“อ้อ จริงด้วย นม”
อินซอบเช็กกระดาษที่เขียนลิสต์รายการของที่ต้องซื้อไว้ก่อนจะพูดเสียงดังออกมา เขาเพิ่งจะเดินผ่านโซนที่จัดเรียงนมเอาไว้มาเมื่อสักครู่นี้เอง
“เดี๋ยวผมมา รอสักครู่นะครับ”
ได้ยินอินซอบพูดดังนั้น อีอูยอนก็พูดว่า “ผมไปด้วยครับ” พลางยิ้ม
“แต่รถเข็นมันหนักมากเลยนะครับ อีกอย่างแค่เลี้ยวตรงมุมนี้ไปก็ถึงแล้วครับ”
ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ว่างมากในเวลาปกติพลุกพล่านวุ่นวายเพราะเป็นช่วงสุดสัปดาห์
“งั้นผมจะรออยู่ตรงนี้นะครับ”
อินซอบพยักหน้าก่อนจะรีบเดินไปยังที่ที่จัดเรียงนมเอาไว้ หลังจากเจอนมยี่ห้อที่ดื่มเป็นประจำและตรวจสอบวันหมดอายุแล้ว เขาก็ถือมันมา
“ได้แล้ว”
อินซอบกอดนมขวดใหญ่ไว้และรีบเดิน ขณะที่เขาเลี้ยวตรงหัวมุมของชั้นวางแสดงสินค้า
“ขอโทษนะคะ”
ภาษาเกาหลีที่ได้ยินจากที่ไหนสักที่ทำให้อินซอบสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเขาเต้นตึกตัก
“ใช่คุณอีอูยอนหรือเปล่าคะ”
ผู้หญิงสองคนเดินมาตรงหน้าของอีอูยอน และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง อีอูยอนที่สวมแว่นกันแดดอยู่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และเลือกสินค้าที่อยู่บนชั้นแสดงสินค้า
“เอ๊ะ? ไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่สิ เขาเหมือนมากๆ เลยนะ ลองถามอีกทีสิ”
คราวนี้หญิงสาวสะกิดไหล่ของอีอูยอน ตอนนั้นเองอีอูยอนถึงได้หันหน้ามา
“ใช่คุณอีอูยอนหรือเปล่าคะ”
[ผมไม่รู้เลยครับว่าคุณกำลังพูดถึงใครอยู่]
อีอูยอนยิ้มพร้อมกับตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ
“อะไรกันเนี่ย ได้ยินเสียงไหม”
“เยี่ยมไปเลย”
“ไม่ใช่อีอูยอนแล้วยังไงล่ะ ในชีวิตนี้เราจะได้คุยกับผู้ชายที่หล่อขนาดนี้เมื่อไหร่”
หญิงสาวสองคนหัวเราะคิกคักก่อนจะเหลือบมองอีอูยอน ส่วนอีอูยอนก็เอาขนมใส่ในรถเข็นก่อนจะเดินหายทางโซนถัดไปอย่างไม่รีบร้อน
“เป็นลูกครึ่งหรือเปล่านะ จากที่มองดูหน้าอย่างละเอียดแล้วน่ะ”
“ว่าแต่อีอูยอนจะมาอยู่ในที่แบบนี้ทำไมล่ะ เขาไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะ พอไม่มีอีอูยอนแล้วฉันไม่มีอารมณ์จะดูละครกับหนังเลย”
“ฉันว่านะ พวกนักแสดงที่มีหน้าตาระดับนั้น แถมยังมีฝีมือทางการแสดงขนาดนั้นก็มีแค่อีอูยอนคนเดียวเท่านั้นแหละ”
“เพราะแชยอนซอคนเดียวเลย นักแสดงที่น่าเสียดายเลยหายไปหนึ่งคน แค่นึกถึงอีกครั้งก็หงุดหงิดขึ้นมาแล้ว”
“เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ในวงการบันเทิงบ้านเราจริงๆ เห็นข่าวที่ลงคราวนั้นหรือเปล่า”
เสียงพูดพร่ำไปเรื่อยค่อยๆ ห่างออกไป หลังจากมองจนแน่ใจแล้วว่าผู้หญิงพวกนั้นหายไปแล้ว อินซอบก็เดินเข้าไปด้านในโซนนั้น แต่เขากลับไม่เห็นอีอูยอน ที่โซนถัดไปก็เหมือนกัน
“ไป…”
เขาไม่สามารถเรียกชื่อของอีอูยอนได้ เพราะกลัวว่าผู้หญิงพวกนั้นจะได้ยิน อินซอบมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าร้อนรน ตอนนั้นเองอะไรบางอย่างเย็นๆ ก็แตะเข้าที่แก้มของเขาอย่างกะทันหัน
“…!”
พออินซอบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ พบว่าเป็นอีอูยอนกำลังโบกกระป๋องเบียร์
“เอ่อ…คือ…”
อีอูยอนแย่งนมในมือของอินซอบมาใส่ในรถเข็น และเอ่ยถามว่า “ซื้อครบทุกอย่างหรือยังครับ” อินซอบพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
“ไปกันไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าอีกครั้ง
ในขณะที่เอาของที่ซื้อมาใส่ในรถ อีอูยอนก็เอ่ยถามอินซอบ
“แวะร้านไอศกรีมกันดีไหมครับ”
การจ่ายตลาดนั้นแค่สั่งให้พวกคนรับใช้ไปทำให้ก็ได้แล้ว แต่อินซอบกลับบอกว่า “เราจะไม่รบกวนญาติของคุณอีอูยอนให้มากที่สุด และผมจะไปจ่ายตลาดเอง”
แม้อีอูยอนจะรู้สึกรำคาญใจในตอนแรก แต่เขาก็ไม่พูดอะไรเป็นพิเศษ เพราะพอใจกับการที่ได้ใช้เวลาขับรถไปด้วยกัน หรือแวะไปที่ไหนสักที่ครู่หนึ่งหลังจากที่จ่ายตลาดเสร็จ
“ไอศกรีมเหรอครับ”
“ร้านที่เราไปกินกันคราวนั้นไงครับ”
แม้จะเกลียดอาหารหวานอย่างไอศกรีม แต่เพราะรู้สึกชอบใจกับท่าทางของอินซอบที่ทำตาเป็นประกายราวกับลูกหมาและยืนครุ่นคิดอยู่หน้าตู้ไอศกรีม เขาจึงแวะบ้างเป็นบางครั้ง
อินซอบพยักหน้าเงียบๆ
อีอูยอนเปิดวิทยุในขณะที่ขับออกมาจากที่จอดรถ ผ่านไปไม่นานเพลงของนักร้องหญิงที่ตายจากการเสพยาเกินขนาดก็ดังออกมา
“มื้อเย็นวันนี้จะทำอะไรดีครับ”
หากเป็นช่วงเย็น คนรับใช้ทั้งหมดจะออกไปข้างนอก ดังนั้นการเตรียมอาหารเย็นจึงเป็นหน้าที่ของคนทั้งคู่
ขณะที่อีอูยอนถามดังนั้น อินซอบก็มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
“คุณอินซอบ”
“เอ่อ ครับ ขอโทษครับ ผมมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่ คุณพูดว่าอะไรนะครับ”
“มื้อเย็นน่ะครับ ผมถามว่าอยากจะกินอะไร”
“อะไรก็ได้ครับ”
คำตอบอย่างไม่ใส่ใจของอินซอบทำให้อีอูยอนขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะจอดรถตรงข้างทาง
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
อีอูยอนเอ่ยถาม อินซอบกะพริบตาก่อนจะตอบว่า “ไม่มีอะไรครับ”
“ไหนคุณบอกว่าจะไม่ปิดบังไงครับ”
นี่เป็นสัญญาของคนทั้งคู่
สัญญาที่ว่าจะตอบคำถามที่เอ่ยถามถึงชีวิตส่วนตัวของกันและกันอย่างตรงไปตรงมา
อินซอบอึกอักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบว่า “ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรครับ” แล้วมือใหญ่ๆ ของอีอูยอนก็แตะเข้าที่หน้าผากของอินซอบ
“มีไข้นิดหน่อยนะครับ”
เขาแตะมือไว้ที่หน้าผากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผละออกไป
“ทำไมถึงไม่ยอมบอกครับ”
“…ก็เมื่อกี้มันยังไม่เป็นอะไรนี่ครับ”
อีอูยอนกำพวงมาลัย เขาออกรถอีกครั้ง และเริ่มขับกลับไปตามทางที่เพิ่งขับมา
“จะไปไหนครับ”
“โรงพยาบาลครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ”
“คุณบอกว่าจะเชื่อฟังที่ผมพูดตอนป่วยไงครับ”
นี่ก็เป็นสัญญาเหมือนกัน
สัญญาที่ว่าเขาจะทำตามคำพูดของอีอูยอน ไม่ว่าจะเป็นตอนป่วย หรือตอนไหนๆ
อินซอบพยักหน้าโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ อีอูยอนแตะแก้มของอินซอบเบาๆ และพูดว่า “นอนสักพักนะครับ”
อินซอบหลับตาลงเงียบๆ
…
“ไข้สูงมากกว่าเมื่อกี้นิดหน่อยนะครับ”
อีอูยอนเช็กปรอทวัดไข้ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อินซอบเอ่ยขอโทษว่า “ขอโทษครับ”
“ถ้ารู้สึกผิดก็ต้องรีบหายนะครับ”
อีอูยอนช่วยเอาขนหนูชุบน้ำมาวางไว้บนหน้าผากของอินซอบ คำวินิจฉัยที่ได้รับจากโรงพยาบาลก็คือเขาเป็นหวัดเล็กน้อย หมอพูดเสริมอีกว่าถ้ากินยาและนอนพักอย่างเต็มที่สักวันก็หายแล้ว
อินซอบมักจะเป็นหวัดในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง นี่เป็นหนึ่งในความจริงที่อีอูยอนได้รู้ขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และอินซอบก็จะขี้อ้อนหนักมากในตอนที่ป่วย แม้จะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก แต่อีอูยอนก็เต็มใจดูแลอินซอบ
“…ขอโทษนะครับที่ผมป่วยบ่อย”
“ผมเองก็ป่วยเหมือนกันครับ”
“ไม่สบายตรงไหนเหรอครับ”
แม้แต่ในเวลาแบบนี้ อินซอบก็ยังพยายามลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ อีอูยอนจับให้อินซอบนอนลงไปตามเดิม และเคาะหัวตัวเองก่อนจะพูดว่า “ตรงนี้ครับ” พร้อมกับยิ้ม
“อยู่กับคนอย่างผม คุณอินซอบน่าจะต้องเฝ้าไข้ไปทั้งชีวิตแหละครับ”
อีอูยอนช่วยจัดผ้าห่มให้เข้าที่ และลากเก้าอี้มานั่งที่ข้างเตียงของอินซอบ
“อ่านหนังสือให้ฟังเอาไหม”
อินซอบส่ายหน้าเบาๆ อีอูยอนเอ่ยถามอีกครั้งว่า “งั้นนอนดีไหมครับ” อินซอบตอบกลับว่า “ครับ” ก่อนจะปิดตาลง
อีอูยอนมองดูขนตาบนและขนตาล่างประกบเข้าด้วยกันก่อนจะกลั้นหายใจเงียบๆ แก้มที่ไข้ขึ้นแดงราวกับผลพีชที่สุกงอม
ทุกครั้งที่เห็นว่าตัวเองมีอารมณ์อย่างว่ากับคนป่วย อีอูยอนก็จะตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นคนหน้าด้านขนาดไหน ผ่านไปไม่นานลมหายใจของอินซอบก็สม่ำเสมอ อีอูยอนลูบไล้หน้าของอีกฝ่ายเงียบๆ
ไม่เห็นจำเป็นต้องสวยแม้กระทั่งใบหน้าตอนป่วยเลยนี่
หลังจากที่เปลี่ยนผ้าขนหนูชุบน้ำให้แล้ว อีอูยอนก็ไปเอาหนังสือที่อ่านไว้เมื่อวานมานั่งลงที่เก้าอี้
***
“กี่โมงแล้วครับ”
อินซอบกะพริบตาที่จวนจะปิดเพราะฤทธิ์ยาพลางเอ่ยถาม
“อืม เลยสองทุ่มมาแล้วครับ”
ความมืดสลัวๆ โรยตัวลงมานอกหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว อีอูยอนใช้ฝ่ามือแตะหน้าผากของอินซอบ จากนั้นก็ได้ยินเสียงพึมพำที่เจือความโล่งใจเอาไว้ว่า “ไข้ลดลงแล้ว”
“กินอะไรสักหน่อยไหมครับ”
“ผมไม่อยากอาหารเลยครับ”
“ถึงจะไม่อยากก็ต้องกินนะครับ รอเดี๋ยวนะ”
อีอูยอนปิดหนังสือที่อ่านอยู่ลงและลุกขึ้น แต่อินซอบกลับคว้าชายเสื้อของเขาไว้ อีอูยอนทำแววตาสงสัยพลางหันกลับมามอง
“…ผมจะไปด้วยครับ”
นี่แหละ
อีอูยอนพอใจกับความขี้อ้อนของอินซอบมาก เขาใช้ผ้าห่มพันรอบตัวของอินซอบก่อนจะอุ้มขึ้นมา
“กอดคอผมไว้นะครับจะได้ไม่ตก”
อินซอบเอาแขนโอบรอบคอของอีอูยอนตามที่อีกฝ่ายสั่ง และเกาะอีอูยอนอย่างเรียบร้อยจนมาถึงชั้นล่าง
อีอูยอนวางอินซอบลงบนโซฟา
“รออยู่ตรงนี้นะครับ”
อีอูยอนไปต้มชากับซุปที่ห้องครัวและกลับมา อินซอบกินซุปไปได้ครึ่งชามก็ส่ายหัวบอกว่ากินไม่ไหวแล้ว
“งั้นดื่มชานะครับ”
“…ท้องไส้ของผมไม่ค่อยดีเท่าไรครับ”
“จะอ้วกเหรอครับ”
“ถ้ากินเข้าไปอีก…”
อีอูยอนเลื่อนถาดกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ เขากอดอินซอบทั้งผ้าห่มและตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ
“ให้ผมพาไปส่งที่บ้านของพ่อแม่พรุ่งนี้ไหมครับ”
“ไม่ครับ ผมเพิ่งจะไปนอนค้างมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเอง”
อินซอบยิ้มจนดวงตากลมโตนั้นหยีลง
เส้นโค้งที่ถูกวาดขึ้นตอนที่ยิ้มนั้นน่ารัก และเพราะอีกฝ่ายสวยมาก อีอูยอนจึงมองอยู่อย่างนั้นสักพัก และพูดคนเดียวซ้ำๆ ราวกับจะบอกให้รู้
“งั้นจะให้ผมทำยังไงดีครับ”
หากเป็นสิ่งที่อินซอบต้องการ เขาก็อยากจะทำให้ทุกอย่าง
อินซอบที่ขยับตัวไปมาอยู่ในผ้าห่มเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวังว่า “งั้นผมขออะไรสักอย่างได้ไหมครับ”
…
“แค่นี้ก็พอจริงๆ เหรอครับ”
“ครับ”
อีอูยอนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
สิ่งที่อินซอบร้องขอคือภาพยนตร์ของอีอูยอน และเป็นภาพยนตร์นอกกระแสที่เขาได้แสดงเป็นครั้งแรก
“ถึงจะรู้ตั้งแต่ตอนที่ชอบผมแล้วก็เถอะนะครับ แต่รสนิยมของคุณนี่พิเศษจริงๆ”
พออีอูยอนหยิบรีโมทขึ้นมากดปุ่มเล่น ภาพยนตร์ก็เริ่มฉายทันที อินซอบขยับไปมาราวกับเขินนิดหน่อยกับการดูภาพยนตร์ด้วยกันและจ้องมองจอภาพด้วยสีหน้าที่ดูราวกับตั้งอกตั้งใจโดยไม่รู้ตัว
ด้วยดวงตาที่เหมือนกับเด็กชายที่ป่วยเป็นโรคคลั่งรักในรักแรก
อีอูยอนจับให้อินซอบมาซบกับไหล่ของตัวเอง นี่เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้ยาว พอ end credit เลื่อนขึ้นมา อินซอบถึงได้ถอนหายใจยาว
“มันสนุกเหรอครับ”
แม้จะเป็นผลงานที่ตัวเองร่วมแสดง แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่เขาคิดว่าน่าเบื่อมาก
“ครับ ผมชอบ”
อินซอบยิ้มพลางตอบ สีหน้าของเขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อสักครู่นี้มาก
หลังจากที่จากเกาหลีมา พวกเขาทั้งคู่ก็หลีกเลี่ยงที่จะคุยเกี่ยวกับเรื่องงานของอีอูยอน พวกเขาไม่ดูผลงานที่มีอีอูยอนร่วมแสดง หรือพูดเกี่ยวกับแพลนกิจกรรมของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“ดูหนังเรื่องนี้ไปกี่รอบแล้วครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ เพราะผมไม่เคยลองนับเลย แต่เหมือนจะดูเกินห้าสิบรอบนะ…”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ
“ชอบผมขนาดนี้ได้ยังไงครับ”
“…นั่นสินะครับ”
อินซอบตอบกลับด้วยเสียงที่แผ่วเบา จากนั้นก็ยิ้มอย่างเขินอายก่อนจะพูดต่อ
“ความจริงผมแปลบทหนังเรื่องนั้นเป็นภาษาอังกฤษไว้ด้วยครับ”
“คุณอินซอบน่ะเหรอครับ ตอนที่อยู่เกาหลีเหรอครับ”
อีอูยอนแสดงความแปลกใจออกมาและเอ่ยถาม นอกจากช่วงนั้นไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะจะแปลอะไรแบบนี้เลยสักนิดแล้ว นี่ยังเป็นเรื่องที่เขาเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกด้วย อินซอบส่ายหน้า
“พักหลังมานี้ผมเข้าไปในแฟนคาเฟ่ของคุณแล้วก็แปลบทเพื่ออัปโหลดเอาไว้เป็นงานอดิเรกน่ะครับ แถมผู้กำกับคิมจองอายังส่งอีเมลมาบอกว่าอยากจะใช้สคริปต์ภาษาอังกฤษที่ผมแปลด้วยนะครับ เธอบอกว่าน่าจะดีกว่าของที่เธอทำเองมาก ดังนั้นผมก็เลยได้ยินมาว่าอีกเดี๋ยวซับไตเติลก็คงจะถูกเปลี่ยนน่ะครับ”
หากคิดถึงนิสัยเรื่องมากของผู้กำกับคิมจองอาแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
“ได้รับเงินหรือเปล่าครับ”
“ไม่ได้รับครับ ผมบอกว่าจะไม่รับเงิน เพราะยังไงก็เป็นงานที่ผมทำเพราะชอบอยู่แล้ว”
“ถ้ามีโอกาสแบบนั้นเข้ามาอีกก็รับเงินไว้สักหน่อยนะครับ จะได้ไม่เป็นการใช้เวลาที่มีค่าไปฟรีๆ”
อินซอบพยักหน้า
“แต่ก็มีสิ่งที่ผมได้รับนะครับ”
“ได้รับอะไรล่ะ”
“…บทที่คุณอีอูยอนใช้ตอนนั้นไงครับ”