“เพคะ?” นางกำนัลเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “แต่องค์ชายเพิ่งจะสร้างมันขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เองนะเจ้าคะ มันทำมาจากไม้จันทน์ที่ดีที่สุดและมีมูลค่ามหาศาลเลยนะเจ้าคะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงช้าๆ “เช่นนั้นหรือ”
“เอ่อ” นางกำนัลคิดว่าตนเองพูดอะไรผิดไปจึงหดคอกลับ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ก็ทำความสะอาดมันซะ แล้วเอามันไปขายข้างนอกวัง”
อะไรนะ?!
นางกำนัลตกใจ และชั่วขณะหนึ่ง พวกนางก็เกือบจะคิดว่าตนเองหูฝาดไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองนางกำนัลสองคนและยิ้มให้เล็กน้อย “ใช่แล้ว รวมถึงเตียงที่อยู่หลังฉากกั้นนั่นด้วย เอามันไปขายสิ มันทำมาจากทองคำ น่าจะได้ราคาสูง”
พระชายากำลังคิดอะไรอยู่!
นั่นคือสมบัติล้ำค่าที่องค์ชายต้องเห็นทุกวัน!
หากใครเอามันไปขาย คงจะถูกฆ่าทิ้งแน่นอน
นางกำนัลไม่กล้ารับปาก แต่ก็ไม่กล้าขัดอารมณ์พระชายาที่ดูหงุดหงิดด้วยเช่นกัน ดังนั้น พวกเขาจึงทำเพียงแค่โค้งคำนับและพูดว่า “เอ่อ บ่าว… บ่าวจะไปขอคำแนะนำจากขันทีซุนก่อนเพคะ”
“ได้ ไปขอคำแนะนำมา” ตราบใดที่มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงเกินที่นางจะรับได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็พร้อมที่จะเข้าใจ
ทันใดนั้น เหล่านางกำนัลก็รู้สึกประทับใจอย่างมาก จนกระทั่งนางได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อพร้อมกับรอยยิ้ม “แต่หากไม่ได้รับคำแนะนำ ข้าก็จะทำลายมันทิ้งด้วยมือของข้าเอง”
นางกำนัล: …
พวกนางควรไปขอคำแนะนำจะดีกว่า
ในวันแรกของงานอภิเษกสมรส บรรยากาศภายในห้องหอก็เต็มไปด้วย ‘ลมพายุและสายฝนเลือด[1]’ ไม่มีใครรู้เลยว่าข่าวลือที่แพร่สะพัดไปข้างนอกนั้นเป็นเช่นไรบ้าง
ตัวอย่างเช่น องค์ชายและพระชายาเข้ากันไม่ได้ เป็นต้น
ขันทีซุนได้ฟังข่าวจากบรรดาสาวใช้ หลังจากที่ครุ่นคิดดูแล้ว เขาก็ใช้มือทั้งสองข้างหยิบเสื้อคลุมยื่นให้กับองค์ชายของเขา
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ พระชายากำลังจะขายอ่างอาบน้ำในห้องน้ำ องค์ชายเห็นว่า…” ในขณะที่พูด น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ขณะที่มองดูไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังสวมใส่เสื้อคลุม
“อ่างอาบน้ำเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วรูปงามขึ้น ก่อนจะคิดถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นอย่างชั่วร้าย “นางช่างขี้อายยิ่งนัก”
ขันทีซุนเงียบ เขามีอายุเกือบหกสิบปีแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่ขี้อายจนต้องขายอ่างอาบน้ำเลย!
นอกจากนี้…
“พระชายายังต้องการจะขายเตียงทองคำด้านหลังองค์ชายด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากพูดจบ ขันทีซุนก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมององค์ชายอยู่หลายครั้ง เพราะกลัวว่าองค์ชายจะเย้ยหยันและพูดว่า “ลองให้นางขายดูสิ!”
หลังจากนั้น เขาก็คงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย…แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดจัดปกคอเสื้อของตนเอง ทำให้ขันทีซุนรู้สึกชาวาบที่หนังศีรษะ
“ปล่อยให้นางขายไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แล้วอะไรเล่า ไม่มีอะไรแล้วเช่นนั้นหรือ
ขันทีซุนไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้ เขารู้สึกประหลาดใจมากี่ครั้งแล้ว ในเมื่อองค์ชายสามรักเตียงนั้นมาก องค์ชายก็ไม่น่าจะปล่อยให้คนอื่นมาขายของต่างๆ ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
ในขณะที่ขันทีซุนกำลังสงสัยอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดต่ออย่างใจเย็นว่า “หลังจากนั้น ข้าจะซื้อมันคืนมา”
ขันทีซุนตกตะลึงและก้มศีรษะลง “พ่ะย่ะค่ะ”
เขาคิดในใจว่า “องค์ชาย ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีเงินทองมากมาย แต่พวกเราก็ไม่ควรใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายนะพ่ะย่ะค่ะ เฮ้อ!”
เดิมที เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าเตียงที่ใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้มันจะสวยงามเพียงใด ก็คงจะขายไม่ได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นางปล่อยข่าวไป ก็มีใครบางคนเสนอราคามาให้ทันที
และนั่นทำให้ดวงตาที่เย็นชาของนางค่อยๆ กลับมาอบอุ่นขึ้น เมื่อนับเงินที่ขันทีซุนยื่นมาให้ ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความสุข “ขันทีซุนเป็นคนที่ไว้ใจให้จัดการเรื่องต่างๆ ได้จริงๆ”
“พระ… พระชายาชมกระหม่อมมากเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน และคิดว่าต้องยกความดีความชอบให้กับองค์ชายสาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากขึ้นอีกครั้ง และเอาเงินจำนวนหนึ่งใส่มือเขาอย่างใจกว้าง “ขันทีซุน ท่านเป็นผู้อาวุโสในวังหลวงแห่งนี้ ในอนาคต ท่านช่วยชี้แนะข้าในเรื่องที่ข้าไม่รู้ และเรื่องที่คนอื่นๆ พูดกันด้วยนะ”
“นี่… มัน… พระชายาพ่ะย่ะค่ะ นี่มันมากเกินไปสำหรับบ่าวพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีค่ากับพระชายาขนาดนั้น และดันเงินก้อนนั้นกลับคืนไป แต่ลึกๆ ในใจเขาก็รู้ดีว่าพระชายาคนนี้ช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก นางแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่เย่อหยิ่งและไม่ใจร้อน คำพูดที่เรียบง่ายของนางนั้นกินใจผู้คน และทำให้ได้รับความนับถือจากขันทีซุน
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่อเพียงไม่กี่คำ “นี่คือสิ่งที่ขันทีซุนสมควรได้รับ”
หากเป็นเมื่อก่อน ขันทีซุนก็คงจะยอมรับมันไว้ แต่ตอนนี้ องค์ชายของเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย เขารู้สึกได้ว่าตั๋วเงินที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้ช่างร้อนระอุเกินกว่าที่จะถือไว้ได้ แม้ว่าคนๆ นั้นจะยังแต่งตัวอยู่ในห้องน้ำ แต่เขาก็ต้องยระมัดระวังตัวให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
“อ้อ จริงสิ” นางหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาจากกอง แล้ววางในมือของขันทีซุน “นี่สำหรับองค์ชายสาม บอกเขาว่าข้ารู้สึกขอบคุณที่เขาทำงานอย่างหนักเมื่อคืนนี้”
ขันทีซุนตัวแข็งทื่อ!
พระชายาคงไม่ได้หมายความอย่างที่เขาคิดหรอก!
ฮ่าๆๆ จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า ไม่มีใครกล้าทำกับองค์ชายสามเช่นนี้
และแล้ว…
หลังจากที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นตั๋วเงินใบนั้นแล้ว ริมฝีปากบางของเขาก็ยกขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นบรรยากาศที่เย็นยะเยือกและดูน่ากลัว เขายกนิ้วขึ้น และทำให้เกิดไฟที่ไม่รู้ที่มาลุกขึ้นเผาตั๋วเงินเหล่านั้นจนไหม้เกรียม
นางต้องการจะไล่เขาด้วยตั๋วเงินเพียงใบเดียวเช่นนั้นหรือ
หรือว่านางจงใจจะยั่วยุเขา
ไม่ว่าอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าจะดีกว่าการที่นางหลบหนีไปอย่างเฉยเมย
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ปกติแล้ว ผู้หญิงควรจะรู้สึกดีไม่ใช่หรือ
เพราะวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ใจของผู้หญิงคนหนึ่งมา ก็คือการพานางไปขึ้นสวรรค์! แต่ทำไมนางถึงแตกต่าง
นั่นทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มักจะชอบทำอะไรตามแผนของตนเองอยู่เสมอขมวดคิ้ว
นางเจ้าเล่ห์มากที่คิดจะลบความทรงจำระหว่างพวกเขาไป
แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะส่งผลกระทบต่อเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่นางก็ยังไม่ยอมมอบหัวใจของตนเองให้กับเขาเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็จัดแขนเสื้อของตนเอง ก่อนจะเม้มริมฝีปากบางของเขา และรู้สึกคับข้องใจเล็กน้อย
เขาคงจะต้องหาจังหวะดีๆ เพื่อไปพูดคุยกับผู้อาวุโสที่วัดคนนั้นบ้างแล้ว
ถ้าเช่นนั้น เขาควรจะทำอย่างไรเพื่อให้เขี้ยวเล็บของนางสิ้นฤทธิ์ลง!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเขาแล้ว วิธีการของนางก็ยังอ่อนด้อยเกินไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมุมปากขึ้นอีกครั้ง และเผยให้เห็นพลังปราณที่ชั่วร้าย ถึงเวลาที่นางจะต้องรู้จักซุนหงอคง ราชาวานรที่ไม่มีวันหนีออกจากฝ่ามือของพระอรหันต์ได้เสียแล้ว
ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังดูการตกแต่งห้องอยู่นั้น นางก็นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ภายในห้องหอเมื่อคืนนี้
ไม่น่าจะมีใครเข้ามาวางยานางได้ มิเช่นนั้น นางก็น่าจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ดังนั้น จะต้องมีคนเข้ามาวางยาไว้ก่อนล่วงหน้า
แต่… ในรูปแบบใดกัน เฮ่อเหลียนเวยเวยไล่นิ้วมือไปตามพื้นผิวของโต๊ะ แล้วจู่ๆ นางก็หัวเราะออกมา
นางหยิบกระถางธูปที่มีรอยเปื้อนขึ้นมาและบอกกับนางกำนัลที่อยู่ข้างๆ “ไปตรวจสอบมาว่าใครเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้”
“เพคะ” นางกำนัลรับคำสั่งและถอยออกจากห้องไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยนับรายได้ของตนเองในวันนี้อย่างอารมณ์ดี นางคิดว่าตัวเองสามารถขายของที่ไม่ถูกใจได้อีกในภายหลัง โดยเฉพาะเตียงนั้น นางรู้สึกโล่งใจที่มันหายไปแล้ว
แต่ใครจะไปรู้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องไปที่สิ่งของอันหรูหราและดูคุ้นตาตรงหน้า ดวงตาของนางหรี่ลง
——————
[1] ลมพายุและสายฝนเลือด เป็นสำนวน หมายถึง การนองเลือดหรือช่วงเวลาแห่งความหวาดกลัว ภัยพิบัติมาเยือน