“ฟังดูแล้ว เหมือนเจ้าจะมีคุณงามความดีจากเรื่องนั้นจริง”
ทุกคนหันหน้าไปมอง
พวกเขาเห็นร่างอันโดดเด่นและทรงเสน่ห์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้ามาแต่ไกล
เสื้อคลุมสีดำของเขาโบกสะบัด ท่าทางดูเฉยเมยและเย้ายวนอยู่ในทีประหนึ่งชายผู้สูงศักดิ์ที่หลุดออกมาจากภาพวาด ดวงตาของเขาเย็นชาห่างเหิน แสงนวลที่ลอยอยู่ในดวงตาของเขานั้นเป็นความเสน่หาไปหนึ่งส่วน และอีกเก้าส่วนเป็นความโหดเหี้ยมไร้ความปรานี
ริมฝีปากบางของเขาโค้งขึ้น ครึ่งหนึ่งของใบหน้านั้นถูกหน้ากากสีเงินปิดบัง เผยให้เห็นเพียงรอยยิ้มอันเสแสร้ง ผมสีดำยาวของเขาถูกมัดรวบเอาไว้ ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงเป็นบรรยากาศที่ดูทั้งชั่วร้ายและดีงาม
จากนั้นเขาก็เอียงศีรษะ กัดถุงมือสีขาวที่มือของตนออก แล้วคายมันออกไปด้านข้าง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในท่าทางเช่นนี้เป็นอันตรายต่อชีวิตมากที่สุด
มันทำให้บรรดาเด็กสาวหลงใหลเขาได้อย่างง่ายดาย
จะมีก็แต่เพียงคนที่รู้จักเขาดีเท่านั้นที่รู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาเข้าสู่สภาวะนี้ นั่นหมายความว่าเขากำลังจะเริ่มต้นเก็บกวาด
เขาจะก้าวเข้าไปหาตัวคนมาเฆี่ยนตี และเสียบประจานศพต่อหน้าสาธารณชนอย่างไร้ซึ่งความเมตตา วิธีการของเขานั้นมีความพิเศษมากทีเดียว…
ตั้งแต่ตอนที่นางเห็นการปรากฏตัวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ความคิดของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็สับสนวุ่นวาย หัวใจของนางเต้นโครมครามจนหูแทบระเบิด นางช้อนดวงตาสุกใสชุ่มด้วยน้ำตาของตนมองไปหาเขา ”องค์ชายเพคะ…”
นางคิดว่าท่าทางเช่นนี้จะทำให้นางดูเป็นคนอ่อนแอและใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม อย่างไรองค์ชายก็ชอบสตรีลักษณะนั้นมาโดยตลอด
นังผู้หญิงชั้นต่ำนั่น เรื่องนี้ย่อมไม่จบเช่นนี้แน่ ตอนนี้องค์ชายสนใจเรื่องนี้แล้ว
มิใช่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีของนางหรอกหรือ
เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่เคยให้ความสนใจนางมาก่อน
วันนี้เป็นครั้งแรกที่องค์ชายพูดกับนาง!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกว่าในที่สุดโอกาสของนางก็มาถึงแล้ว และนางกำลังคิดจะอ้าปากขึ้นพูดอะไรบางอย่าง
แต่แล้วก็ได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยต่อ ”วางแผนสมคบคิดฆ่าผู้อื่นได้อย่างกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก นอกจากเจ้าแล้ว ข้าก็แทบไม่เคยเห็นใครเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ในเมื่อเจ้าคิดว่าตัวเองได้ทำคุณงามความดีเอาไว้ เช่นนั้นข้าก็จะให้รางวัลตอบแทนเจ้าสักนิดก็แล้วกัน”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถึงกับตะกุกตะกัก นางอ้าปากค้าง แต่ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้แม้แต่จะมองนางเลยด้วยซ้ำ
“ขันทีซุน รับราชโองการ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกวาดสายตามองทุกคน น้ำเสียงของเขาชั่วร้ายและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”จากวันนี้เป็นต้นไป จวนตระกูลฮว๋ายจะมีภรรยาสองคน บอกให้พวกเขาส่งของหมั้นไปให้ฮูหยินซูด้วย เข้าใจหรือไม่”
ขันทีซุนชะงักไปในตอนแรก แล้วจากนั้นเขาก็มองดูสีหน้าของอดีตฮ่องเต้ด้วยท่าทีลังเล และเห็นว่าชายชราไม่มีความเห็นอันใด
เขาจึงพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
รางวัลขององค์ชายคือการส่งคนไปสู่ประตูนรกอย่างแท้จริง
ยิ่งกว่านั้น เขายังถามหาสินสอดอีกด้วย นี่คือสิ่งนี้เขาตั้งใจเอาไว้หรือ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ยังรู้สึกว่าข้อเสนอสินสอดครั้งนี้ดูแปลกไปเล็กน้อย นางเหลือบมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างอดไม่ไหว
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ องค์ชายก็ยังคงเย็นชาและดูไม่แยแสเหมือนเช่นเเคย และนั่นทำให้ไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาได้เลย
“องค์ชาย!” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ร้องออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด ”องค์ชายทำเช่นนี้ได้อย่างไร องค์ชายทำเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ!”
“เจ้าต้องการฝ่าฝืนราชโองการหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วอย่างเย็นชา
“หม่อมฉัน… หม่อมฉัน…” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองตรงไปที่เหล่าเสนาบดีอย่างรวดเร็ว
บรรดาเสนาบดีค่อนข้างเกรงกลัวผู้อาวุโสของสี่ตระกูลใหญ่ พวกเขารู้ว่าเหล่าผู้อาวุโสนั้นเอ็นดูเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เป็นพิเศษ ดังนั้น เมื่อพวกเขาสามารถอ้าปากได้ พวกเขาจึงกล่าวว่า ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ การจะพระราชทานสมรสอย่างกะทันหันเช่นนี้ย่อมมิค่อยถูกต้องนัก หากอัครเสนาบดีซูและคนที่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์รู้เรื่องเข้า…”
“เวยเวย ” แทนที่จะรอให้เสนาบดีเหล่านั้นพูดจบ ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เผยอขึ้นเล็กน้อย แล้วเรียกชื่อของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยขานรับด้วยน้ำเสียงเป็นคำถาม ”เอ๋”
พอนางพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่องค์ชายเรียกชื่อของนาง
แต่ทำไมน้ำเสียงนั้นมันถึงได้เหมือนกำลังเรียกแมวอยู่เลยล่ะ
มีแค่น้ำเสียงตอนท้ายเท่านั้นที่กลับฟังดูนุ่มนวลจนทำให้นางยากจะปฏิเสธได้
“ทำให้เขาเห็นหน่อยสิว่าหลานชายของเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกวางยาพิษ ปล่อยให้หมอนั่นตายไปซะ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นราบเรียบไม่แยแส
มันเป็นความไม่แยแสที่ทำให้บรรดาเสนาบดีหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ!
ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบ
พวกเขาไม่กล้าอ้าปากขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะกลัวว่าองค์ชายสามจะโจมตีพวกเขาไปด้วย!
มีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยคนเดียวเท่านั้นที่ขานรับด้วยรอยยิ้มว่า ”ได้เพคะ”
ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นอย่างเกียจคร้านราวกับไม่เกรงกลัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลยแม้แต่น้อย
ร่างของคนทั้งสองยืนตระหง่านโดยมีตะวันตกดินเป็นฉากหลัง คนหนึ่งเย็นชาราวกับไม่ใช่มนุษย์ ส่วนอีกคนมีรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับปีศาจ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองจะสามารถส่งเสริมกันได้เช่นนี้
เมื่อคนทั้งสองร่วมมือกันแล้ว ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังกว่าเดิม
เดิมทีนั้นมีเพียงเฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงคนเดียวที่ทำให้เหล่าเสนาบดีถูกข่มขู่จนหวาดกลัวได้
แต่ตอนนี้กลับเพิ่มองค์ชายสามเข้ามาด้วย
บรรดาเสนาบดีมองหน้ากันและกัน เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาจากหน้าผากของพวกเขา
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูไม่เข้าทีนัก เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็กลืนเลือดที่อยู่ในปากของตน แล้วฝืนยิ้มออกมา ”เจียวเอ๋อร์ไม่ได้มีเจตนาที่จะฝ่าฝืนราชโองการเพคะ เพียงแต่คุณชายฮว๋ายหนานได้รับน้องสามเป็นภรรยาของเขาแล้ว หม่อมฉันเกรงว่าหากทำเช่นนี้ น้องสาวของหม่อมฉันจะรู้สึกอึดอัดได้”
นางมองไปที่เฮ่อเหลียนเหมยพร้อมกับเอ่ยเช่นนั้นออกมา โดยคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรที่เป็นการช่วยให้นางรอดพ้นจากปัญหานี้ไปได้
อย่างไรเสียพวกนางก็เคยร่วมมือกันแบบนี้มาก่อน
แต่นางคาดไม่ถึงว่า
เฮ่อเหลียนเหมยจะหัวเราะขึ้นมา น้ำเสียงของนางอยู่ในลำคอและฟังดูแหบห้าวน่ากลัว ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกไม่สบายใจ ”พี่รองคิดมากเกินไปแล้ว ข้าจะรู้สึกอึดอัดได้อย่างไร ข้าอยู่กับท่านมาตั้งแต่ยังเด็ก หากหลังจากนี้พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันได้ เช่นนั้นก็คงจะดียิ่งนัก ท่านวางใจได้เลยว่าหลังจากที่ท่านแต่งงานแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องมาที่เรือนของข้าเพื่อรินน้ำชาให้ทุกวันก็ได้ แม้ว่าท่านจะเป็นเพียงอนุภรรยา แต่ข้าจะอนุญาตให้สามีของข้าดูแลท่านเป็นอย่างดีแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เบิกกว้างราวกับเห็นผี ”น้องสาม เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
“พี่รอง ท่านจะตื่นเต้นไปทำไมหรือ” ดวงตาของเฮ่อเหลียนเหมยปรากฏแววเย็นชาขึ้นมา ”ท่านไม่ได้หมายความว่าถ้าข้าอนุญาต ท่านก็จะทำตามราชโองการที่ว่าให้แต่งงานหรอกหรือ”
เพราะคำพูดของเฮ่อเหลียนเหมย เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จึงไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์ของตนได้อีกต่อไป นางผุดลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนออกมาโดยไม่สนใจว่าตรงนั้นจะมีใครอยู่บ้าง ”เฮ่อเหลียนเหมย เจ้ามันเสียสติไปแล้ว! เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ! ใครจะไปอยากแต่งงานกับคนที่เป็นหมันเช่นนั้น มีแต่เจ้าที่ไม่เห็นค่าตัวเอง และแอบไปพลอดรักกับฮว๋ายหนานคนเดียวเท่านั้นล่ะ! เจ้าเอาข้าไปเทียบกับเจ้าได้หรือ ข้าเป็นสมบัติที่อยู่ในมือของท่านพ่อกับท่านแม่ เจ้าเอาข้าเข้าไปรวมกับเจ้าได้อย่างไร!”
“ดูเหมือนว่านั่นคือสิ่งที่พี่รองคิดกับข้าสินะ” หยดเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเฮ่อเหลียนเหมย ”ก็ดีเหมือนกัน ท่านที่เป็นสมบัติของตระกูลจะได้ตกนรกไปพร้อมกับข้า พี่รอง ท่านวางใจได้เลยว่าทันทีที่ท่านมาที่จวนตระกูลฮว๋าย ข้าจะตอบแทนให้ท่านอย่างงามเชียว!”
ตอนที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ได้ฟังคำพูดของเฮ่อเหลียนเหมย นางก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นน้องสาวของตน นางเป็นเด็กดีเสมอมาแท้ๆ
หรือเป็นเพราะ… เพราะน้ำชาถ้วยนั้นหรือ
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับมาตั้งสติได้ นางก็มองเฮ่อเหลียนเหมยอีกครั้ง สายตาที่นางคุ้นเคยหายไปแล้ว แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชังที่สามารถกัดกร่อนเข้าไปได้ถึงกระดูก
“น้องสาม ฟังข้าอธิบายก่อน…”