ตอนที่ 271 แอบรายงาน
หลังจากจัดการเอกสารสำหรับโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและสำนักงานต่าง ๆ แล้ว หลินม่ายก็กลับไปที่ร้านอาหาร
แต่กลับพบว่าหัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋มานั่งอยู่หน้าร้าน ท่าทางกระวนกระวายเหมือนมีเรื่องร้อนใจ
เมื่อเขาเห็นว่าเธอกลับมาแล้วก็มีท่าทางอ่อนลงและเริ่มทักทาย “โอ้ ในที่สุดก็ได้เจอเธอซักที”
หลินม่านค่อนข้างประหลาดใจและเอ่ยถามว่า “ลมอะไรหอบลุงมาถึงนี่คะเนี่ย”
หญิงสาวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสกุลอู๋เพียงเวลาสั้น ๆ ไม่ได้มีไมตรีอะไรต่อหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้นัก แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายกลับมาหาถึงที่นี่
รอยยิ้มเป็นมิตรปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ม่ายจื่อ ตอนที่เธออยู่ที่หมู่บ้าน เราก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน”
หลินม่ายพยักหน้าตอบ “ทุกคนดูแลฉันดีมาก”
ในช่วงเวลานั้นต้องขอบคุณชาวบ้านที่ช่วยปกป้องเธอ
ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถออกจากครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้
หญิงสาวจดจำเรื่องนี้ได้เสมอ
แม้ว่าเธอจะจงเกลียดจงชังครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลินม่ายจะเกลียดทุกคนที่ใช้นามสกุลอู๋
เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายขึ้น
“บอกมาเถอะค่ะ ว่ามีธุระอะไร” หลินม่ายเข้าประเด็น
หัวหน้าหมู่บ้านจึงเริ่มเข้าเรื่องเช่นกัน “คือว่า ผู้จัดซื้อที่เป็นคนของเธอจะรับซื้อผลผลิตจากหมู่บ้านแถว ๆ เมืองซื่อเหม่ย แต่ไม่ได้ซื้อจากหมู่บ้านของเรา
ถึงแม้ว่าฉันจะพยายามคุยกับพวกเขาดี ๆ แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ยอม บอกว่ายังไงจะรับซื้อเฉพาะผลผลิตของพื้นที่รอบเขตเมืองซื่อเหม่ยเท่านั้น
ที่ฉันมาหาเธอครั้งนี้เพราะอยากให้เธอช่วยรับซื้อสินค้าของพวกเราหน่อย เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น”
หัวหน้าหมู่บ้านมองเธออย่างมีความหวัง
หลินม่ายได้ฟังก็ยิ้มตอบ “ถ้าเป็นเรื่องปากท้องของคนในหมู่บ้าน ฉันจะรับซื้อสินค้าของหมู่บ้านแน่นอนค่ะ
และให้เป็นหน้าที่ของลุงในการช่วยเป็นธุระให้
ลุงรวบรวมสินค้ามาก่อน แล้วฉันจะส่งคนไปรับซื้อโดยตรง
แต่ฉันอยากให้ลุงช่วยตรวจคุณภาพผลผลิตให้ด้วย เพราะของไม่ดีลูกค้าก็ไม่อยากซื้อ”
เมื่อหญิงสาวตกลง สีหน้าของเขาดูดีใจเป็นอย่างมาก “ไม่ต้องห่วงเรื่องคุณภาพของเลย ฉันรับประกันให้เอง”
“แต่ฉันไม่รับซื้อผลผลิตของบ้านนึงนะคะ ลุงก็น่าจะรู้ว่าบ้านไหน”
หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว ไม่รับของครอบครัวอู๋เสี่ยวเจี๋ยนใช่ไหม”
หลินม่ายพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม “ใครเป็นคนบอกที่อยู่ของฉันกับลุงเหรอคะ”
มีคนจำนวนน้อยนิดที่นั่นที่รู้ว่าที่อยู่ใหม่ของเธอคือที่ไหน
หัวหน้าหมู่บ้านยิ้ม “ฉัยถามจากคุณปู่คุณย่าฟางน่ะสิ”
และกล่าวเสริมอีกว่า “ฉันจะไม่บอกที่อยู่ของเธอกับคนอื่นอีก”
หลินม่ายเชิญเขาร่วมกินมื้อกลางวันด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธและมีท่าทางตื่นเต้นว่าจะรีบกลับไปบอกข่าวดีกับทุกคน
หลินม่ายเห็นว่าเขายังไม่ได้จ่ายค่าอาหารจึงไม่คิดเงินและเลี้ยงเกี๊ยวที่ขายในร้านแก่เขาก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวกลับ
เธอไปที่ตลาดสดอีกครั้งและขอให้เฉินเฟิงอธิบายกับลูกน้องว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ให้ไปรับซื้อผลผลิตของกมู่บ้านสกุลอู๋ และหัวหน้าหมู่บ้านจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้
ตอนเที่ยงเมื่อฟางจั๋วหลานกลับมาที่ร้านอาหาร หลินม่ายก็เล่าเรื่องการจดทะเบียนสำนักงาน โรงงานเสื้อผ้า และเครื่องหมายการค้าให้เขาฟัง
และยังเล่าต่อด้วยว่าในที่สุดเฉินเฟิงก็ตกปากรับคำไปทานอาหารเย็น แต่จะรอให้เหลียนเฉียวกลับมาก่อน
ฟางจั๋วหลานถามด้วยความสนใจ “เหลียนเฉียวเป็นแฟนของเขาหรือเปล่า”
หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ระหว่างนั้นมีเสียงข่าวทางวิทยุที่เรียกความสนใจจากทั้งคู่
เป็นขาวที่ยาวเล็กน้อย เนื้อหาคือ มีการนำเสื้อผ้ามือสองนอกระบบมาขาย
เป็นของที่อันตรายต่อสุขภาพของคนซื้อ
จึงมีความต้องการที่จะปราบปรามการนำเข้าเสื้อผ้ามือสองอย่างจริงจัง
ใครก็ตามที่ทำการซื้อขายเสื้อผ้ามือสองโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะจำนวนเท่าไร จะต้องได้รับโทษหนัก อย่างต่ำคือหนึ่งหมื่นหยวน และโทษจำคุกหนึ่งปีถึงประหารชีวิต
หลินม่ายแอบดีใจที่ไม่ได้ไปซื้อเสื้อผ้ามือสองราคาถูกมาขายแล้ว เพราะคราวที่แล้วเธอไปกวางโจวแล้วเจอปัญหา
ไม่งั้นคงขาดทุนย่อยยับของจริง
อาจถึงขั้นล้มละลายเลยก็ได้
หลังอาหารกลางวันและงีบหลับ หลินม่ายก็ปั่นสามล้อไปขายถุงน่องที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง
ถ้าถุงน่องไหมห้าพันคู่ขายหมดไม่ทันเธอคงจะลำบาก
เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าเธอขายถุงน่อง แม่ค้าสาวจึงเขียนป้ายขนาดใหญ่พิเศษมาติดที่รถสามล้อ
เมื่อมาถึงห้างที่ใหญ่ที่สุดในเจียงเฉิง ถุงน่องของเธอก็ขายดิบขายดี
ราวกับเป็นการแจกฟรีก็ไม่ปาน ลูกค้าต่างพากันเข้ามาเลือกซื้อไม่ขาดสาย
อุปสรรคเดียวคือต้องคอยหลบเทศกิจอยู่เรื่อย ๆ
โชคดีที่มีสามล้อทำให้ปั่นหนีได้รวดเร็วมาด ไม่อย่างนั้นคงถูกจับไปพร้อมกับสินค้าแล้ว
ฝั่งตรงข้ามของถนน หวังหลงเห็นหลินม่าย ก็ยิ้มร้ายกาจออกมาอย่างมีแผนการในหัว
หลินม่ายหลบเทศกิจอยู่ที่หน้าตึกแถว หอบหายใจอย่างเหนื่อย ๆ ลังเลว่าจะกลับไปอีกครั้งดีหรือไม่
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ล้มเลิกเรื่องที่จะกลับไปอีกครั้ง
ถ้าขืนถูกจับได้ขึ้นมาจริง ๆ คนที่ทำผิดบ่อย ๆ แบบเธอคงถูกลงโทษอย่างหนัก หญิงสาวจึงเปลี่ยนใจจะไปขายที่ตลาดกลางคืนที่ถนนเจียงฮั่นแทน
ระหว่างที่กำลังจะกลับเด็กสาวสองคนก็เดินเข้ามา ชี้ไปที่ถุงน่องบนรถแล้วเอ่ยถาม “ถุงน่อง ขายยังไงคะ”
“สี่หยวนค่ะ” หลินม่ายตอบพร้อมชูนิ้วบอกราคา
สองสาวจึงเลือกซื้อสินค้าทันที
หลังจากนั้นไม่นาน สามล้อของเธอก็กลายเป็นเนืองแน่นไปด้วยลูกค้าถุงน่องไหม
และตอนนั้นหลินม่ายก็เริ่มคิดขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ห่างจากหน้าห้างเพียงร้อยเมตรเท่านั้น
การขายถุงน่องหน้าร้านตัวเองยอดขายไม่ได้เลวร้ายไปกว่าการไปขายหน้าห้างเลยซักนิด ไม่ต้องคอยหลบเทศกิจอีกด้วย
ทำไมถึงคิดไม่ถึงเลยนะ
หวังหลงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นแบบนั้นจึงไปที่หน่วยงานรัฐเล็ก ๆ แถวนั้น ยืมโทรศัพท์โทรแจ้งว่าหลินม่ายขายสินค้าบนถนน
หลังจากแอบรายงานแล้วก็ซ่อนตัวเพื่อดูผลลัพธ์
หลินม่ายกำลังขายดิบขายดี เทศกิจสองคนก็ตรงเข้ามาจะยึดสินค้าของเธอ
แต่แม่ค้าสาวปฏิเสธ “ทำไมถึงจะยึดสินค้าของฉันล่ะคะ”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่อธิบาย “คุณขายของบนถนน”
“แต่นี่มันหน้าร้านฉันนะคะ”
ยุคสมัยนี้มีการอนุญาตให้ทำธุรกิจหน้าร้านของตัวเองได้
เจ้าหน้าที่เอ่ยอย่างเข้มงวด “คุณต้องเอาเอกสารรับรองกรรมสิทธิ์ของร้านมาให้เราพิสูจน์ ว่าร้านนี้เป็นของคุณ ไม่งั้นของจะถูกยึด”
อวี๋เจียจิ้นเดินออกมาจากบ้านของเขาและหันมาพ฿ดกับเจ้าหน้าที่ “เธอเป็นเจ้าของตึกนี้จริง ๆ ครับผมเป็นพยานได้”
จากนั้นเขาก็หันไปบอกหลินม่าย “กลับบ้านไปเอาเอกสารมาให้เขาดูเถอะ เดี๋ยวผมเฝ้าของให้เอง”
หลินม่ายรีบวิ่งกลับมาฝั่งตรงข้าม เอาเอกสารทั้งหมดให้พวกเขาดู เทศกิจทั้งสองจึงจากไป
ก่อนจะกลับ พวกเขายังเตือนเธอว่าให้เลิกไปขายของที่ริมถนนหน้าห้างไม่อย่างนั้นจะถูกจับและลงโทษอย่างหนัก
หวังหลงที่ซุ่มดูอยู่ก็คิดว่าหลินม่ายคงติดศีลบนเจ้าหน้าที่จึงโกรธมาก
ในขณะที่หลินม่ายพบว่าถุงน่องนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เธอควรจะจ้างพนักงานซักคนมานั่งขายตรงนี้
ถุงน่องสองร้อยคู่จากเมื่อวานขายหมดอย่างรวดเร็ว หลินม่ายจึงกลับเข้าไปในร้านแล้วขึ้นไปที่ชั้นสอง
เจิ้งซวี่ตงกำลังพูดคุยกับพนักงานที่ชั้นสองพอดี
เธอขอให้เขาจัดพนักงานสองคนมาให้ช่วยขายถุงน่องที่ชั้นล่าง
เจิ้งซวี่ตงเลือกพนักงานหน้าตาดีและขายของเก่งลงไปประจำจุดนั้น
หลินม่ายพูดคุยกับพวกเขานิดหน่อย ให้เด็กสาวคนหนึ่งทำหน้าที่นี้ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป
อีกคนจะขายตอนสิบโมงเช้าถึงเที่ยงพรุ่งนี้ และตั้งแต่บ่ายสองถึงห้าโมงเย็น
คนหนึ่งขายตอนกลางวัน อีกคนขายตอนกลางคืน แบ่งเป็นกะ
ทำแบบนี้เธอจะได้ไม่ต้องเอาของไปขายเองและฟางจั๋วหลานจะได้ไม่ต้องตามเธอไปที่ถนนเจียงฮั่นตอนกลางคืน และยังมีเวลากลับบ้านอ่านหนังสือมากขึ้นอีกด้วย
สองวันต่อมาเฉินเฟิงก็ไปซื้ออาหารทะเลแห้งมาได้ตามที่ต้องการ และในที่สุดตลาดสดก็เปิดทำการอย่างเป็นทางการ