ราวกับว่าซูเหยียนโม่สัมผัสได้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกไม่สบาย และการสวดมนต์นั้นก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้าของซูเหยียนโม่เผยให้เห็นถึงชัยชนะอย่างชัดเจน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำเก้าอี้บนเกี้ยวไว้แน่น นางปวดหัวราวกับว่าศีรษะจะแยกออกจากกัน ด้านนอกเกี้ยวนั้น นางได้ยินแต่เสียงลมหายใจของใครบางคน นางหรี่ตาลง แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้น ก็มีใครบางคนเปิดม่านของเกี้ยวขึ้น และคนๆ นั้นก็กอดนางเอาไว้!
กลิ่นหอมของไม้จันทน์เตะจมูกของนาง จนกลิ่นนั้นอบอวลไปทั่วปอดของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ได้ทันทีว่าคนๆ นั้นคือใคร โดยไม่จำเป็นต้องคาดเดาเลย
เพียงแต่การกระทำเช่นนี้ขององค์ชายสามนั้นช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ
เขาไม่ชอบการแตะเนื้อต้องตัวไม่ใช่หรือ
นอกจากนี้…
นี่…เป็นการทำตามธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยฟังเสียงร้องอุทานรอบตัว และรับรู้ได้ว่ามันคือสิ่งที่ไม่เหมาะสม องค์ชายสามอาจทำให้ประชาชนรู้สึกขุ่นเคืองก็เป็นได้
“จับไว้ให้แน่น” องค์ชายสามสั่งเสียงต่ำ น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาดังก้องในหูของหญิงสาว ลมหายใจนั้นทำให้นางรู้สึกเสียวซ่านและชาวาบ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แต่นางไม่ได้ขยับตัว และแม้ว่าผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวจะบังเอาไว้ แต่นางก็ได้ยินเขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กิเลน”
ในชั่วพริบตา
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงลมกระโชกแรงที่พัดผ่านนาง
แม้ว่านางจะมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า แต่นางก็พอจะจินตนาการได้
กิเลนอัคคีขนสีแดงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้คน กรงเล็บขนาดใหญ่ของมันยันพื้นเอาไว้ และพระภิกษุที่กำลังสวดมนต์นั้นก็กระอักเลือดกันทีละคน
แม้ว่ากิเลนจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน แต่มันก็มาจากโลกปีศาจ
ว่ากันว่าหากไม่ใช่ผู้ชายคนนี้ กิเลนอัคคีก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดใช้มันได้
เลือดที่ไหลเวียนในร่างกายของกิเลนอัคคีปะทะกับคาถาไล่วิญญาณที่พระภิกษุสวด
จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้น
พระภิกษุเหล่านั้นใช้เวลาฝึกฝนมาประมาณแปดถึงสิบปี
นับตั้งแต่กิเลนอัคคีปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็ตกตะลึง
องค์ชาย
ร่างของมันสูงตระหง่าน กรงเล็บของมันเหยียดอยู่ตรงเท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “นายท่าน”
ผู้อาวุโสของสี่ตระกูลใหญ่นั่งอยู่ด้านหลังพระภิกษุ มือของพวกเขากดเก้าอี้ไม้ไว้อย่างแรง จนแทบจะบดขยี้เก้าอี้ที่จับให้เป็นผุยผง
พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมากที่จะครอบครองกิเลนอัคคี แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่แล้วจู่ๆ มันกลับเชื่อฟังคำสั่งขององค์ชายอีกแล้วเช่นนั้นหรือ
มันเกิดเรื่องนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ทำไมเหล่าสายลับที่พวกเขาส่งตัวให้ไปสอดแนมในวังถึงไม่เคยรายงานเรื่องพวกนี้เลยเล่า
เหล่าผู้อาวุโสรู้สึกได้ถึงสถานการณ์วิกฤตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนพวกเขาต้องจดจ่ออย่างมาก หัวใจของพวกเขาร้อนรุ่มราวกับถูกแผดเผาอยู่ในเปลวไฟของขุมนรก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้
ผมของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยาวสยายลงมาบนเสื้อคลุม เขาสะบัดชุดแต่งงานสีแดงเข้มที่มีราคาออก ในขณะที่ร่างสูงราวกับหยกนั้นยืนอยู่ด้านหลัง มันมีสีแดงสดและสีดำสนิทอย่างละครึ่ง โทนสีที่เข้มและตัดกันนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงอย่างไร้คำบรรยาย
เขากอดเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ในอ้อมแขนของตนเองอย่างสง่างาม ดวงตาของเขาดูไม่แยแส และยังแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกปราณ ริมฝีปากบางที่อยู่ภายใต้หน้ากากอัญมณีนั้นโค้งขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่ากลัวที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองอะไรไม่เห็น เนื่องจากถูกผ้าคลุมหน้าบังไว้ นางอยู่ท่ามกลางหมอกที่มืดสนิท และสิ่งเดียวที่นางสัมผัสได้ ก็คือนิ้วมือที่เย็นเยียบของชายหนุ่มที่อยู่รอบเข่าและกำลังจับขาของนางไว้ หลังจากนั้น เขาก็สั่งกิเลนอัคคีว่า “นำทางไป”
เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น กิเลนอัคคีก็กดกรงเล็บของตนเองไว้ ขนคอที่สวยงามของมันยกขึ้นเล็กน้อย และเมื่อขนสีแดงนั้นลุกชันขึ้น เปลวไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็ระเบิดออกมา จนกลายเป็นดอกไม้ไฟขนาดใหญ่
เหล่านกตัวใหญ่บินไปทั่วทุกสารทิศ และบินไปมาในดอกไม้ไฟนั้น นกกลุ่มนั้นส่งเสียงร้องขับขาน และนี่คือจุดเริ่มต้นของงานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
ในช่วงระยะทางสองร้อยถึงสามร้อยลี้ ดอกไม้ไฟเหล่านั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้น และทั่วทั้งท้องฟ้าก็ดูงดงามอย่างมาก
กิเลนอัคคีคอยเปิดทางอยู่ด้านหน้า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้าวออกมาจากดอกไม้ไฟ และผมของเขาก็พลิ้วไหวอยู่ในความมืด เสียงฝีเท้าของเขาคมชัดจนเกิดเป็นเสียงของพื้นดินที่ถูกเหยียบย่ำ
เขายังคงอุ้มเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ในอ้อมแขน ท่าทางของเขาดูสง่างามและโรแมนติกอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การดูแลนางอย่างดีนั้น ก็ยิ่งทำให้เขาดูมีอำนาจมากขึ้น
งานแต่งงานที่แปลกใหม่และไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนนี้ ทำให้ทุกคนที่มาชมงานพิธีเบิกตากว้าง
มันเป็นงานแต่งที่อลังการและหรูหราอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบร้อยปีที่ผ่านมา
ทุกคนต่างก็ต้องการที่จะเป็นผู้หญิงในอ้อมแขนของเขา
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ในสถานการณ์ที่อันตรายถึงขั้นตายได้เช่นนี้นั้น ไม่มีใครที่จะยังคงมีท่าทีอันเกียจคร้านได้อีก นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวย
การอุ้มนางไว้เช่นนี้ ช่างรู้สึกดียิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางหาวอย่างไม่ใส่ใจ และรับรู้ถึงรังสีของความเยือกเย็นและพลังปราณ พวกเขาเติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่รู้สึกอะไร เขาเลิกคิ้ว “เมื่อวานนอนไม่หลับเช่นนั้นหรือ”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบ การอยู่ในท่าทางเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หนังตาของนางหนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าไปเที่ยวเล่นอีกแล้วหรือ”
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยแข็งเกร็ง และตอนนี้ นางก็ตื่นเต็มที่แล้ว ทำไมองค์ชายสามถึงพูดแทงใจดำของนางเช่นนี้ เขาพูดราวกับว่านางทำในสิ่งที่ควรจะต้องขอโทษเขาจริงๆ
“ว่าแต่ทำไมท่านถึงเรียกกิเลนอัคคีออกมาเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดและส่งเสียงถาม ด้านหลังผ้าคลุมนี้ น้ำเสียงของนางฟังดูทุ้มลึก “หากผู้คนรับรู้ว่าพลังปราณของท่านฟื้นคืนมาแล้ว จะไม่เป็นไรหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยฟังน้ำเสียงของเขา และทันใดนั้น นางก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ให้ความสำคัญต่อผู้อาวุโสเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย อาจพูดได้ว่าทั่วทั้งจักรวรรดิจ้านหลงนั้น มีเพียงองค์ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่สามารถลากพวกเขาไปอยู่ในจุดนั้นได้
แต่มันก็ช่วยนางเอาไว้
การปรากฏตัวของกิเลนอัคคีช่วยหยุดบทสวดมนต์ของพระภิกษุเหล่านั้นได้
มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเช่นนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น นางอยากจะเห็นสีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่นางก็มองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอื้อมมือออกไปห้ามไม่ให้นางเปิดผ้าคลุมหน้าออก
เฮ่อเหลียนเวยเวยกะพริบตา “ตอนที่ข้านั่งอยู่บนเกี้ยวนั้น ข้ารู้ว่าพวกเขาถอนหายใจกันเรื่องอะไร แต่ท่านสบายใจได้ ข้าล้างหน้าด้วยมะเขือเทศ และตอนนี้ ใบหน้าของข้าก็ขาวสะอาดแล้ว”
จากนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่อนุญาตให้นางเปิดผ้าคลุมหน้าขึ้นอีกต่อไป ดวงตาของชายหนุ่มดูเคร่งขรึม นางเป็นเหยื่อของเขา เพราะฉะนั้น เขาควรเป็นคนแรกที่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงามที่สุดของนางสิ
“เจ้าสาวต้องเดินเข้าไปในห้องเจ้าสาวก่อนเท่านั้น ถึงจะสามารถเปิดผ้าคลุมหน้าออกได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงไม่ยอมแพ้ น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชาและสูงส่ง “เจ้าต้องการจะแหกกฎเช่นนั้นหรือ”
นิ้วมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดชั่วขณะ และไม่ขยับผ้าคลุมหน้าอีกต่อไป
แต่กิเลนอัคคีที่เดินอยู่ด้านหน้านั้นเกือบจะเดินเซจนเสียหลัก
แหกกฎอะไรกันเล่า องค์ชายสามเสแสร้งเล่นละครได้เก่งเกินไปแล้ว
กิเลนอัคคีมองว่านายท่านของมันต้องการที่จะครอบครองหญิงสาวคนนี้เพียงคนเดียว จึงทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายเช่นนี้ขึ้น!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของตนเองที่เดินอยู่ด้านหน้า แม้ว่าจะไม่มีคลื่นความน่ากลัวอยู่ภายในสายตาคู่นั้น แต่กิเลนอัคคีก็ยังคงรู้สึกตึงเครียด มันสำรวมท่าทีของตนเองอีกครั้ง และก้าวไปข้างหน้าต่อ ช่างเป็นภาพที่ดูงดงามจนทำให้ผู้คนตาพร่า
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มองดูเหตุการณ์นั้นอย่างไม่สามารถทำอะไรได้ เหตุการณ์นี้ทำให้นางรู้สึกอิจฉาจนแทบบ้า แผนการณ์ของนางไม่ได้คำนึงถึงผู้ชายคนนี้ที่นางมองเขาราวกับเป็นพระเจ้า แต่ช่างน่าแปลกใจยิ่งนักที่เขาทำเรื่องไร้เหตุผลต่อหน้าบรรดาขุนนางและเหล่าทหารทุกคนเช่นนี้
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำมือทั้งสองข้างของตนเองแน่น
ทำไมกัน ทำไมองค์ชายสามถึงต้องดูแลนังแพศยานั่นขนาดนี้
ทั้งหมดนี้ควรจะเป็นของนางต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็นความรักจากองค์ชายสาม หรือแม้แต่ชุดแต่งงานสีแดงที่ยาวหลายลี้เช่นนั้น
หากไม่ใช่เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เข้ามาขัดขวาง นางก็คงจะได้อยู่กับองค์ชายไปตั้งนานแล้ว นังแพศยา!
“เจียวเอ๋อร์!”