หลังจากทะเลาะวิวาทกับฮ่องเต้ ฮองเฮาโกรธอย่างมาก นางจึงเรียกองค์ชายห้ามาดุอีกครั้ง
เล่ากันว่าฮองเฮาตำหนิองค์ชายห้าว่าเป็นผู้ไร้ความรู้หรือทักษะใดๆ เที่ยวเล่นไปวันๆ แม้แต่คนป่วยยังเทียบไม่ได้
องค์ชายห้าเดินกลับตำหนักไปปิดประตูอ่านตำราอย่างสลดใจ ทุกการละเล่นการพนันของเขาถูกยึดเอาไว้ อีกทั้งยังถูกห้ามไม่ให้ออกจากพระราชวัง
เล่ากันว่าฮองเฮายังต้องการเรียกองค์รัชทายาทมา แต่ถูกขันทีของฮ่องเต้ทูลตอบว่า ฝ่าบาททรงมอบหมายงานสำคัญและเร่งด่วนให้องค์รัชทายาท ไม่อาจล่าช้าได้
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาท ฮองเฮายังคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นนางจึงไม่รบกวนองค์รัชทายาท เพียงแค่เรียกพระชายามาตำหนิ ให้นางปฏิบัติตัวเป็นผู้เพียบพร้อม มีเหตุผล ดูแลสามี สั่งสอนบุตรอย่างดี
ได้ยินการทะเลาะวิวาทระหว่างฝ่าบาทกับฮองเฮา อีกทั้งดูเหมือนว่าจะกล่าวถึงองค์ชายสามด้วย พระสนมสวีจึงล้มป่วยอีกครั้ง ฮ่องเต้ยังเดินทางไปเยี่ยมด้วยตนเอง แต่องค์ชายสามไม่มีการเคลื่อนไหวใด เวลานี้เขามีงานมาก ฮ่องเต้ยังพระราชทานพระตำหนักหนึ่งให้เขา สำหรับจัดการเรื่องการประลองในแต่ละแคว้น
อาจเป็นเพราะการทะเลาะวิวาทระหว่างฝ่าบาทกับฮองเฮาเกี่ยวข้องกับองค์ชายอีกองค์หนึ่ง บรรยากาศภายในพระราชวังนอกจากจะตึงเครียดแล้ว ยังมีความแปลกประหลาดเล็กน้อย ระหว่างพระตำหนักราวกับมีการเคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ทำให้คนระมัดระวังอย่างมาก…แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะระมัดระวัง โจวเสวียนที่อาศัยอยู่นอกพระราชวังวิ่งมาขอเฝ้าฝ่าบาทอย่างตื่นเต้น
“ฝ่าบาท พระองค์เห็นของกำนัลจากท่านอ๋องฉีแล้วหรือไม่” เขาถาม
กองทัพทั้งสามที่ถูกแม่ทัพหน้ากากเหล็กทิ้งไว้ด้านหลัง รวมทั้งของกำนัลจากท่านอ๋องฉีเดินทางมาถึงเมื่อหลายวันก่อน ฮ่องเต้นำทัพพระราชทานรางวัลให้กองทัพทั้งสาม ของกำนัลของท่านอ๋องฉีโยนให้พระคลังสมบัติ
ฮ่องเต้พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอยากได้สิ่งใดไปเลือกได้ตามใจชอบ”
“ฝ่าบาทดีต่อกระหม่อมเสียจริง” โจวเสวียนยิ้ม โน้มตัวไปข้างหน้า “แต่กระหม่อมไม่ต้องการสิ่งนี้ ฝ่าบาท เหตุใดเราไม่ลองดูของกำนัลจากท่านอ๋องฉี หากล้ำค่าคือเกินหน้า หากต่ำต้อยคือขัดขืน จากนั้นจะได้จัดการเมืองฉีอย่างสิ้นเชิง”
พู่กันในมือของฮ่องเต้กระแทกแรง “ในหัวของเจ้านอกจากเรื่องนี้ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่ แม่ทัพหน้ากากเหล็กเคยบอกเจ้าหรือไม่ หากรีบร้อนเกินไปจะล้มเหลว ข้าบอกเจ้ากี่รอบแล้ว อย่าได้รีบร้อนเพียงชั่วขณะ เวลานี้สถานการณ์มั่นคง ย่อมสามารถวางแผนอย่างรอบคอบ…เหตุใดเจ้าจึงไม่ฟัง ทุกวันนี้เจ้าทำอันใดอยู่ เจ้าไปหาเรื่ององค์รัชทายาทเมืองฉีอีกแล้วหรือไม่”
โจวเสวียนถอยไปด้านหลัง “ไม่ได้หาเรื่อง เราแค่ประลองกัน…”
ฮ่องเต้ถลึงตา “เจ้าชอบประลองศิลปะการต่อสู้มากเพียงนี้หรือ เหตุใดเจ้าไม่ไปประลองกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก”
โจเสวียนยิ้ม “ฝ่าบาท ท่านแม่ทัพแก่แล้ว กระหม่อมรังแกเขาไม่ได้…”
ฮ่องเต้ส่งเสียงในลำคอ “อ่า ดังนั้นเฉินตันจูยังเด็ก เจ้าจึงประลองกับนางได้?”
เรื่องเล็กที่ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ฝ่าบาทยังจำได้ โจวเสวียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท กระหม่อมให้หญิงสาวประลองกับเฉินตันจู ไม่ใช่กระหม่อมลงสนามเอง”
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นทำท่าทางจะตี “เจ้ายังคิดจะลงสนามเองหรือ ประลองกับหญิงสาว เจ้าเก่งเสียจริง!”
โจวเสวียนไม่ได้กลัวถูกฮ่องเต้ตี แต่เขารู้ว่าสิ่งที่ขอนั้นไม่สามารถบรรลุได้ จึงลุกขึ้นถอยหลังไป “ฝ่าบาททรงงานเถิด กระหม่อมขอทูลลา”
ขันทีจิ้นจงวิ่งไล่ตามเขา “ท่านโหวรีบไปเถิด อย่ามาสร้างปัญหาเพิ่มเลย”
โจวเสวียนถอยออกมานอกพระตำหนัก ยื่นมือออกไปพยุงขันทีจิ้นจงที่วิ่งไล่ตามมา “ท่านช้าลงหน่อย”
ขันทีจิ้นจงปล่อยให้เขาพยุง ตำหนิเขาราวกับบุตรหลานของตนเอง “ท่านสร้างความวุ่นวายอันใด ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงกริ้วอยู่หรือ”
โจวเสวียนหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าได้ยินว่าฝ่าบาททรงกริ้ว จึงมาลองดู บางทีอาจทำให้ฝ่าบาททำลายเมืองฉีได้”
ขันทีจิ้นจงจ้องมองเขาอย่างระอา โบกมือ “ไปเล่นอย่างอื่นเถิด ปล่อยให้ฝ่าบาทสงบลงสักสองวัน”
“ข้าจะไปหาองค์ชายห้า” โจวเสวียนจากไปด้วยรอยยิ้ม
ไปหาองค์ชายห้าเพื่ออันใดกัน หากไม่ใช่ไปเยาะเย้ยก็คงจะไปใส่ไฟ ขันทีจิ้นจงมองโจวเสวียนที่เดินจากไป ส่ายหัวอย่างระอา กลับเข้าพระตำหนัก ฮ่องเต้ยังคงหงุดหงิด เอ่ย “แต่ละคนล้วนไม่ทำให้ข้าสบายใจ ไม่มีเรื่องที่น่ายินดีหรืออย่างไร”
เมื่อเห็นฮ่องเต้ทรงกริ้วโกรธเช่นนี้ อืม เป็นโอกาสที่เหมาะสม ขันทีจิ้นจงนึกถึงเรื่องที่แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งคนมาบอก เขายกน้ำชามาให้ฮ่องเต้ จากนั้นพูด “ท่านแม่ทัพบอกว่าคุณหนูตันจูจะมาพบเขา ขอให้ฝ่าบาทโปรดให้นางเข้ามา”
ฮ่องเต้ไม่โกรธแล้ว ถลึงตามองขันทีจิ้นจง “เฉินตันจูพบเขาเพื่อการใดอีก”
เพียงแค่พบกันบนถนนครั้งเดียวก็ทำให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กคลั่งต่อหน้าขุนนาง นางยังต้องการมาพบเขาอีก?
ขันทีจิ้นจงยิ้ม กล่าวทูล “กระหม่อมไม่แน่ใจ ดูเหมือนบอกว่าจะส่งยาไปให้ท่านแม่ทัพ”
ฮ่องเต้เย้ยหยัน “เชื่อคำพูดเรื่องไร้สาระของนาง” ก่อนจะชะงักไป ถามขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพเป็นอันใด”
จะว่าไป เมื่อแม่ทัพหน้ากากเหล็กกลับมาก็เกิดเรื่องในพระตำหนักทันที จากนั้นฮ่องเต้ทรงพระราชทานห้องด้านนอกตำหนักให้เขาพักผ่อน จากนั้นจึงทรงงานเรื่องกลยุทธ์การคัดเลือกขุนนางจากความสามารถ จากนั้นพวกเขาเดินทางออกไปด้วยกันตอนที่พระราชทานรางวัลให้กองทัพทั้งสาม แต่ไม่ได้มีการพูดคุยส่วนตัว…
แม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่ด้านนอกเป็นเวลานาน ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ป่วย? ได้รับบาดเจ็บ? ทุกอย่างยังสบายดีหรือไม่ ฮ่องเต้ยังไม่ได้ถามเรื่องเหล่านี้
ขันทีจิ้นจงมองสีหน้าของฮ่องเต้ รีบพูด “ไม่เป็นอันใด ไม่เป็นอันใด หลังจากที่กระหม่อมได้ยินได้ให้หมอหลวงไปดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงบอกว่าท่านแม่ทัพไม่เป็นอันใด”
ฮ่องเต้ได้ยินจึงโล่งใจ ก่อนจะด่าเฉินตันจู “ข้ารู้ว่าคำพูดของนางเต็มไปด้วยความหลอกลวง” เขาหายใจออกอย่างหนัก ก่อนจะพูดกับขันทีจิ้นจง “หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้ต้องการมาหาแม่ทัพหน้ากากเหล็กแม้แต่น้อย เพียงแค่อาศัยข้ออ้างนี้ในการเข้าเมือง เข้าพระราชวังมาหาจินเหยาและซิวหยง”
ขันทีจิ้นจงพยักหน้าเห็นด้วย “กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เขายิ้มอย่างระอา “คุณหนูตันจูสามารถจับผู้ใดได้ก็ใช้ผู้นั้นได้ตลอดเวลา กระหม่อมชื่นชมเสียจริง”
ฮ่องเต้เย้ยหยัน ก่อนจะมีความสนใจขึ้นมา เอ่ย “ข้าจะไม่ให้นางได้สมหวัง ให้นางเข้ามา จากนั้นให้มาหาข้า ให้นางส่งยาให้แม่ทัพหน้ากากเหล็ก ส่งเสร็จก็ให้นางออกไป ไม่ให้นางได้พบผู้ใด”
ดูว่าเฉินตันจูนางจะทำอย่างไร!
เมื่อนึกถึงสีหน้าของเฉินตันจู ฮ่องเต้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
เมื่อได้ยินจู๋หลินบอกว่าเข้าพระราชวังได้แล้ว เฉินตันจูจึงรีบมาขอเข้าเฝ้าที่ประตูพระราชวังพร้อมกับสัมภาระใบใหญ่
ขันทีอาจี๋พานางเข้ามาด้วยใบหน้ามุ่ย มองสัมภาระในมือของจู๋หลิน เกลี้ยกล่อมให้ตรวจสอบสิ่งนี้ ไม่อาจนำเข้าไปได้ ไม่เหมาะสมกับกฎระเบียบ
“ไม่เหมาะสมอันใดกัน” เฉินตันจูโบกมือไม่สนใจ “ฝ่าบาทให้ข้าเข้ามา ย่อมเหมาะสมแล้ว”
นางหิ้วสัมภาระนั้นเดินเข้าไปในตำหนัก คำนับฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ หลังจากได้รับอนุญาตจึงลุกขึ้น
เฉินตันจูคำนับ “ขอบพระทับฝ่าบาท” ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อบอกว่านางมาพบแม่ทัพหน้ากากเหล็ก พร้อมชี้ไปที่สัมภาระ “ภายในล้วนเป็นยาเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรวจดูว่ายาอันใดสามารถบรรจุมาเต็มสัมภาระเช่นนี้ เขาพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว วางลงเถิด ข้าจะให้คนส่งไปให้ท่านแม่ทัพ”
หลังจากพูดเช่นนี้ เขาได้เห็นสีหน้ากังวลของหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าไม่นิ่ง
“ฝ่าบาท” นางเงยหน้าขึ้น “หม่อมฉันอยากพบท่านแม่ทัพเพคะ”
ฮ่องเต้พูดอย่างเย็นชา “เจ้ามีเรื่องใดต้องพบ ท่านแม่ทัพเป็นขุนนางของราชสำนัก ยาของเจ้า คำทักทายของเจ้า ข้าบอกให้ได้”
เฉินตันจูตอบ “หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาทสามารถส่งต่อยาและคำทักทายได้ แต่มีบางอย่างที่ไม่สามารถส่งต่อแทนหม่อมฉันได้เพคะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ เริ่มแล้ว คราวนี้มาดูว่านางสร้างเรื่องไร้สาระอันใดขึ้นมาได้อีก เขาหยิบชาที่ขันทีจิ้นจงส่งให้ เป่าเบาๆ เอ่ยถาม “มีอันใดที่ข้าไม่อาจส่งต่อแทนเจ้าได้”
เฉินตันจูกล่าว “ความกตัญญูเพคะ”
ฮ่องเต้อมชาในปาก ใช้สายตาสงสัยถาม ความกตัญญู?
“เพคะ” หญิงสาวที่คุกเข่าภายในตำหนักดวงตาลุกวาว ท่าทางของนางทั้งจริงใจทั้งมีความสุข “แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นบิดาบุญธรรมของหม่อมฉันเพคะ”
ฮ่องเต้สำลักชาในปาก ก่อนจะพุ่งออกมาจากจมูก เขาพ่นน้ำชาออกมา ก่อนจะกระแอมไออย่างรุนแรง
“ฝ่าบาท…” ขันทีจิ้นจงตะโกนด้วยความตกใจ