“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ อย่าตำหนิที่หญิงชราผู้นี้พูดมากเลยนะเจ้าคะ” สี่ผอพูดขึ้นพร้อมกับถือสิ่งของบางอย่างให้หญิงสาว “โดยปกติแล้ว ที่ตำหนักขององค์ชายจะมีสาวใช้หนึ่งหรือสองคนที่จะปรนนิบัติอยู่ข้างองค์ชาย ท่านเป็นหญิงสาวที่กำลังจะแต่งงาน และโตแล้ว เรื่องนี้ เอ่อ ท่านสามารถวางเฉยได้ก็ควรจะวางเฉยเสีย”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะเบาๆ นางเตรียมตัวที่จะได้ยินคำว่า ‘ปรนนิบัติ’ จากยุคโบราณอยู่แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่น่าฟัง แต่ก็มีความหมายอื่นแฝงเอาไว้ นั่นคือ สาวใช้อุ่นเตียงนั่นเอง
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนที่ได้รับมอบหมายให้มาปกป้องนางก่อนหน้านี้ จะเกิดความรู้สึกอิจฉาริษยาขึ้นมา
พวกเขาคิดจริงๆ หรือว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย
แต่สี่ผอคนนี้ก็เลือกที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ในเวลาเช่นนี้
มันมีแต่จะทำให้นางไม่พอใจไม่ใช่หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตามองหญิงชราคนนั้น
การชำเลืองมองอย่างรวดเร็วของหญิงสาวทำให้สี่ผอรู้สึกว่าหนังศีรษะของตนเองชาวาบ ก่อนจะดึงมือกลับอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้น จึงพูดขึ้น “ฮะๆ นี่ก็ไม่มีเวลาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ อีกสักครู่ ได้โปรดขึ้นมานั่งเก้าอี้เจ้าสาวบนเกี้ยวนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดตัวอย่างเกียจคร้าน นิ้วเท้าของนางที่ทาด้วยสีแดงสดเหยียบลงบนพื้นไม้ มันดูงดงามจนไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้ “สี่ผอ อย่าตามข้ามา ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
สี่ผอคนนั้นชะงักอยู่กับที่ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางแข็งเกร็งไป “คุณหนูใหญ่ บ่าวพูดอะไรผิดไปจึงทำให้ท่านไม่พอใจเช่นนั้นหรือ บ่าวจะขอเปลี่ยนคำพูด หากไม่มีสี่ผออยู่บนเกี้ยวร่วมกับเจ้าสาว เกรงว่ามันจะไม่เป็นไปตามธรรมเนียมประเพณีนะเจ้าคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง และยิ้มให้
สี่ผอคิดว่านางยังมีโอกาส และต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง
แต่หลังจากนั้น นางก็ได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อ “ถอยไป วันนี้เป็นวันมงคล ข้าไม่อยากได้ยินคนมาบอกข้าว่ามันผิดธรรมเนียมปฏิบัติใดๆ”
“ขอรับ” เหล่าองครักษ์เคลื่อนไหวในชั่วพริบตา
สี่ผอคนนั้นหายตัวไปจากห้อง
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นางเหยียดมือทั้งสอง และสวมใส่ชุดแต่งงาน
ไป๋เหมยมองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินอย่างเฉื่อยชาและผ่อนคลาย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็อ้าปากเอ่ยขึ้น “พระชายาเพคะ องค์ชายไม่ได้มีสาวใช้อุ่นเตียงนะเพคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปด้านข้าง และยิ้มออกมาทันที “ข้ารู้”
ไป๋เหมยตกตะลึง “พระชายารู้ได้อย่างไรเพคะ”
“คนที่รักความสะอาดอย่างมากจะไม่ยอมให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวเขาตามต้องการหรอก ค่อยคุยเรื่องนี้กันภายหลังเถอะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุด และยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “แต่ถ้าจะมี ก็คงจะเป็นบ่าวอุ่นเตียง”
ไป๋เหมยขมวดคิ้ว บ่าวอุ่นเตียงคืออะไรกัน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮ่องเต้ได้กำหนดให้พี่สาวของนางอยู่เคียงข้างองค์ชายสามในฐานะสาวใช้อุ่นเตียง แต่…
ช่างเถอะ นางคงคิดมากเกินไป
“ไป๋เหมย”
เสียงที่ดังชัดเจนและฟังดูเหนื่อยล้าดังเข้ามาในหูของนาง
ไป๋เหมยไม่คาดคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะจำชื่อของตนเองได้ นางจึงหันไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
ไป๋เหมยเห็นหญิงสาวยื่นมือออกมา และจับปกคอเสื้อคลุมของนาง พลางเงยหน้ามองนาง ท่าทางเหล่านั้นช่างดูหล่อเหลาอย่างมาก “นี่คืองานอภิเษกสมรสขององค์ชายกับข้า หากมีเรื่องอะไรผิดพลาด คนที่เสียหน้าก็คือองค์ชาย”
นิ้วมือของไป๋เหมยแข็งเกร็ง นางไม่กล้าที่จะทำตัวยืดยาดอีกต่อไป และตอบกลับด้วยความเคารพ “เพคะ”
นางคิดว่าเป็นเรื่องดีที่เฮยจูไม่อยู่ที่นี่ พวกเขามองผู้หญิงคนนี้ผิดไป
บางที วิธีการของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าขององค์ชายเลย...
“ถึงเวลาฤกษ์งามยามดีแล้ว!”
เสียงกลองและเสียงแตรดังขึ้นมาจากด้านนอก
เฮ่อเหลียนเวยเวยสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงบนศีรษะ และใครบางคนก็แบกนางขึ้นหลังและเดินไปยังเกี้ยว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขี่ม้ามาอยู่ที่ด้านหน้า นิ้วมือของเขาเรียวยาว เล็บของเขามีสีชมพูใส และร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นคนชนชั้นสูงที่สง่างาม
ผู้หญิงมากกว่าครึ่งที่อยู่บนถนนต่างก็จับจ้องไปที่เขา
แววตาของพวกนางสะท้อนให้เห็นทั้งความชื่นชมและความอิจฉาริษยา
นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่ใช่คนไร้ค่าอีกต่อไปแล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์อย่างนางก็ยังสามารถแต่งงานกับองค์ชายสามได้อีกด้วย แล้วจะไม่ให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาริษยาได้อย่างไรกัน
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นอยู่เงียบๆ นางมองดูงานอภิเษกสมรสที่งดงามด้วยแววตาอาฆาตแค้น นางค่อยๆ เคลื่อนตัวไปใกล้กับเกี้ยวของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างช้าๆ
ในอีกไม่นาน
เหตุการณ์ที่ถูกจัดฉากเอาไว้อย่างยอดเยี่ยมก็จะเกิดขึ้น
หลังจากเฮ่อเหลียนเวยเวยถูกกดดันให้ต้องเปิดเผยวิญญาณชั่วร้ายต่อหน้าเหล่าขุนนางและทหาร เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะยังมีชีวิตอยู่ได้
หึหึ… นางอดใจรอดูฉากนั้นไม่ไหวแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย นางยังคงมีผ้าคลุมหน้าสีแดงอยู่บนศีรษะ นางได้ยินเพียงเสียงกลองและเสียงแตร แล้วนางก็กำลังถือผลแอปเปิ้ลสีแดงลูกใหญ่อยู่ในมือ
งานแต่งงานเป็นพิธีที่เหนื่อยมาก ไม่ต้องพูดถึงการแต่งงานกับองค์ชายเลยด้วยซ้ำ พิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนั้นช่างยุ่งยากซับซ้อนอย่างมาก และขั้นตอนนั้นก็มีมากยิ่งกว่าขนวัวเสียอีก
ร่างกายของเฮ่อเหลียนเวยเวยโอนเอนไปมา นางรู้สึกง่วงและหาวเป็นครั้งคราว
ไป๋เหมยเดินตามเกี้ยวของนาง และให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวรอบข้างเสมอ
หยวนหมิงรู้สึกเบื่อและเอ่ยถาม “แม่นางกำลังจะแต่งงานแล้ว รู้สึกเช่นไรบ้างหรือ”
“เหนื่อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยสวมมงกุฎหงส์บนศีรษะ ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนัก คอของนางถูกน้ำหนักของมันกดทับ หญิงสาวพยายามคลายกล้ามเนื้อของตนเอง
ทันใดนั้น หูของนางก็ได้ยินคำสวดและคาถาไล่วิญญาณที่ไม่ชัดเจนนัก เสียงสวดทั้งสองบทนั้นดังขึ้นมาพร้อมกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านางไม่ควรเปิดม่านออกในตอนนี้ ดังนั้น นางจึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แต่หยวนหมิงกลับยืนขึ้นอย่างเป็นกังวล “นี่มันคือบทสวดไล่วิญญาณนี่!”
“บทสวดไล่วิญญาณ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว “คืออะไรหรือ”
หยวนหมิงหรี่ตาลง “มันคือคาถาที่เอาไว้สวดเพื่อทำให้วิญญาณชั่วร้ายปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้ ข้ายังสามารถต้านทานมันได้อยู่ แต่เมื่อเจ้าเดินออกจากเกี้ยวนี้ และเดินเข้าไปใกล้กับเหล่าพระภิกษุที่กำลังสวดมนต์บทนี้อยู่ ข้าก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะยังสามารถซ่อนตัวและไม่กลืนกินพวกเขาได้ ตามหลักแล้ว บทสวดเช่นนี้ไม่ควรจะนำมาสวดกันในวันงานอภิเษกสมรสเช่นนี้ แม่นาง เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว มีใครบางคนเริ่มสงสัยว่าเจ้าอาจจะถูกวิญญาณสิง และพวกเขาต้องการจะจับเจ้าให้ได้คาหนังคาเขาในงานอภิเษกสมรส”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไร
ซูเหยียนโม่ที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนั้นมองเกี้ยวเจ้าสาวที่กำลังมุ่งหน้าไปทางประตูเซวียนอู่ และอดไม่ได้ที่จะยืนเขย่งปลายเท้าขึ้น สี่ผอคนนั้นอยู่ที่ใดกัน
ทำไมสี่ผอถึงหายตัวไป
ตามแผนเดิมนั้น เมื่อบทสวดเริ่มขึ้น สี่ผอจะยกม่านขึ้นและช่วยประคองเฮ่อเหลียนเวยเวยออกมาจากเกี้ยวเจ้าสาว
แต่ตอนนี้สี่ผอคนนั้นหายตัวไป จึงทำให้แผนการนี้มีช่องโหว่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ซูเหยียนโม่ไม่ได้กังวล นังแพศยานั่นไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวได้ตลอดไป และเมื่อใดที่นางออกมา แม้ว่านางจะได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายสาม แต่นางก็จะต้องเปิดเผยร่างที่แท้จริงออกมาอย่างแน่นอน
“แม่นาง พวกเรามาสร้างความหายนะ และจมดิ่งลงสู่ด้านมืดดีหรือไม่” หยวนหมิงเลียริมฝีปากของตนเองด้วยปลายลิ้น จริงๆ แล้ว พระภิกษุอาวุโสเหล่านั้นก็กระตุ้นความอยากอาหารของเขาได้ดีทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบแอปเปิ้ลออกมาและพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “หากเจ้าไม่กิน เจ้าก็ไม่ต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ข้าไม่อยากจะกลายเป็นปีศาจ”
“ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรเล่า เจ้าจะวิ่งออกไปแบบนี้เช่นนั้นหรือ” หยวนหมิงลดเสียงลง
ปรากฏว่าเสียงสวดนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และเสียงนั้นย่อมส่งผลต่อเจ้านายของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบว่ามีเม็ดเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผากของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่ดวงตาของหญิงสาวยังคงเป็นประกายสดใส
“มันก็เป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ตราบใดที่วันนี้ พวกเขาไม่สามารถใช้กลยุทธ์ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ในอนาคต พวกเขาก็จะไม่ส่งคนไปที่เวยเจ๋อ และข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าวันหนึ่ง ตัวตนของข้าจะถูกเปิดเผย”
อย่างที่หยวนหมิงบอก การวิ่งหนีคือกุญแจสำคัญ แต่นางเหนื่อยและง่วงนอนมาก นางไม่นึกเลยว่าเสียงสวดมนต์นั้นจะทำให้คนเรารู้สึกเจ็บปวดได้จริงๆ นางรู้สึกได้ว่าวิญญาณของนางกำลังจะแยกออกจากร่างของตัวเอง และมันก็ทำให้นางเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย…