงพูดกับนางสองสามประโยค จากนั้นก็กลับมาที่ประเด็นหลัก “เช่นนั้น เรื่องนี้ก็รบกวนพี่สะใภ้สามแล้วนะเจ้าคะ” จากนั้นก็หันไปกระซิบกับฮูหยินสาม “ถึงอย่างไร เรื่องศักดิ์ศรีของทั้งสองสกุลนั้นเป็นเรื่องสำคัญ”
“ใช่ ใช่ ใช่” ท่าทีของสืออีเหนียงอ่อนโยนราวกับแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว ทำให้ฮูหยินสามรู้สึกโล่งใจ “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง!”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
พวกนางสองคนหันหน้ามามองกันอย่างเป็นมิตร
“ท่านอาสะใภ้สี่ของเจ้าพูดถูก เรื่องนี้ต้องสืบให้ชัดเจน” ฮูหยินสามพูดอย่างเคร่งขรึม “ใครช่วยพวกเจ้าหาชุดบ่าวรับใช้มา ใครเป็นคนขี่รถม้าไปส่งพวกเจ้าที่จวนจงฉินปั๋ว สาวใช้ที่ติดตามไปด้วยไปไหนกันหมด ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน” ไม่พูดถึงเรื่องของสวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งหนิงเลยสักคำ
เด็กทั้งสามคนได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย
สวีซื่อเจี่ยนมีสีหน้าดีใจ สวีซื่ออวี้และสวีซื่อฉินกลับขยิบตาให้กัน สวีซื่ออวี้เลิกคิ้วขึ้น ส่วนสวีซื่อฉินพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
สืออีเหนียงที่คอยสังเกตสีหน้าของเด็กทั้งสามคน เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สวีซื่ออวี้ไม่รู้ความจริงๆ
ตัวเองช่วยเขาแก้ต่าง ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความผิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่สำนึกผิด แต่ยังหยักคิ้วหลิ่วตาให้สวีซื่อฉิน…
“เกอเอ๋อร์” นางสีหน้ามืดมนลง “ถึงแม้เรื่องนี้ต้องรอให้ป้าสะใภ้สามของเจ้าไปตวรจสอบก่อน แต่สุภาพบุรุษควรอยู่ห่างจากที่อันตราย เจ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากที่คารวะไท่ฮูหยินแล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า เจ้าก็ไม่สามารถเดินออกมาจากห้องลี่จิ่งเซวียนแม้แต่ก้าวเดียว เมื่อท่านป้าสะใภ้สามของเจ้าตรวจสอบเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ข้าค่อยจัดการกับเจ้า” พูดจบก็พูดกับหู่พั่ว “เจ้านำคำพูดของข้าไปบอกเหวินจู๋ คุณชายน้อยสองถูกกักบริเวณ หากคุณชายน้อยสองหายไปจากสายตาของพวกนางอีก เฆี่ยนคนละสามสิบทีแล้วก็ไล่ออกจากจวน”
ไม้ที่ใช้เซี่ยนคนรับใช้ของสกุลสวี ถูกเฆี่ยนเพียงสิบห้าทีก็อาจจะถึงตายได้ แต่สามสิบที แล้วยังเป็นสาวใช้ที่อายุแค่สิบกว่าปี หากถูกเฆี่ยนจริงๆ ต้องตายอย่างแน่นอน
ทุกคนในที่นั้นหายใจเข้าลึกๆ แม้แต่หู่พั่วก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวีซื่ออวี้ ได้ยินเช่นนี้เขาก็สีหน้าซีดลง
“ท่านอาสะใภ้สี่…” สวีซื่อฉินเอ่ยเรียกสืออีเหนียงด้วยสีหน้าอ้อนวอน
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่เห็น
“ดึกมากแล้ว เช่นนั้นข้าขอพาอวี้เกอกลับไปก่อน!” นางพยักหน้าให้ฮูหยินสาม “ประเดี๋ยวท่านโหวกลับมาแล้วจะเป็นห่วง!”
ฮูหยินสามพยักหน้าซ้ำๆ แล้วไปส่งสืออีเหนียงออกไป
หันกลับมาก็เห็นบุตรชายสองคนยังคงคุกเข่าอยู่ที่นั่น บุตรชายคนโตพูดว่า “ท่านแม่ ทางฝั่งน้องหญิงสาม ท่านช่วยขอร้องท่านป้าใหญ่ได้หรือไม่ขอรับ นางไม่รู้ว่าเราอยากจะนำผ้าเช็ดหน้าไปให้นางด้วยซ้ำ” ส่วนบุตรชายคนเล็กบอกว่า “ท่านแม่ ตอนที่ท่านป้าใหญ่มาพูดเรื่องนี้ ท่านควรจะทำเหมือนท่านอาสะใภ้สี่ ถามท่านป้าใหญ่ว่าเหตุใดถึงบอกว่าเราเป็นคนนำผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไปให้ ตอนนั้นพวกเราบอกให้ท่านป้าคนหนึ่งช่วยนำเข้าไปให้ นางไม่ได้เจอหน้าพวกเราขอรับ”
ความโมโหที่พึ่งจะสงบลงก็ระเบิดออกมาราวกับประทัดที่จุดไฟ “พวกเจ้าสองพี่น้อง ยังมีหน้ามาพูด หากพวกเจ้าไม่ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ข้าจะถูกท่านป้าใหญ่ของเจ้าสั่งสอนหรือ ข้าจะก้มหัวให้ท่านอาสะใภ้สี่ของเจ้าหรือ ท่านป้าใหญ่ของพวกเจ้าจะกล้าบอกว่าจะให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานกับพี่ใหญ่ของเจ้าหรือ”
คุณนายใหญ่สกุลกานจะให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานกับสวีซื่อฉิน พวกเขาสองพี่น้องพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
สวีซื่อฉินอ้าปากค้าง
สวีซื่อเจี่ยนพูดด้วยความตกใจ “ท่านป้าใหญ่จะให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานกับพี่ใหญ่จริงๆ หรือขอรับ เช่นนั้นทำไมท่านถึงบอกว่าคนที่เขียนบทกวีให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์คือพี่สองเล่า” พูดจบเขาก็โยนความสงสัยออกไปไว้ข้างหลัง จากนั้นก็ยิ้มหน้าบาน “แต่พี่ใหญ่แต่งงานกับพี่หญิงสามก็ดีแล้วนี่ขอรับ พี่ใหญ่ชื่นชอบ ส่วนพี่หญิงสามก็หน้าตาดี นิสัยก็ดี ตอนที่พี่หญิงใหญ่ไม่สบาย บรรดาสาวใช้ไม่กล้าเข้าไปดูแล มีแต่พี่หญิงสามที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ อย่างใกล้ชิด…”
ฮูหยินสามมองดูบุตรชายคนเล็กที่พูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด แล้วก็มองไปที่บุตรชายคนโตที่ยิ้มซื่อบื้ออยู่ข้างๆ นางก็โมโหจนพูดไม่ออก เดินวนรอบๆ ห้องสองสามรอบ หางตาเหลือบไปมองเห็นไม้ปัดขนไก่สีแดงที่สอดอยู่ในกระถางดอกไม้บนโต๊ะตรงมุมห้อง จึงดึงมันออกมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เรื่องนี้เป็นความคิดของใคร เจ้าบอกข้ามาประเดี๋ยวนี้” นางมือสั่นชี้ไปที่บุตรชาย “เช่นนั้น พวกเจ้าไม่ต้องคิดว่าใครจะรอด”
*****
สวีซื่ออวี้เดินตามสืออีเหนียงมาอย่างเงียบๆ มองดูรูปร่างที่เพรียวบางและสง่างามข้างหน้า ฟังเสียงกลองที่ดังมาจากระยะไกล เดินอยู่บนทางเดิน โคมไฟสีแดงส่องลงบนพื้นทำให้เกิดแสงที่อบอุ่น เขาลังเลที่จะพูดอยู่หลายครั้ง เมื่อลานของสืออีเหนียงโผล่เข้ามาในสายตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดินแล้วพูดว่า “น้องหญิงสาม…จะไม่เป็นอะไรหรือขอรับ”
พูดจาติดๆ ขัดๆ ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดและสับสน
สืออีเหนียงที่เดินอยู่ข้างหน้าแล้วเหลือบตามองสวีซื่ออวี้อยู่ตลอดก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
รู้จักเป็นห่วงย่วนเจี่ยเอ๋อร์ ถือว่าไม่เลว!
นางอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อหันกลับไปยังมีสีหน้าที่เย็นชา นางถามกลับ “เจ้าคิดว่าเช่นไร”
สวีซื่ออวี้ลังเล
“ข้าได้ยินน้ำเสียงของฉินเกอเมื่อครู่ เขาเจอกับย่วนเจี่ยเอ๋อร์ตอนที่เสียนเจี่ยเอ๋อร์เป็นอีสุกอีใส?” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ใช่ขอรับ!” สวีซื่ออวี้รีบพยักหน้า “เจอกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
สืออีเหนียงเหลือบตามองสวีซื่ออวี้ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “อีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อ บรรดาสาวใช้ล้วนแต่ไม่กล้าเข้าไป แต่ย่วนเจี่ยเอ๋อร์กลับดูแลนางอยู่ตลอด สถานะของนางไม่ต้องบอกก็รู้ แต่พวกเจ้ายังไปทำร้ายชื่อเสียงของย่วนเจี่ยเอ๋อร์…”
“เราไม่ได้ทำ! ไม่ได้ทำนะขอรับ!” สวีซื่ออวี้หน้าซีด เขาโบกมือปฏิเสธซ้ำๆ “พี่ใหญ่รู้ว่าท่านป้าสามอยากให้เขาแต่งงานกับพี่หญิงใหญ่ แต่พี่หญิงใหญ่เป็นคนเย่อหยิ่ง พี่ใหญ่ไม่ค่อยชอบนาง…” เขาพูดเบาลง “ท่านป้าสามจะพาพวกเขาไปซานหยางแล้ว…พี่ใหญ่จึงแค่อยากจะบอกน้องหญิงสาม…เราแค่ใช้เงินให้คนนำผ้าเช็ดหน้าไปมอบให้นาง…” พูดจบเขาก็มองมาที่สืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก “นางไม่รู้อะไรทั้งสิ้น จริงๆ นะขอรับ นางไม่รู้อะไรเลย แล้วอีกอย่าง พวกเราไม่ได้เข้าไปในลาน”
นึกถึงบทกวีที่เขียนบนผ้าเช็ดหน้า ท่าทีของพวกเด็กๆ…สืออีเหนียงเชื่อวว่าสวีซื่ออวี้พูดความจริง แต่ปัญหาก็คือคุณนายใหญ่สกุลกานนั้นจะเชื่อหรือไม่
แต่นางอยากให้เขาได้รับบทเรียน
ต่อไปจะได้ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ทำร้ายคนอื่นและทำลายตัวเองเช่นนี้อีก
“ข้าเชื่อว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง” สืออีเหนียงพูดอย่างเย็นชา “แต่สำหรับย่วนเจี่ยเอ๋อร์แล้ว พวกเจ้าเป็นคนทำร้ายนาง ข้ากักบริเวณเจ้าก็เพื่อที่จะให้เจ้าถือโอกาสนี้สำนึกผิด คิดไตร่ตรองว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ” พูดจบนางก็หันไปบอกชิ่นเซียง “เจ้าไปส่งคุณชายน้องสองกลับเรือนเถิด”
ชิ่นเซียงตอบกลับอย่างตัวสั่น กลับไปที่ห้องลี่จิ่งเซวียนกับสวีซื่ออวี้ที่มีสีหน้าหดหู่
มองแผ่นหลังที่เดินออกไปไกลของพวกเขา หู่พั่วก็พูดด้วยความเป็นห่วง “ฮูหยินเจ้าคะ เราขัดแย้งกับฮูหยินสามเช่นนี้ เกรงว่าฮูหยินสามจะไม่พอใจเอานะเจ้าคะ”
“สถานการณ์เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่เรือ” สีหน้าของสืออีเหนียงเคร่งขรึม “หรือจะให้ข้ายอมรับผิดกับอวี้เกอ ฮูหยินสามจะได้สงบลงแล้วไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไร?”
หู่พั่วลังเล “น่าจะไม่เจ้าค่ะ…”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทำไมเราต้องยอมด้วยเล่า” ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะพูดเบาๆ แต่มันกลับหนักแน่นราวกับทองคำและก้อนหินกระทบกัน “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฮูหยินสามอยากจะจัดการกับข้าเป็นการส่วนตัว ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปถึงหูของไท่ฮูหยิน ข้าก็ไม่มีทางยอมนาง ยิ่งไปกว่านั้น อวี้เกอเป็นคนของเรา หากข้าไม่ปกป้องเขา เขาก็คงจะเสียใจ”
หู่พั่วครุ่นคิด
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา หันหน้าแล้วเดินเข้าไป
จากนั้นก็เห็นซิ่วหยวนและเยี่ยนหรงกำลังยืนคุยกันอยู่หน้าม่านกันลมไม้จื่อถานแกะสลักตรงหน้าห้องโถง