หนิงเซ่าชิงหมุนตัวหันหลัง นัยน์ตาของเขาฉายลำแสง “ที่เจ้ามา เพราะมีธุระหรือไม่มีธุระกันแน่ หากไม่มีการใด…” ขณะพูดมือของเขาจับที่เอว ทำทีจะชักกระบี่ออกมา
เวลานี้เขากำลังโมโห ไม่อาจไปเจอมั่วเชียนเสวี่ยได้ ทั้งยังไม่อยากเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของซูชี ระบายความโมโหกับหลูเจิ้งหยางก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
หลูเจิ้งหยางรีบเดินเข้าไปกดมือของหนิงเซ่าชิง พูดด้วยรอยยิ้ม “อย่า! มีครั้งใดบ้างที่กระบี่หยกมายาของเจ้าออกจากฝักแล้วไม่ได้กินเลือด วันนี้ข้าเจิ้งหยางไม่คิดจะเสียเลือดของตนให้กระบี่ เจิ้งหยางมาในครั้งนี้ เป็นเพราะ…”
……
ท้องฟ้าสว่างเล็กน้อย ซูชีปรากฏตัวอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์ของจวนกั๋วกง
ภายใต้การจับจ้องของซูชี มั่วเชียนเสวี่ยสวมชุดคล่องตัว กระโดดข้ามรั้วได้อย่างฉับไว หลังจากนั้นนางเชิดคางให้ซูชีด้วยความลำพองใจ
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ข้างรั้วด้วยความลำพองใจ ซูชีเคลื่อนตัวมาจากกลางลานฝึกยุทธ์ พยักหน้า “อืม ไม่เลว”
ขณะมั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าเขาจะชื่นชมนาง ใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถฝึกยุทธ์ได้ระดับนี้ ซูชีกลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คิดไม่ถึงว่านกโง่เขลาจะมีวันที่ทะยานตัวขึ้นบินได้”
นี่…ถือว่าเป็นมุกตลกใช่หรือไม่
ความรู้สึกนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยได้ความรู้สึกคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานกลับมา สหายในยุคปัจจุบัน ทุกคนล้วนพูดจาเช่นนี้ ทำให้คนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้ำไห้ ทั้งยังให้ความรู้สึกสนิทสนม
นางพูดตำหนิ แต่กลับคลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “พูดจาประสาอะไร เจ้าหนิ”
พูดจบ มองซูชีอย่างพิจารณา ซูชีในวันนี้ไม่ใช่ซูชีในชุดสีม่วงอย่างที่นางเคยพบเจอ ไม่ได้ถือพัดวางท่าเจ้าชู้ แต่สวมชุดเครื่องแบบ รัศมีชายชาติทหารโอบล้อมอยู่รอบตัวเขา มองตั้งแต่หัวจรดเท้าครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแล้วพูดขึ้น “โอ้โห เจ้าได้เลื่อนตำแหน่ง จึงมาโอ้อวดข้าใช่หรือไม่”
แม้เมื่อวานซูชีจะตัดสินใจเผยความในใจให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้ แต่เขาเองก็รู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเอามือท้าวเอว วางท่าทระนง “เป็นอย่างไรบ้าง ชุดนี้หล่อเหลาใช่หรือไม่”
ความเป็นจริงมือที่ท้าวเอว ก่อนหน้านี้เตรียมจะหยิบพัดออกมาจากเอว เพียงแต่ตอนที่เขาจับเอวของตนเอง กลับว่างเปล่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนท่าเป็นเอามือทั้งสองข้างมาท้าวเอว
จะหยิบพัด? เป็นการกระทำตามความเคยชิน! มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจ แต่ก็หัวเราะซูชีในใจ
ยกมือขึ้นป้องปาก ในที่สุดก็กลั้นหัวเราะได้ นางฝืนใจพูด “อืม พอไปวัดไปวาได้” ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เขาจะเก็บพัดไว้ที่ใด จะใช้พัดแสร้งทำตัวเจ้าคารมเช่นใดอีก
สีหน้าเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ของมั่วเชียนเสวี่ย ซูชีจะไม่รู้ได้อย่างไร รอยยิ้มของสตรีคนนี้ทำให้เขาหวั่นไหวเสมอ
ซูชีเลิกคิ้วขึ้น “เพื่อเจ้า วันนี้ข้าถึงกับโดดประชุมราชสำนัก บอกไว้ก่อน เหลือเวลาไม่มาก หลังจากสอนเจ้าเสร็จ ข้าต้องไปรายงานตัวที่กรมแม่ทัพเก้าประตู”
หลังจากพูดจบซูชีถอยหลังหนึ่งก้าว เคลื่อนตัวไปตรงกลางลานฝึกยุทธ์ “วาดกระบวนท่าวิชากระบี่ที่ข้าสอนเจ้าเมื่อวาน ข้าจะดูว่าเจ้าเข้าใจประมาณเท่าใด แล้วจะได้ให้คำแนะนำกับเจ้า…”
มั่วเชียนเสวี่ยได้ฟัง หัวใจหล่นวูบ เอ่ยถาม “วันนี้มีเวลาไม่มากเช่นนั้นหรือ” นางตั้งใจว่าวันนี้ไม่มีการใด จะตั้งใจเรียนกับซูชีอย่างดี ฝึกฝนให้มาก หลังจากนั้นค่อยถามเรื่องในกรมทหาร
ท่าทีเสียดายของมั่วเชียนเสวี่ย ทำให้ซูชีอารมณ์ดีอย่างมาก หรือว่านางตัดใจจากหนิงเซ่าชิงได้แล้ว…หนิงเซ่าชิงกลับเมืองหลวงแต่ไม่พานางเข้าจวน เกรงว่าคงอยากจะให้นางตัดใจกระมัง…
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม แล้วจัดลำดับความสำคัญ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แบบนี้ก็แล้วกัน เจ้าฝึกกระบวนท่าของวิชากระบี่ให้ข้าดูอีกหนึ่งหน ดูว่าข้าจะเรียนรู้ได้เท่าใด หลังจากฝึกเสร็จ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
สีหน้าของซูชีฉายความสงสัย “ถามสิ่งใด ถามตอนนี้ไม่ได้หรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว “เจ้าจะฝึกหรือไม่”
ซูชีกลอกตา พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าฝึกๆ…” แม้น้ำเสียงไม่ค่อยจริงจังเท่าใดนัก แต่กลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน เคล้าไปด้วยความเอาอกเอาใจ “ข้าฝึกให้ดูก็ได้ เจ้าตั้งใจดูให้ดี”
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าด้วยความจริงจัง
ซูชีหุบยิ้ม ทะยานตัวขึ้นคว้ากระบี่แล้วเริ่มวิชากระบี่ทั้งห้ากระบวนท่าป้องตัว ฟาด ฟัน แทง และหลบยามซูชีรำกระบี่ หล่อเหลายิ่งนัก สีหน้าเปี่ยมไปด้วยพลัง แตกต่างจากความร่าเริงแจ่มใสในยามปกติของเขา และรอยยิ้มทะเล้นราวกับเป็นคนละคน
ห้ากระบวนท่านี้แลดูง่ายดาย ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่อวานหลังจากจัดการสาวใช้ทั้งสองคน มั่วเชียนเสวี่ยฝึกวิชากระบี่อีกครึ่งวัน ยังคงไม่อาจเข้าใจสัมผัสของกระบี่ได้
แต่ว่า มีพื้นฐานเมื่อวานแล้ว วันนี้ดูซูชีกวัดแกว่งกระบี่อีกครั้ง นางก็พอจะเข้าใจมากขึ้น คิดว่าหากเย็นวันนี้ฝึกฝนอีกสักหน่อย แม้ไม่กล้าพูดว่าจะฝึกได้สำเร็จ แต่ก็คงฝึกได้ประมาณหนึ่ง
รอซูชีเก็บพลังปราณ หยุดนิ่ง มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปหาเขาแล้วยื่นมือไปรับกระบี่ในมือ
มั่วเชียนเสวี่ยทำอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าซูชีกลับหยุดชะงัก เขาสามารถเขวี้ยงกระบี่ ปล่อยให้กระบี่กลับไปยังชั้นวางด้วยตนเอง แต่คิดก็ส่วนคิด แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ทำลายความหวังดีของนาง ยกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วยื่นกระบี่ให้นางอย่างใจกว้าง รอยยิ้มของเขาในครั้งนี้อบอุ่น อ่อนโยน ไร้ซึ่งความเสแสร้ง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สังเกตรอยยิ้มของเขา เพียงก้มหน้าลงรับกระบี่ จากนั้นเดินไปเก็บกระบี่บนชั้นวางให้เรียบร้อย นางคิดเรียบง่ายมาก ซูชีสอนวิชากระบี่ให้นาง แม้จะเก็บค่าสอน แต่ถึงอย่างไรก็คือว่าเป็นอาจารย์ของนางครึ่งหนึ่ง นางดีกับเขาก็เป็นเรื่องที่สมควร
ซูชีมองแผ่นหลังของมั่วเชียนเสวี่ย ความอบอุ่นก่อตัวขึ้นในใจ หากหลังจากนี้ มีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ฝึกวรยุทธ์กับเขา รับกระบี่ให้เขา เขาไม่มีสิ่งใดจะขออีกแล้ว!
แต่พอหันกลับมามอง มั่วเชียนเสวี่ยยังคงเห็นเป็นซูชีที่ไม่เคยมีสิ่งใดอยู่ในสายตา
ไม่รอมั่วเชียนเสวี่ยเดินกลับมา ซูชีเดินไปหานาง มือหนึ่งจับชั้นวางอาวุธ อีกมือหนึ่งจับดาบบนชั้นวางเล่น ถามอย่างไม่ใส่ใจ “พูดมาเร็วเข้า เรื่องใดทำให้เจ้ากังวลเช่นนี้”
มั่วเชียนเสวี่ยกดอาวุธที่ถูกซูชีจับเล่น จ้องมองไปที่เขา ขยับเข้าไปใกล้กะทันหัน พูดเสียงต่ำ “ข้าอยากให้เจ้าเล่าให้ข้าฟังว่าท่านพ่อตายบนสนามรบเช่นไร”
หากปกติ มั่วเชียนเสวี่ยเป็นฝ่ายขยับเข้ามาพูดใกล้ชิดกับเขา ย่อมเป็นสิ่งที่ซูชีปรารถนา
ทว่า ซูชีในเวลานี้รูม่านตาหดเล็ก คำถามนี้ยากจะตอบ นี่เกี่ยวข้องกับหลายประเด็นนัก หากไม่ระวัง ต้องสูญเสียแม้กระทั่งชีวิตคนในตระกูล ซูชีเงียบ สีหน้าเคร่งขรึม มั่วเชียนเสวี่ยห่อเหี่ยวใจ นางรู้ดีว่าคำถามนี้กะทันหันเกินไป
ซูชีถามหยั่งเชิง “เจ้าสงสัยการตายของบิดาเจ้าเช่นนั้นหรือ” หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เขาจะไม่พูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว รู้น้อย นางก็จะมีชีวิตยืนยาวขึ้น มีความสุขมากขึ้น
เมื่อครู่มั่วเชียนเสวี่ยตระหนักได้ว่าการตายของบิดาซับซ้อนยิ่งนัก เวลานี้นางจึงไม่ได้ถามต่อ แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจ “ก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นทั้งหมด ข้าเพียงอยากรู้ว่าท่านพ่อจัดสรรกองกำลังทหารเช่นไรก่อนจะสิ้นใจก็เท่านั้น”
เมื่อได้ฟัง หัวใจของซูชีหล่นวูบอีกครั้ง สองคำถามนี้คล้ายจะไม่เหมือนกัน ทว่ามีส่วนเกี่ยวโยงกัน เขาสงสารนาง จึงพูดปลอบโยนด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นเพียงสตรี จะรู้มากเช่นนั้นเพื่อการใด”
หากมีคนแตะต้องนางจริงๆ เขาสาบานว่าจะปกป้องนางจนถึงที่สุด
“ไม่ว่าเจ้าจะมองข้าเช่นไร ถึงอย่างไรข้าก็เห็นเจ้าเป็นสหาย” มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเศร้าแล้วพูดขึ้น “ข้าหายตัวไปครึ่งปี ใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับหนิงเซ่าชิงในหมู่บ้านหวังจยา ผู้อื่นไม่รู้ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะไม่รู้เช่นนั้นหรือ เวลานี้ฝ่าบาทยอมให้ข้ามีลมหายใจ น่าจะเป็นเพราะเห็นแก่อำนาจทางการทหาร แต่เวลานี้ข้ายังคงสับสนยิ่งนัก ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ากลัวว่า…สักวันหนึ่งข้าตายไปแล้วก็ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตนตายได้เช่นไร”