“ฮ่าๆๆ เจ้าถูกจับได้แล้ว แม่นาง มาดูกันสิว่าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร” หยวนหมิงหัวเราะเยาะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วและตัดการสื่อสารกับเขา หญิงสาวเงยหน้ามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “ไม่ใช่ว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่ควรเจอกันสามวันก่อนงานแต่งงานหรือ ข้าจึงไม่คิดว่าท่านจะไปที่สำนักไท่ไป๋” นางจำได้ว่าในยุคโบราณ มีกฎดังกล่าวอยู่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองนาง แหวนที่ทำมาจากหยกสีดำที่อยู่บนนิ้วมือของเขานั้นหมุนตามการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม และมันก็สะท้อนแสงจากน้ำแข็งและหิมะ “เจ้าก็เลยสบายใจที่จะออกมาหาคนอื่นแทนเช่นนั้นหรือ”
น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นอย่างมาก จนทำให้หลังจากได้ยินคำถามนี้ของเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สำลักออกมาอย่างอดไม่ได้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางสำลัก แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงเรียบเฉย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างจริงจัง “เราก็แค่พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“แค่คุยเรื่อยเปื่อยเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเย้ยหยัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยพ่นลมหายใจออกมา ไม่ว่าอย่างไร นางก็พูดทุกอย่างที่นางสามารถพูดได้แล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้น นัยน์ตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูเย็นชาเล็กน้อย มันสะท้อนให้เห็นคลื่นลึกล้ำบางอย่างในแววตาคู่นั้น และมันก็มีพลังอย่างมาก เพียงแค่มองดูแวบแรก ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
จู่ๆ เขาก็โน้มตัวลงมา และใช้นิ้วเรียวยาวปัดผมยาวของหญิงสาวไปด้านข้าง ลมหายใจเย็นเฉียบอย่างชายชาตรีของเขานั้นโอบล้อมร่างของนางไว้ทันที จากนั้น เขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำข้างใบหูของนาง “บอกข้าสิว่าเจ้าคิดว่าองค์ชายคนนี้จะเชื่อคำพูดของเจ้าจริงๆ หืม”
“การเชื่อใจกันนั้นเป็นเรื่องพื้นฐานที่ช่วยให้คนเรารักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยสบตาเขา และเผยรอยยิ้มขึ้นในแววตา “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเรากำลังจะแต่งงานกันเลยด้วยซ้ำ ข้าพูดทุกอย่างไปหมดแล้ว”
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองตรงไปที่ลำคอสวยของหญิงสาว และยิ้มออกมา “เจ้าพูดถูก พวกเรากำลังจะแต่งงานกันแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ทำไมคำพูดง่ายๆ เช่นนี้ เมื่อมันออกมาจากปากขององค์ชายแล้ว กลับให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม
“เงาทมิฬ ส่งพระชายากลับ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอามือออก ร่างสูงของเขาเหยียดตรง ท่าทีของเขายังคงเรียบเฉย แต่ดวงตาของเขากลับมืดและลึกซึ้ง จนทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรบางอย่าง
บรรยากาศมืดมิด และลมยามค่ำคืนก็ส่งเสียงหวีดหวิว ต้นไม้โอนเอนไปมา ราวกับมีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นค่อยๆ เข้าใกล้คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ที่เงียบสงบแห่งนี้
ท่ามกลางความมืดมิดนี้ ซูเหยียนโม่มองไปทางซ้ายและขวา โดยมีสาวใช้ที่กำลังช่วยประคองนางพร้อมกับกำลังเดินเข้าไปในสวนที่รกร้าง มีคนๆ หนึ่งยืนอยู่ในลานแห่งนั้นและกำลังเดินไปมา ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อเห็นซูเหยียนโม่เดินมา ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที และแม้แต่สีหน้าก็ดูมีความสุขขึ้น “ฮูหยินซู!”
“ชู่” ซูเหยียนโม่ยกนิ้วชี้ขึ้นมาวางที่ริมฝีปาก พร้อมกับกระซิบเสียงแผ่วเบา และหันหลังกลับมามองสาวใช้ที่อยู่ด้านหลัง
สาวใช้รู้ตัวว่าตนเองต้องยืนอยู่ด้านนอกลานแห่งนี้ เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับอีกฝ่าย
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างลับๆ
คนๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นสี่ผอ[1]ในงานอภิเษกสมรสที่ต้องดูแลเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่บนเกี้ยว
พี่เลี้ยงในงานอภิเษกสมรสดีใจที่ได้พบซูเหยียนโม่ และพยายามอย่างมากที่จะลดเสียงของตนเองลง “วางใจได้เจ้าค่ะ ฮูหยินซู บ่าวคนนี้ได้เตรียมการทุกอย่างตามคำสั่งของท่านแล้ว ในวันงานอภิเษกสมรส บ่าวคนนี้จะให้ความร่วมมือ…”
“ดี” ซูเหยียนโม่ยิ้มอย่างเย็นชา ความเกลียดชังแสดงออกมาให้เห็นทางสีหน้าของนางอย่างชัดเจน
นังแพศยานั่นทำลายลูกสาวทั้งสองคนของนางพร้อมกันในคราวเดียว หากนางไม่ได้สอนบทเรียนให้กับอีกฝ่าย แล้วนางจะกล้ำกลืนโทสะนี้ไปได้อย่างไร
เมื่อพระภิกษุใช้พลังของพวกเขา นางก็ไม่จำเป็นต้องกระดิกนิ้วเลยด้วยซ้ำ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าองค์ชายสามจะต้องปลิดชีพของนางอย่างแน่นอน!
ในช่วงกลางดึก
ในอีกสามวันต่อมา เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ออกไปไหน สำนักไท่ไป๋ไม่มีการเรียนการสอน และคาดว่าชั้นเรียนก็น่าจะเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังงานอภิเษกสมรส ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงนั่งขัดสมาธิบนพื้น พร้อมกับเล่นอาวุธกองหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เหล่าทหารรับจ้างก็เข้ามาสองครั้งพร้อมกับแจ้งข่าวเกี่ยวกับชะตากรรมของตระกูลเฮ่อเหลียน เหล่าผู้อาวุโสต้องการให้นางกลับไป แต่เฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่ต้องการ เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รีบร้อนนัก นางมอบเงินหนึ่งแสนตำลึงให้กับเหล่าทหารรับจ้าง และบอกให้พวกเขาจัดการตามที่เห็นสมควร
เฮ่อเหลียนเวยเวยเชื่อมาเสมอว่าเงินสามารถทำให้ผีโม่แป้ง[2]ได้ นางอยากจะเห็นว่าเฮ่อเหลียนกวงเย่าจะทนได้อีกนานเพียงใด
โธ่ ถ้าจะต้องคายของที่เคยกินเข้าปากไปแล้ว ก็คงจะต้องรู้สึกแย่มากอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนกวงเย่า เจ้าอย่าลืมว่าสิ่งของทุกอย่างที่เจ้ามีในตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เคยเป็นของท่านแม่ของข้ามาก่อน รวมถึงสินสอดทองหมั้นสำหรับลูกสาวของเจ้าด้วย
แม้เจ้าคิดว่ามันไม่เป็นไร
แต่จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า
นางเพิ่งจะเริ่มเท่านั้นเอง…
“แม่นาง ไม่ว่าเจ้าจะจัดการกับเฮ่อเหลียนกวงเย่าอย่างไร แต่ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าก็จะต้องเผชิญหน้ากับสี่ตระกูลใหญ่อยู่ดี” หยวนหมิงพูดอย่างชั่วร้าย “จากความสามารถในตอนนี้ของเจ้า มันก็เป็นเรื่องยากที่จะต่อกรกับพวกเขาได้ ข้ารู้จักพวกเขาดี เมื่อต้องจัดการกับเรื่องต่างๆ พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นก็จะโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ยิ่งนัก แม้แต่ปีศาจอย่างพวกเรายังไม่อาจทนมองได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสร้างอาวุธชิ้นสุดท้ายเสร็จ และพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “ใช่ เจ้ารู้จักพวกเขาดีทีเดียว แต่หยวนเสี่ยวหมิง เจ้ายังไม่รู้จักข้าดีพอ”
หยวนหมิงอึ้ง และยกมุมปากขึ้น
สองวันต่อมา
การแต่งงานในยุครุ่งเรือง มีการต้อนรับญาติพี่น้องเป็นระยะทางสี่ห้าลี้
ชุดแต่งงานที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสวมใส่นั้นมีรายละเอียดที่ตัดเย็บมาอย่างงดงาม มันปักลายมังกรสีม่วงเลื้อยพันกัน แม้แต่ตรงข้อมือ ยังทำมาจากขอบทองที่ซับซ้อนอย่างมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งและฐานะที่ร่ำรวยของเขา
รูปร่างของเขาสูงโปร่งและหล่อเหลา ใบหน้าของเขาขาวใสและงดงาม ในมือเรียวงามของเขานั้นถือแส้หางม้าอยู่หนึ่งอัน ขาที่เรียวยาวนั้นพาดคร่อมม้าตัวนั้น ชุดแต่งงานสีแดงนั้นทำให้ใบหน้าของเขาดูขาวผ่องมากยิ่งขึ้น แขนเสื้อของเขาพลิ้วไปตามลมเหนือ ทำให้เขาดูราวกับเป็นเทพเซียนที่มาจากแคว้นแดนไกล
ด้านหลังของเขามีเกี้ยวสีแดงขนาดใหญ่สำหรับงานอภิเษกสมรส และมีคนแบกหามอยู่แปดคน มันกินพื้นที่เกือบครึ่งถนน
เหล่าประชาชนต่างก็รีบเข้ามาดูและเขย่งสุดปลายเท้า ก่อนจะอุทานด้วยความประหลาดใจ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงนั่งอยู่ในห้องจัดงานอภิเษกสมรส นางน่าจะเป็นเด็กสาวคนแรกจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ที่ไม่มีท่านพ่อท่านแม่มาส่งตัวในงานแต่งงาน
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ดังนั้น นางจึงไม่ได้แจ้งข่าวเรื่องงานแต่งงานของตนเองให้ท่านปรมาจารย์ที่เข้าร่วมการประลองยุทธ์ในอาณาจักรอื่นรับรู้
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้อย่างเกียจคร้าน และปล่อยให้สาวใช้หวีผมให้นาง พร้อมกับหาวเป็นระยะ
ไป๋เหมยมองไปทางหญิงสาวอย่างอดไม่ได้ ถึงแม้ว่านางไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ นางไม่เคยเห็นใครที่ผ่อนคลายก่อนงานแต่งงานของพวกเขาได้ขนาดนี้มาก่อนเลย
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังได้แต่งงานกับองค์ชายที่สูงส่งจนราวกับยืนบนก้อนเมฆได้ ในจุดนี้ แม้แต่นางเองก็ยังเกรงว่าพี่สาวของตนเองก็ยังเทียบกับนางไม่ได้
“ข้าไม่ต้องการสวมผ้าคลุมพวกนั้น มันทำให้ข้าเหนื่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอนหลัง แล้วขาเรียวยาวของนางก็เคาะพื้นเป็นจังหวะ ท่วงท่าของนางดูสบายและสง่างาม ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
พี่เลี้ยงในงานอภิเษกสมรสคอยมองและคิดว่ารูปร่างของนางไม่ได้แย่นัก แต่ใบหน้าของนางดำคล้ำเกินไป ไม่ว่าจะทาแป้งกี่ชั้นก็ไร้ประโยชน์ แต่ต้องขอบคุณที่องค์ชายสามสามารถทนกับเรื่องนี้ได้ หรือบางที เขาอาจจะไม่มีทางเลือกอื่นก็เป็นได้
——————–
[1] สี่ผอ เป็นอาชีพหนึ่งของหญิงสาว ในอดีตเป็นตัวแทนสัญลักษณ์แห่งความโชคดี โดยจะตามขบวนเจ้าบ่าวไปรับตัวเจ้าสาวจากเรือน หลังจากทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ จะตามเข้าไปในห้องหอพร้อมเจ้าสาวคอยสอนการปรนนิบัติสามีรอจนกว่าเจ้าบ่าวจะเข้าห้องหอมา
[2] มีเงินใช้ผีโม่แป้ง เป็นสำนวน หมายถึง หากมีเงินก็สามารถทำทุกอย่างได้