ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เดินโซเซเข้าห้องน้ำ ก่อนจะหรี่ตามองดูธูปหอมที่จุดอยู่บนโต๊ะ แล้วนึกถึงคำพูดของหนานกงเลี่ยที่พูดในงานเลี้ยง จากนั้น เขาก็หรี่ตาลงพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินออกจากห้องเจ้าสาวไป
“เรียกตัวหนานกงเลี่ยมาหาข้า” เขาพูดกับเงาทมิฬด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เมื่อได้ยินเช่นนั้น เงาทมิฬก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวในคำพูดเหล่านั้น นายน้อยเลี่ยทำอะไรลงไป มันคงจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากๆ จนทำให้องค์ชายสามต้องการที่จะขอพบเขาในคืนวันแต่งงานเช่นนี้ เงาทมิฬคิดในใจ
ไม่นานนัก หนานกงเลี่ย ที่อยู่ในชุดทำพิธีถวายบูชาก็ปรากฏตัวต่อหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และล้อเลียนเพื่อนรักของตนเอง “จริงหรือนี่ อาเจวี๋ย เจ้าใช้เวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้นหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเขาและพูดอย่างรวบรัด “เอายาถอนพิษมาให้ข้า”
หนานกงเลี่ยถูจมูกของตนเองอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น “หมายความว่าเจ้าไม่ได้… เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ ยานั่นน่าจะออกฤทธิ์ได้แล้ว ข้าคิดว่าเพียงแค่เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้า ผู้หญิงทั่วไปก็จะต้องยอมจำนนแก่เจ้ากันทุกคน แต่นางยังคงขัดขืนอยู่เช่นนั้นหรือ นางต้านทานฤทธิ์ยาได้อย่างไรกัน”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขากึ่งๆ แสยะยิ้ม “มันทำให้ข้าหงุดหงิด”
หนานกงเลี่ยรู้สึกเสียวสันหลังวาบ “อาเจวี๋ย ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากเอายาถอนพิษให้เจ้า แต่ ‘สิ่ง’ ที่มีค่าอย่างมากในคืนงานแต่งงานนั้นไม่มียาถอนพิษหรอก ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงต้องขอยาถอนพิษด้วย”
“เช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วอย่างแผ่วเบา
หนานกงเลี่ยถอนหายใจ “ข้าสาบานต่อสวรรค์เลยก็ได้” จริงๆ แล้ว เขาเป็นเพียงเหยื่อคนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถต้านทานต่อฤทธิ์ยานั้นได้ และเขาก็แอบสงสัยว่าร่างกายของผู้หญิงคนนั้นทำมาจากอะไรกันแน่
“เงาทมิฬ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยละสายตาจากหนานกงเลี่ย และพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไปแจ้งผู้อาวุโสของกรมพิธีการ บอกพวกเขาว่านายน้อยเลี่ยค่อยๆ กลายเป็นผู้ชายธรรมดาแล้ว ดังนั้น พวกเขาควรจะจัดหาผู้หญิงศักดิ์สิทธิ์ให้เขาโดยเร็วที่สุด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬก้มศีรษะลง
รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงเลี่ยแข็งค้างทันที เขาพูดไม่ออกเป็นเวลานาน
“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันไปมองหนานกงเลี่ยพร้อมกับยิ้มให้อย่างชั่วร้าย “ข้าชอบของขวัญแต่งงานของเจ้ามากทีเดียว”
หนานกงเลี่ยรู้สึกงุนงง “แล้วเจ้าทำเช่นนี้กับข้าทำไมกัน ไม่ยุติธรรมเลย!”
คำพูดนั้นฟังดูเรียบง่าย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หนานกงเลี่ยรู้สึกไม่พอใจ เจ้าช่างลำเอียงเกินไปแล้ว!
เมื่อท้องฟ้ายามราตรีมืดลง เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังยืนอยู่ในห้องน้ำ และยกถังไม้ขึ้นมาราดน้ำลงบนตัว ราวกับหญิงสาวกำลังคิดว่านี่คือวิธีเดียวที่จะดับไฟในจินตนาการที่ลุกโชนอยู่ภายในร่างกายของนางได้ นอกจากความว่างเปล่าที่นางสัมผัสได้อยู่ลึกๆ นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกบนกระดูกสันหลัง ราวกับว่านางถูกมดจำนวนนับไม่ถ้วนกัดแผ่นหลังอยู่ก็ไม่ปาน เสื้อคลุมของนางตกลงมาตรงช่วงเอวของนางตามการเคลื่อนไหว ผิวของหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ชุดแต่งงานสีแดงสดนั้นช่างขาวเนียนราวกับเป็นผ้าไหม เสื้อคลุมที่เปียกชุ่มนั้นแนบติดกับผิวของนาง เผยให้เห็นทรวดทรงที่อ้อนช้อยของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าและยืดคอขึ้น ในที่สุด ดวงตาที่เยิ้มหวานและดูสับสนคู่นั้นก็เริ่มมีสติมากขึ้น
ในขณะนั้นเอง นางก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งทื่อ เมื่อนางได้สติ นางก็ลืมไปสนิทเลยว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีโอกาสที่จะเดินมาเจอนางในสภาพเช่นนี้ได้
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มที่เปิดประตูนั้น ไม่ได้คิดว่าจะเห็นฉากนี้ มือของเขาค้างอยู่ตรงประตู และสายตาของเขาก็จ้องมองร่างกายของหญิงสาว สิ่งที่เขาเห็นคือหญิงสาวที่ปกติแล้วจะเป็นคนเย็นชาและเย่อหยิ่งกำลังมึนเมาด้วยฤทธิ์ยาและดูเหมือนกับว่าจะเสพติดด้วย แต่ทว่ารูปลักษณ์ที่น่าทึ่งของนางนั้นกลับมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหลอย่างมาก รวมถึงความเย้ายวนจากดวงตาสีดำคู่นั้นที่มีน้ำเอ่อคลออีกด้วย…
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้าไปหานางอย่างไม่ลังเล
“ข้า…” เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอุ้มขึ้นมาก่อนที่นางจะทันได้พูดจบ หลังจากนั้น นางก็ถูกดันตัวไปชิดกับผนังอย่างแรง
“แล้วข้าเล่า” ดวงตาสีเข้มของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเปลี่ยนเป็นความเคร่งขรึมในทันที เขาจับเอวของนางด้วยปลายนิ้วที่ด้านสาก สัมผัสที่นุ่มและเรียบเนียนราวกับผ้าไหมชั้นดีนั้น ทำให้เขาไม่ยอมปล่อยมือ…
ราวกับว่านิ้วเรียวยาวของเขาจะเป็นตัวนำไฟฟ้า ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกชาวาบตรงช่วงเอวของตนเอง นางตัวสั่นสะท้านอย่างไม่ตั้งใจ ร่างกายอันบอบบางของนางในชุดที่หลุดลุ่ยนั้นค่อยๆ เปิดเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม นางยังคงขัดขืนอย่างดื้อดึง นางพูดขึ้นอย่างฉุนเฉียว ต่างจากตอนปกติที่นางมักจะใจดี “ข้าขอแนะนำให้องค์ชายสามอยู่ห่างจากข้าจะดีกว่า มิเช่นนั้น หากข้าอารมณ์เสีย ข้าจะแก้แค้นท่าน!”
“แก้แค้นข้าเช่นนั้นหรือ เจ้าจะทำอย่างไรหรือ หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโน้มตัวเข้ามาใกล้และกระซิบเบาๆ ข้างหูของหญิงสาว “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อข้าออกไปแล้ว ก็จะไม่มีใครเอายาแก้พิษให้กับเจ้าอีก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขบฟันกรอด ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็คือคนที่วางยาข้าเช่นนั้นหรือ” จริงๆ แล้ว นางคิดว่านี่ไม่ใช่การกระทำขององค์ชายสาม เว้นแต่ว่า เขาหลอกนางมาตลอด
“ไม่ ไม่ใช่ข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดพร้อมกับอุ้มนางขึ้น และเดินไปตรงประตูที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อน แม้ว่านางจะใช้เวลาอยู่ในห้องนี้ค่อนข้างนานก็ตาม “แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”
เขาหมายความว่าอะไรกัน เฮ่อเหลียนเวยเวยอ่อนแรงเกินกว่าที่จะต้านทานได้ เมื่อถูกอุ้มเช่นนี้ หญิงสาวก็ทำได้แค่กัดริมฝีปากล่างของตัวเอง เพื่อรักษาสติเอาไว้
นางถูกวางตัวลงบนเตียงที่ปูด้วยพรมหนังสิงโตขนาดใหญ่เป็นพิเศษอย่างนุ่มนวล เตียงนี้อยู่ในกรงที่หล่อมาจากทองคำแท้ ทำให้มันดูหรูหราและงดงามอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้สนใจรายละเอียดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อพรมหนังสิงโตนั้นสัมผัสกับแผ่นหลังที่บอบบางของหญิงสาว ความเย็นของพรมนั้นมีอุณหภูมิที่แตกต่างกับผิวอันรุ่มร้อนของนางอย่างชัดเจน และหลังจากนั้น ความรู้สึกที่น่าละอายก็เอ่อล้นในจิตใจนาง
นางรู้ดีว่าต่อจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้น นางก็ไม่อาจอธิบายความรู้สึกของตนเองออกมาเป็นคำพูดได้
แต่ยังมีความจริงบางอย่างที่นางต้องการรู้!
“ใครเป็นคนวางยาข้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามที่จะพูดจากความร้อนรุ่มนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดเสียงลงต่ำและฟังดูเคร่งขรึม “ข้าไม่อยากพูดถึงคนอื่นในตอนนี้ อีกอย่าง ข้าก็คิดว่าเจ้ากำลังต้องการตัวข้าอย่างมาก ใช่หรือไม่”
กลิ่นหอมอบอวลภายในห้องที่อบอุ่นนี้ เขาถูกกลิ่นหอมหวานของหญิงสาวจากเฮ่อเหลียนเวยเวยครอบงำ กลิ่นของมันมีความคล้ายคลึงกับความหวานเย็นๆ จากเหล้า เขาพูดพร้อมกับเอนตัวเข้าไปจูบคออันขาวเนียนที่เขาถวิลหามาตลอด ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ความเป็นชายชาตรีที่ดุดัน ประกอบกับสัมผัสอันเร่าร้อนนั้นทำให้สัญชาตญาณของเฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการจะหลบหนีไปให้ได้ โชคร้ายที่เขาใช้มือข้างหนึ่งจับข้อมือทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้ พร้อมกับใช้ปลายลิ้นของเขาหยอกล้อปานแดงเล็กๆ บนหน้าอกซ้ายที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดแต่งงานของนาง ในขณะที่มืออีกข้างของชายหนุ่มนั้นก็เอื้อมลงไปด้านล่าง และลูบไล้เรียวขายาวของหญิงสาวไปมา
จุมพิตที่เร่าร้อนนั้นกระตุ้นความมึนเมาที่หลงเหลืออยู่ในตัวของเฮ่อเหลียนเวยเวย ทำให้ร่างกายของนางรุ่มร้อนและอ่อนแรงลง ก่อนจะค่อยๆ สูญเสียการควบคุมสติของตนเองไป
เสน่ห์ของเขา พลังของเขา รวมถึงความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่เขามีต่อนางนั้น ทำให้ความลังเลที่นางมีก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสัมผัสทุกอณูผิวของเฮ่อเหลียนเวยเวย นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายไปทั่วทั้งร่างกาย ผ้าคาดเอวของนางหายไปสักพักแล้ว และแม้ว่าชุดแต่งงานสีแดงของนางยังคงสวมอยู่บนตัว แต่ตู้โตว[1]ของนางก็หายไปแล้วเช่นกัน
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเต็มไปด้วยความต้องการ ในขณะที่ผมสีดำของนางนั้นแผ่ไปทั่วเตียงกรงทองนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องมองดวงตาหยาดเยิ้มของหญิงสาว ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมามองดูร่างกายของนาง และเมื่อเห็นว่าร่างกายอ่อนช้อยและงดงามของนางแทบไม่ถูกชุดแต่งงานปกปิดไว้แล้ว ดวงตาที่สงบของเขาก็เพ่งลึกลงไปอีก…
——————–
[1] ตู้โตว คือ เสื้อชั้นในของผู้หญิงจีนสมัยโบราณ มีลักษณะเป็นผืนผ้าคล้ายผ้ากันเปื้อน สำหรับคาดรอบอกและมีสายผ้าผูกที่คอกับเอว