หลังจากเด็กสาวจากไปพร้อมกับทำทีท่าว่างอน ฟิลลิปก็มองนาฬิกาข้อมือ ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกนิดหน่อย เขาตั้งใจไว้ว่าหากเธอไม่เปลี่ยนใจ เขาจะกินอาหารอย่างง่ายๆ แถวนี้ก่อนจะเข้าไปดูภาพยนตร์
โคตรน่ารำคาญเลย
ฟิลลิปล้วงมือเข้ากระเป๋าพร้อมกับยิ้ม ความรู้สึกสีดำที่แหวกผ่านรอยร้าวขึ้นมากำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงบริเวณท้องน้อย
เนื่องจากมีประสบการณ์มาแล้วว่าหากเขาทำตามที่ใจปรารถนาอาจจะทำให้ถูกขังในโรงพยาบาลจิตเวชได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรฟิลลิปก็จะยิ้มไปอย่างนั้นและปล่อยผ่านไป ความจริงเข้าสามารถปรับให้เข้ากับความชอบของเธอได้ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรขนาดนั้น แต่ก็มีบางครั้งที่เขารู้สึกรำคาญกับการเล่นกับความรู้สึกที่เล็กน้อยขนาดนั้นเหมือนกัน และในตอนที่เป็นแบบนั้น เขาก็อยากจะพ่นคำพูดที่อยู่ในใจออกมาให้หมด
แค่มาดูหนังโรงแมนติกเหี้ยๆ ถึงนี่ก็พอแล้วมั้ง
ฟิลลิปก้มมองตั๋วภาพยนตร์โรแมนติกที่ไม่ตรงกับรสนิยมของตนเลย ในตอนที่กำลังโยนทิ้งลงถังขยะไปส่งๆ ด้านหลังศีรษะที่คุ้นตาก็โผล่เข้าในสายตา
“หวัดดี”
“เฮือก”
พอเขาเข้าไปใกล้ๆ และทักทาย เด็กชายก็สะดุ้งตกใจ
เขาเลิกแกล้งสิ่งที่ยังเป็นเด็กและอ่อนแอไปตั้งแต่ตอนหกขวบแล้ว แต่พอได้เห็นเด็กคนนี้ ความสนุกที่เขาลืมไปแล้วก็ทะลักขึ้นมาบริเวณลำคออย่างน่าประหลาด
“สะ สวัสดีครับ”
เด็กชายจำฟิลลิปได้ และรีบเอ่ยทักทาย
“มาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“เอ่อ…มาดูหนังครับ”
ตอนนั้นฟิลลิปถึงได้นึกขึ้นได้ว่าวันที่ตัวเองจองตั๋วภาพยนตร์ให้เด็กชายคือวันนี้
“มาดูกับแฟนเหรอ”
แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ แต่เขาก็เอ่ยถามไปแบบนั้น ใบหน้าของเด็กชายซีดเผือด
“คือว่า เรื่องนั้น…”
ฟิลลิปทอดสายตามองเด็กชายที่เหงื่อแตกและทำตัวไม่ถูกพร้อมกับกลั้นยิ้มไว้ในใจ
เขาไม่ควรจะรู้สึกสนุก
ในระหว่างที่คิดว่าควรจะหยุดและกลับบ้าน เด็กชายก็เอ่ยขอโทษว่า “ขอโทษครับ” ในสภาพที่กำหมัดไว้แน่น
“เรื่องอะไร”
“…เรื่องตั๋วหนังไงครับ คุณซื้อให้สองใบ แต่ผมมาคนเดียว…ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นนะครับ แต่สุดสัปดาห์นี้น้องชายของผมไปเข้าค่ายกันหมด…ไม่ใช่ว่าผมไม่มีเพื่อนที่จะมาด้วยหรอกนะ ยังไงก็ตาม…ผมขอโทษนะครับที่ไม่สามารถใช้สิ่งที่คุณให้เป็นของขวัญได้หมด”
ฟิลลิปทอดสายตามองเด็กชายนิ่งๆ คนเราจะสามารถรู้สึกผิดกับเรื่องแบบนั้นด้วยใจจริงได้จริงๆ เหรอ
“แต่ผมจะดูให้สนุกเท่ากับคนสองคนดูเลยครับ”
เด็กชายพูดเสริมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ตอนที่เขายื่นตั๋วภาพยนตร์ให้ แก้มของเด็กชายแดงเล็กน้อย
‘ขอบคุณครับ ผมจะดูให้สนุกเลยครับ”’
เด็กชายทำตาเป็นประกาย และเอ่ยขอบคุณจากใจจริงในความมีน้ำใจที่อยู่ในระดับที่ต่อให้โยนทิ้งลงถังขยะไปก็ไม่สนใจอะไร นี่เป็นปฏิกิริยาที่ต่างไปจากผู้คนที่น่าเบื่อหน่ายที่ทำตัวตามที่ตัวเองต้องการอย่างสิ้นเชิง
“แล้วทิ้งอีกใบที่เหลือไปแล้วเหรอ”
ครั้นได้ยินคำถามของฟิลลิป เด็กชายก็ส่ายหน้า
“ไม่ครับ ไม่ได้ทิ้ง ผมต้องเก็บเอาไว้อยู่แล้วครับ”
เด็กชายหยิบตั๋วภาพยนตร์ออกมาจากกระเป๋าและโชว์ให้ดูราวกับจะขอให้เชื่อในคำพูดของตน ฟิลลิปแย่งตั๋วหนึ่งใบที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายมา
“งั้นฉันดูด้วยได้ไหม”
การเปลี่ยนใจที่ไม่ได้สำคัญอะไรเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
เขาเกลียดการกลับไปที่บ้านคนเดียวในตอนเย็นวันศุกร์ถึงขนาดที่คิดว่าไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว เขาควรจะดูภาพยนตร์สักเรื่อง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือนิยายต้นฉบับที่เด็กชายให้ยืมก็ใช้ได้พอสมควร
“คุณไม่ได้มาดูหนังกับเพื่อนเหรอครับ”
“โดนนอกใจไปเมื่อกี้น่ะ”
“หา?”
คำว่าถูกนอกใจทำให้ตาของเด็กชายเบิกโตอย่างเต็มที่ นี่เป็นปฏิกิริยาที่บอกว่าไม่เชื่อ
เพราะเขาคือฟิลลิป เลวิน
ควอร์เตอร์แบ็กชาวเอเชียคนแรกของทีมที่ได้รับการยอมรับว่าอยู่ในห้าอันดับแรกของโรงเรียนมัธยมปลายทั่วอเมริกา คนดังที่ในโรงเรียนที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกกระวนกระวายใจเพราะอยากคุยด้วย และลูกชายของบ้านคนรวยที่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามราวกับภาพวาด เขาเป็นผู้ชายที่มีเงื่อนไขทุกอย่างเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์โรแมนติกของวัยรุ่น
“ใครนอกใจ…ไม่สิ ผมไม่ได้ตั้งใจจะถามเรื่องส่วนตัวนะครับ ขอโทษครับ ยังไงก็เถอะ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…ผมแค่ตกใจเฉยๆ”
“ฮ่าฮ่า โอเค”
ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ พร้อมกับยักไหล่ เด็กชายลังเล และเอ่ยถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“หืม? อะไรเหรอ”
“…คุณคงจะเสียใจ แต่อีกฝ่ายก็คงจะมีเหตุผลแหละครับ”
ฟิลลิปจ้องมองเด็กชายที่ปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน ราวกับว่าเขากำลังมองดูสิ่งมีชีวิตที่น่าประหลาดใจ
“ผมจะซื้อป๊อปคอร์นให้เองครับ”
“ฉันต้องเป็นคนซื้อสิ ป๊อปคอร์นน่ะ”
“ไม่ครับ คุณซื้อตั๋วให้แล้วนี่ ผมอยากจะใช้เงินตัวเองซื้อป๊อปคอร์นให้ครับ”
“ฮ่าๆๆๆ”
ฟิลลิปหัวเราะอย่างมีความสุขจริงๆ
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแรกเลย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็มักจะคิดว่าฟิลลิปที่เป็นลูกหลานของคนรวยต้องเป็นคนจ่ายเงิน แม้จะมีคนที่ซื้ออะไรบางอย่างให้เพื่อหวังจะซื้อใจของฟิลลิปอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครที่พูดว่าจะปลอบใจเขาและเปิดกระเป๋าสตางค์ให้เหมือนกับคราวนี้
ทั้งๆ ที่เป็นคนที่โดนกลั่นแกล้งอย่างกับคนโง่แท้ๆ
“ได้ งั้นก็รบกวนด้วยนะ”
“อยู่ตรงนี้นะครับ”
เด็กชายพูดราวกับบอกให้เด็กที่เด็กกว่าตัวเองรู้ก่อนจะเดินไปที่โซนขายของกิน ฟิลลิปกอดอกและจ้องมองด้านหลังของเด็กชาย ผ่านไปไม่นานอีกฝ่ายก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และเดินกลับมาพร้อมกับหอบหายใจ
“…เครื่องดื่มจะรับเป็นอะไรดีครับ
ฟิลลิปก้มมองคนโง่ที่ถามแบบนั้นทั้งๆ ที่ยังหายใจหอบ เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “สไปร์ท”
***
ในระหว่างทางที่ออกมาหลังจากดูภาพยนตร์เสร็จ เด็กชายมองฟิลลิปราวกับเป็นลูกสุนัขและมีท่าทีเป็นกังวล
“คือ…”
นี่เป็นครั้งที่ห้าแล้วที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็ก้มหน้าลงในตอนที่เขาสบตา
เจ้าบ้านั่นอยากจะพูดอะไรกันแน่
“มีเรื่องที่อยากพูดเหรอ”
พอฟิลลิปตีหน้าซื่อและเอ่ยถามแบบนั้น เด็กชายก็ตอบว่า “เปล่าครับ” และหันหน้าหนีไป พวกเขายืนอยู่หน้าลิฟต์ แล้วฟิลลิปที่จอดรถไว้ที่ชั้นใต้ดินก็กดปุ่มลงชั้นล่าง
“งั้นผมไปแล้วนะครับ”
อินซอบชี้ไปที่ทางออกพร้อมกับพูด
“ได้ กลับดีๆ นะ”
ฟิลลิปยิ้มอย่างเป็นสวยงามพร้อมกับโบกมือให้ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้หญิง เขาจึงไม่จำเป็นต้องขับรถไปส่ง สบายดีจัง
ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก แล้วเด็กชายก็เอ่ยเรียกฟิลลิปไว้อีกครั้ง
“มีอะไรเหรอ”
จะขอให้ขับรถไปส่งเหรอ? หรือว่าจะเรียกร้องค่าตอบแทนจากการมีน้ำใจเอาตอนนี้?
เด็กชายเอ่ยปากพูดราวกับตัดสินใจได้แล้ว
“…ผมหวังว่าคุณจะอารมณ์ดีขึ้นหลังจากที่ได้ดูหนังนะครับ”
“…”
“ขอให้มีสุดสัปดาห์ที่ดีครับ”
เด็กชายยิ้มพร้อมกับเอ่ยลา ฟิลลิปมองเห็นใบหน้าของเด็กชายที่ยิ้มละมุนผ่านประตูที่กำลังจะปิดสนิท เขาจึงกดปุ่มเปิดลิฟต์
“ขึ้นมา”
“ครับ?”
“ฉันจะไปส่ง”
“ไม่ต้องครับ ผมเดินกลับได้ ผมอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไร”
เด็กชายส่ายหน้าพร้อมกับโบกมือปฏิเสธ มิหนำซ้ำยังเดินถอยหลังราวกับตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ อีกด้วย คนอื่นๆ ที่อยู่ในลิฟต์เหลือบมองเด็กชาย ฟิลลิปจึงเอื้อมมือออกไปคว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ จากนั้นเขาก็ดึงให้มายืนอยู่ข้างตัวโดยไม่มีเวลาให้ได้ปฏิเสธ
“มันดึกแล้ว ฉันจะขับรถไปส่ง”
“…ไม่เป็นไร”
เด็กชายพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา แล้วต้นคอของเขาที่ทำตัวไม่ถูกก็แดงเถือก
แม้แต่ตอนที่เดินไปจนถึงที่ที่จอดรถไว้ อีกฝ่ายก็ยังพึมพำคนเดียวว่าไม่เป็นไรอยู่หลายครั้ง
“พิมพ์ที่อยู่”
พอขึ้นมาบนรถ ฟิลลิปก็ว่าพลางชี้ไปที่หน้าจอเนวิเกชั่น เด็กชายจึงเริ่มพิมพ์ที่อยู่ของตัวเองลงไปช้าๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ใกล้กับบ้านฉันเลย”
“…ครับ”
“คาดเข็มขัด”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
เด็กชายดึงเข็มขัดนิรภัยลงมาอย่างลนลาน และพยายามจะเสียบให้เข้าล็อก แต่เนื่องจากไม่คุ้นเคย เขาจึงเสียบพลาดอยู่หลายครั้ง ฟิลลิปที่ทนมองไม่ได้จึงเอื้อมมือมาเสียบเข็มขัดนิรภัยให้แทน พอเขาทำแบบนั้น เด็กชายก็กล่าวขอบคุณในสภาพที่นั่งตัวตรงจนไหล่เกร็ง
ท่าทีสะดุ้งตกใจอย่างเต็มที่นั้นช่างน่าขำ
“จะออกรถแล้วนะ”
ฟิลลิปพูดแบบนั้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะและหมุนพวงมาลัย ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันเลยจนกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกมาจากที่จอดรถ
“หนังเป็นไงบ้าง”
ฟิลลิปเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนในตอนที่รถจอดติดไฟแดง
“สนุกครับ เทียบกับต้นฉบับแล้วถือว่าเป็นการดัดแปลงที่ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว ผมว่าการกำกับก็ทำได้ดีด้วย เดิมทีถ้ามีต้นฉบับอยู่แล้ว มันมักจะสนุกน้อยลงเพราะเกิดการเปรียบเทียบ แต่หนังเรื่องนี้แสดงเสน่ห์ที่แตกต่างของมันออกมาได้ดีเลยล่ะครับ โดยเฉพาะตอนที่ตัวเอกถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว…”
เด็กชายที่พูดมาถึงตรงนี้รีบปิดปากเงียบและมองเขา เพราะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
“…แล้วคุณสนุกไหมครับ”
จากนั้นก็เอ่ยถามเขาแบบนั้นอย่างรอบคอบ
“อืม ก็ตามนั้น”
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานที่ใช้ลักษณะเฉพาะของสื่อ และขยายเสน่ห์ที่เฉพาะตัวนั้นออกมาได้อย่างที่เด็กชายว่า
“ฉันว่าผู้กำกับคงอ่านต้นฉบับมาเยอะ”
“ครับ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ดูเหมือนเขาจะใช้แม้กระทั่งส่วนที่ไม่สำคัญ และทำหนังเรื่องนี้ออกมานะครับ”
สายตาของเด็กชายเป็นประกาย เขาไม่มีความสามารถที่จะซ่อนสิ่งที่ตัวเองชอบไว้เลย บางทีถ้ามีแฟน ก็คงจะแสดงท่าทีจนคนอื่นรู้
ฟิลลิปเคาะพวงมาลัยพร้อมกับจ้องมองเด็กชาย
“…สัญญาณไฟเปลี่ยนแล้วครับ”
ฟิลลิปออกรถอีกครั้ง
“เอ่อ โกรธเหรอครับ”
“ฉันเหรอ? เปล่านี่ ทำไมเหรอ”
ฟิลลิปแสยะยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบ
“เปล่า เพราะสีหน้าเมื่อกี้ดูน่ากลัวนิดหน่อย ผมก็เลย…”
ฟิลลิปใช้กระจกมองหลังเหลือบมองหน้าตัวเอง ตาของเขาไม่ยิ้มเลยสักนิด เขาไม่มีเหตุผลที่จะอารมณ์ไม่ดี แต่ภายในใจของเขากลับรู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด
“คงจะเป็นแบบนั้นเพราะเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
“เหนื่อยเหรอครับ ให้ผมขับแทนไหมครับ?”
เด็กชายหันกายมาทางที่นั่งฝั่งคนขับและแสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างจริงใจ ฟิลลิปเหลือบมองอีกฝ่าย จากนั้นตาของเขาก็หยีลงอย่างนุ่มนวล
อีกฝ่ายมีร่างกายที่ผอมแห้งจนเขาสามารถใช้มือข้างเดียวจับข้อมือทั้งสองข้างไว้และข่มเหงได้ ใบหน้าที่ขาวจนไร้สีเลือดก็ดูซีดเซียวจนเหมือนจะล้มพับลงไปถ้าโดนต่อย
ตรงกันข้ามกับตัวเขาที่มีภาพลักษณ์เป็นตัวแทนชมรมกีฬาอย่างสิ้นเชิง เขามีร่างกายที่ดูแข็งแรงในสายตาของทุกคน ต่อให้เหนื่อย เขาก็สามารถปกปิดความเหนื่อยล้านั้นไว้ได้ในชั่วพริบตา
เขานึกสงสัยขึ้นมา
สงสัยว่าคนที่มีสภาพแบบนั้นจะรู้สึกเป็นห่วงคนแบบเขาจริงๆ น่ะเหรอ
“เป็นห่วงฉันเหรอ”
“ครับ?”
“ฉันถามว่าเป็นห่วงฉันเหรอ”
“ครับ…เป็นห่วงไม่ได้เหรอครับ”
แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่มีการโกหกปนอยู่เลยมองมาที่เขาพลางเอ่ยถามกลับ
พอสบเข้ากับดวงตาคู่นั้น เขาก็อยากจะถามกลับว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลได้อย่างไร
“ต่อให้ฉันเป็นคนไม่ดีก็เป็นห่วงเหรอ”
“…แต่คุณไม่ใช่คนไม่ดีนี่ครับ”
“ฮ่าๆๆๆ”
ฟิลลิประเบิดหัวเราะ
เขาเป็นคนไม่ดี ไม่สิ แค่คำว่าคนไม่ดียังไม่พอด้วยซ้ำ ฟิลลิป เลวิน นักเรียนผู้มีผลคะแนนยอดเยี่ยมและเป็นควอร์เตอร์แบ็กตัวหลักของทีมฟุตบอลนั้นเป็นไอ้เด็กเหลือขอผิดกับภาพลักษณ์ภายนอก ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจคนอื่นของเขาแทบจะไม่เหลือ ถึงขนาดที่ว่าต่อให้คนตายตรงหน้าตอนนี้ จิตใจของเขาก็ยังสงบ แม้จะไปโรงพยาบาลเพื่อรับคำปรึกษาพร้อมกับเข้ารับการรักษา แต่อาการของก็ไม่สามารถดีขึ้นได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ในบรรดาคนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริง ไม่มีใครชอบเขาเลยสักคนเดียว แม้กระทั่งแม่ที่คลอดเขาออกมายังเลี่ยงที่จะสบตากับเขาในตอนที่พูดคุยกันเลย
“ฉันอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้นี่นา”
ฟิลลิปพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเจือไปด้วยการหัวเราะ
“…ไม่หรอก…”
คนอย่างนายจะไปรู้อะไร
ฟิลลิปยิ้มตาหยีอย่างนุ่มนวล
แต่อีกฝ่ายไม่มีทางที่จะรู้ถึงภาพในจิตใจอันดำมืดของตน และต่อให้อีกฝ่ายรู้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เขาเองก็ไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายรู้…
“…ผมไม่ควรเป็นห่วงเหรอครับ”
“ว่าไงนะ”
“ถึงคุณจะไม่ใช่คนไม่ดีก็ตาม แต่ต่อให้คุณจะเป็นคนไม่ดี ผมก็เป็นห่วงครับ เพราะคุณบอกว่าเหนื่อย ถ้าร่างกายไม่สบาย…ผมก็ต้องเป็นห่วงสิครับ”
เด็กชายแสดงความห่วงใยของตนออกมาด้วยการพูดอย่างช้าๆ และระมัดระวัง วินาทีที่รับรู้ถึงสายตาอันอ่อนโยนที่มองมาที่เขา ความร้อนก็แผ่ซ่านไปทั่วอก และความร้อนนั้นก็พุ่งขึ้นมาถึงลำคอของเขาในชั่วพริบตา ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด ทำให้ฟิลลิปรู้สึกกระสับกระส่าย เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง
“นาย…”
ตอนที่ฟิลลิปเอ่ยปากพูด แสงไฟตรงหน้าแผงปัดรถยนต์ก็กะพริบพร้อมเสียงร้องเตือนที่ดังขึ้น
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ”
เด็กชายเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นกลัว ฟิลลิปจอดรถตรงข้างทาง และเช็กหน้าปัดรถยนต์
“รอเดี๋ยวนะ”
ฟิลลิปออกไปนอกรถ และสำรวจล้อด้านหลังฝั่งขวาที่ขึ้นแจ้งเตือน ลมของยางรั่วออกไปจนล้อรถยนต์แบนอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรไหมครับ”
เด็กชายยื่นหน้าออกมานอกหน้าต่างรถยนต์ก่อนจะเอ่ยถาม
“เป็นสิ เหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่แล้วล่ะ”
คำพูดแกล้งเล่นนั้นทำให้สีหน้าของเด็กชายซีดเผือด
เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ฟิลลิปยืดตัวขึ้นและไม่พอใจอยู่ในใจ
“ผะ ผมช่วยเองครับ ช่วยบอกหน่อยนะครับว่าต้องทำยังไง”
ฟิลลิปมองเด็กชายที่พยายามจะออกมาอย่างลนลาน และกลั้นหัวเราะไว้
เป็นเรื่องใหญ่ เพราะดูน่าสนใจสำหรับเขาอยู่เรื่อยน่ะสิ
เขาจับให้อีกฝ่ายนั่งลงบนที่นั่งฝั่งข้างคนขับอีกครั้ง จากนั้นก็พูดในสภาพที่ยืนพิงหน้าต่างรถยนต์ไว้
“คาดเข็มขัดก่อน แล้วฉันจะบอกเรื่องที่ต้องทำต่อไปให้”