หลังจากที่อีกฝ่ายคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ ฟิลลิปก็ขอให้เด็กชายที่ถามว่าตอนนี้ตนต้องทำอะไรช่วยตรวจสอบที่ตั้งของร้านซ่อมรถยนต์ให้ เด็กชายทำหน้าตื่นกลัว และถามซ้ำๆ ว่า “แค่นั้นพอจริงๆ เหรอครับ”
ท่าทีที่ทึ่มจนน่าสมเพชทำให้เขาหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ
ในความโชคร้าย ยังมีความโชคดีคือร้านซ่อมรถยนต์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก แม้เขาจะสามารถเปลี่ยนยางเองได้ แต่เพราะไม่อยากให้น้ำมันเปื้อนมือ ฟิลลิปจึงฝากรถไว้กับร้านซ่อมรถยนต์
ช่างซ่อมบอกว่าถ้าเหยียบตะปูหรืออะไรแหลมๆ บนถนน ตรงกลางของยางต้องเป็นรูอย่างแน่นอน แต่ถ้าดูจากการที่มันฉีกขาดจากด้านข้างแล้ว ใครบางคนคงจะตั้งใจทำให้เป็นแบบนั้น พอได้ยินดังนั้นฟิลลิปก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เขานึกถึงโคลอี้ที่พูดทิ้งท้ายไว้เหมือนกับบทพูดในละครเกรดต่ำไว้ก่อนจะจากไป
เลือกที่จะทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ สินะ
ฟิลลิปซื้อกาแฟและเดินถือออกมาจากร้านสะดวกซื้อเล็กๆ ที่อยู่ติดกับร้านซ่อมรถยนต์ เด็กชายที่บอกว่าจะขอไปทำธุระสักครู่ก่อนจะปลีกตัวออกไปกำลังถือหูโทรศัพท์อยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่ง
“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าแบตเตอรี่หมด เดี๋ยวผมจะกลับแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
เด็กชายคุยโทรศัพท์ต่อ โดยไม่รู้เลยว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลัง
“นอนได้เลยครับไม่ต้องรอ ครับ รักเหมือนกันครับ”
เขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ในตอนที่พูดบทสนทนาที่น่าอายแบบนั้นนะ
ฟิลลิปเดินไปหน้าตู้โทรศัพท์ และมองใบหน้าของเด็กชาย เขาถือหูโทรศัพท์ไว้ในมือพร้อมกับยิ้มและคุยโทรศัพท์ไปด้วย พอเห็นฟิลลิปก็กลั้นหายใจดังเฮือก
“ปะ เปล่าครับ จู่ๆ ก็มีแร็กคูนวิ่งผ่าน ผมเลย…”
ฟิลลิปที่กลายเป็นแร็กคูนอย่างกะทันหันจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่งพร้อมกับทำตายิ้ม
“ครับ จะวางแล้วนะครับ ไว้เจอกันครับ”
เด็กชายเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จ ฟิลลิปยื่นกาแฟให้
“เท่าไรครับ”
เด็กชายรีบค้นกระเป๋าเพื่อจ่ายค่ากาแฟ
“ไม่ต้องหรอก นายกลับบ้านดึกเพราะฉันนี่”
เด็กชายรับกาแฟไปถือไว้ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอบคุณครับ”
“เขาบอกว่าใช้เวลานานแค่ไหนเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ ประมาณสองชั่วโมงมั้ง”
แม้จะได้ยินมาว่าอย่างมากใช้เวลาประมาณสามถึงสี่สิบนาทีก็เรียบร้อย แต่เขาก็ตอบออกไปแบบนั้น เด็กชายถามกลับว่า “ประมาณสองชั่วโมงเลยเหรอครับ” พร้อมกับทำสีหน้าลำบากใจ พอเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของอีกฝ่าย เขาก็แอบยิ้ม
เขาไม่ควรแสดงนิสัยที่ไม่ดีออกมา
ฟิลลิปแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และถามว่า “ทำไมเหรอ”
“ปะ เปล่า พ่อแม่คงจะเป็นห่วงน่ะครับ”
“เพราะเป็นคืนวันศุกร์ล่ะมั้ง”
พ่อแม่ปกติไม่ควรจะเป็นห่วงลูกที่กลับบ้านดึกในคืนวันศุกร์ แต่ควรจะต้องเป็นห่วงลูกที่กลับบ้านเร็วมากกว่า
“…เพราะร่างกายของผมไม่ค่อยแข็งแรงน่ะครับ”
“ไม่สบายตรงไหนเหรอ”
ฟิลลิปดื่มกาแฟเข้าไปอึกหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
เด็กชายที่มีร่างกายผอมแห้งและใบหน้าที่ซีดเซียวบอกความจริงว่าตัวเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงให้รู้ ถึงอย่างนั้นแต่พ่อแม่ก็ไม่น่าจะต้องเป็นห่วงขนาดนั้น
“หัวใจของผมไม่ค่อยดีครับ ผมเคยผ่าตัดมาหลายครั้งแล้ว บางทีท่านคงจะเป็นห่วง เพราะผมเคยอาการกำเริบในระหว่างที่ออกมาข้างนอกน่ะครับ”
ในขณะที่พูด เด็กชายก็ทำตัวไม่ถูกราวกับทำความผิดอันใหญ่หลวง
“แล้วตอนนี้ทำแบบนี้ได้เหรอ”
น้ำเสียงของฟิลลิปที่เอ่ยถามแบบนั้นต่ำลง
“ตะ ตอนนี้ผมไม่เป็นไรแล้วครับ หากเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ผมก็เหมือนกับคนปกติทั่วไป แม้จะเคยล้มป่วย แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว”
ฟิลลิปทอดสายตามองเด็กชายนิ่งๆ อีกฝ่ายจึงพูดต่อว่า “จริงๆ นะครับ” ด้วยสีหน้าจริงจัง
“โอเค”
ฟิลลิปหันหน้าไปพร้อมกับเอ่ยตอบ
ความจริงแล้วสุขภาพของเด็กชายไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา เขาแค่ฆ่าเวลาเฉยๆ
เขาได้ยินเสียงจามเบาๆ ดังขึ้นด้านข้าง เด็กชายถูปลายจมูกที่แดงขึ้นมาในทันทีก่อนจะรีบดื่มกาแฟเข้าไป ลมในตอนกลางคืนของช่วงต้นฤดูร้อนนั้นเย็น ฟิลลิปถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่อยู่ออกและยื่นให้
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
“ใส่ซะ นายจะเป็นหวัดไม่ได้นี่”
เพราะถ้านายเดี้ยงขึ้นมา คนที่จะลำบากคือฉัน
ฟิลลิปไม่สนใจความเห็นของเด็กชายที่ปฏิเสธอีกหลายครั้ง และเอาเสื้อคลุมตัวนอกคลุมไหล่ให้อีกฝ่าย
“…ขะ ขอบคุณครับ”
เนื่องจากความต่างของขนาดตัว เด็กชายจึงดูเหมือนเด็กที่ขโมยเสื้อผ้าของผู้ใหญ่มาใส่ และเนื่องจากแขนเสื้อยาวมาก การจับแก้วกาแฟจึงดูจะเกินความสามารถ เด็กชายใช้มือข้างหนึ่งจับแก้วกาแฟไว้ และพยายามใช้มืออีกข้างพับแขนเสื้อ ฟิลลิปจึงช่วยพับแขนเสื้อให้
“ไม่ต้องครับ ผม…”
“กาแฟมันหก”
สุดท้ายเด็กชายก็ฝากแขนเสื้อไว้กับฟิลลิป หลังจากพับแขนเสื้อไปถึงสองทบ ปลายนิ้วถึงโผล่ออกมา พอพับแขนเสื้อ สภาพของอีกฝ่ายก็ดูน่าตลกขึ้นไปอีก ฟิลลิปยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไป
ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงม้านั่ง จะมีก็แต่เสียงจิบกาแฟที่ดังขึ้นเป็นระยะเท่านั้น ในระหว่างนั้นเด็กชายก็มองนาฬิกาข้อมืออยู่หลายครั้ง
“ดูเหมือนจะสนิทกับพ่อแม่นะ”
“ครับ! สนิทมากครับ”
แม้จะเป็นคำพูดประชดประชัน แต่เด็กชายกลับตอบรับราวกับรออยู่แล้ว การตอบว่ารักใคร่กันดีกับครอบครัวในอายุเท่านี้เป็นเรื่องที่คล้ายกับอาชญากรรม แต่เด็กชายที่ไร้เดียงสาจนดูเหมือนคนโง่กลับพูดต่อราวกับไม่สนใจในเรื่องนั้น
“เพราะพ่อแม่ของผมเป็นคนดีจริงๆ ครับ น้องของผมทุกคนก็เป็นเด็กดี พวกเขาเล่นกีฬาเก่ง แล้วก็เรียนเก่งต่างจากผม”
ดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย แก้มก็แดง เป็นใบหน้าที่แสดงออกมาในตอนที่พูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ
ฟิลลิปกลืนกาแฟลงไปอึกหนึ่ง กาแฟราคาถูกมีรสชาติขม เขาถามกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า “งั้นเหรอ”
“น้องคนหนึ่งของผมอยู่ในทีมฟุตบอลครับ คุณรู้จักหรือเปล่าครับ เขาชื่อแอรอน”
“ไม่รู้สิ”
“เขาเล่นตำแหน่งไวด์รีซีฟ[1]ครับ แต่ยังเป็นตัวสำรองของกลุ่มสองอยู่เลย คนที่สูงแล้วก็มีผมสีน้ำตาล…”
“ฉันไม่แน่ใจ แต่ดูจะแตกต่างกับนายมากเลยนะ”
นี่เป็นการขอร้องให้หยุดพูดโดยที่ไม่พูดตรงๆ แต่เด็กชายกลับหน้าแดงราวกับอายเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาอย่างอึกอัก
“เอ่อ ครับ เพราะพ่อแม่คนละคน…ก็เลยไม่เหมือนผมน่ะครับ มีแค่ผมเท่านั้นที่ถูกรับมาเลี้ยง”
“…”
เพราะแบบนั้นก็เลยเน้นย้ำว่าพ่อแม่เป็นคนดีอยู่บ่อยๆ เหรอ
เนื่องจากรับรู้ถึงสายตาของฟิลลิป เด็กชายจึงเงยหน้าขึ้นมาและโบกมือปฏิเสธก่อนจะพูดต่อ
“พ่อแม่ของผมเป็นคนดีจริงๆ นะครับ เพราะพวกท่านตั้งใจรับผมมาเลี้ยงหลังจากที่รู้ว่าผมป่วย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่ ผมอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้หรอกครับ”
“อย่างนั้นเองสินะ”
คำพูดที่บอกว่าเป็นคนดีทำให้ฟิลลิปไม่สามารถเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างได้ ถ้าเขาอยู่ในสถานการณ์นั้น เขาก็คงจะเลือกสินค้าที่มีคุณภาพดี และไม่เอาสินค้าคุณภาพต่ำข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาด้วย
“พวกน้องๆ ก็เป็นเด็กดีครับ ผมนี่โชคดีจริงๆ”
เด็กชายยิ้มร่าราวกับเขินอายก่อนจะพูดต่อ
หากดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว บ้านของพ่อแม่บุญธรรมก็เหมือนจะไม่ใช่คนที่รวยมหาศาล เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแน่ หากถูกพ่อแม่ทิ้งทันทีที่เกิดมากับหัวใจที่ใช้การได้แย่จนต้องผ่าตัด
ฟิลลิปจ้องมองเด็กชายราวกับเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด พอสบตากัน เด็กชายก็กลั้นหายใจดังเฮือก
“ขอโทษครับ ผมเอาแต่พูดเรื่องของตัวเองมากไป…”
“ไม่หรอก สนุกดี”
ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดื่มกาแฟ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอมนุษย์แบบนี้ เขาจึงรู้สึกสนใจมากกว่าที่จะรู้สึกสนุกไปอย่างนั้น
“แล้วมาที่นี่ตอนอายุเท่าไรล่ะ”
ในขณะที่ถามแบบนั้น ฟิลลิปก็คิดว่านี่ไม่ใช่ตัวเขาเลย เพราะนี่เป็นคำถามที่ปกติแล้วเขาจะไม่ถามออกไป
“ตอนที่เกิดได้ประมาณสามเดือนครับ เป็นเพราะโชคชะตาที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่ผมถูกทิ้งเป็นของคนรู้จักของพ่อกับแม่ พวกท่านเลยตัดสินใจรับเลี้ยงผมหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของผมครับ”
ฟิลลิปลองนึกภาพของเด็กที่โดนทิ้งทันทีที่เกิด และขึ้นเครื่องบินมายังภูมิภาคอื่นที่ห่างไกลมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย
เมื่อลองได้เป็นไอ้เวรครั้งหนึ่งแล้วก็คงจะเป็นไอ้เวรตลอดไปจริงๆ
ฟิลลิปรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ใช่ความโล่งใจพร้อมกับแกล้งตอบรับไปว่า “อย่างนั้นเองสินะ” ราวกับรู้สึกสงสาร
“ดังนั้นผมก็เลยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเกาหลีเลยครับ แม้ว่าจะชอบอาหารเกาหลีก็ตาม…”
เด็กชายยิ้มเล็กน้อย เขามองเห็นเขี้ยวเล็กๆ ผ่านริมฝีปากบนที่ยกขึ้นข้างบนเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกถึงความหื่นกระหายที่ซับซ้อนเกินบรรยาย ฟิลลิปดื่มกาแฟก่อนจะเอ่ยถามอย่างกะทันหันว่า “ชื่ออะไร”
“ผมเหรอครับ”
“อืม”
เขาอยากจะถามว่า ‘ก็ใช่น่ะสิ ที่นี่นอกจากนายแล้วยังจะมีใครอีกล่ะ’
“ปีเตอร์…”
“ชื่อเกาหลี”
คำว่าชื่อเกาหลีทำให้เด็กชายกะพริบตาเหมือนตกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า ‘ชเวอินซอบ’
“ชเวอินซอบ”
พอฟิลลิปพูดชื่อของเด็กชายด้วยการออกเสียงที่ถูกต้อง อีกฝ่ายก็เบิกตาราวกับตกใจเล็กน้อย
“ฉันก็เป็นคนเกาหลีนะ”
“…ผมรู้ครับ”
ทั้งโรงเรียนไม่มีใครไม่รู้ว่าฟิลลิป เลวินเป็นคนเกาหลี แม้กระทั่งพวกเด็กอัธพาลที่ชอบดูหมิ่นและล้อเลียนคนเอเชียยังไม่กล้าแม้กระทั่งจะแกล้งทำแบบนั้นต่อหน้าฟิลลิป เลวิน แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะออกเสียงภาษาเกาหลีได้ถูกต้องขนาดนี้
เด็กชายลูบแก้วกาแฟก่อนจะเอ่ยถาม
“…แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ ชื่อเกาหลีน่ะ”
“อีอูยอน”
เด็กชายลองออกเสียงชื่อ ‘อีอูยอน’ อีกครั้ง เป็นชื่อที่อ่อนโยนจริงๆ
“ชื่อสวยจังครับ เอ่อ ไม่ได้หมายความว่าสวยแบบนั้นนะครับ…”
เด็กชายพูดตะกุกตะกักด้วยคิดว่าตัวเองพูดผิดไป ส่วนฟิลลิปก็ไม่ยอมบอกว่าไม่เป็นไรเพราะรู้สึกขำกับท่าทางนั้น และเอาแต่กอดอกมองเด็กชายนิ่งๆ
“…ขอโทษครับ”
สุดท้ายเด็กชายก็ตัดสินใจเอ่ยขอโทษ ฟิลลิปก้มหน้าลงไปสบตากับเด็กชายก่อนจะเอ่ยถาม
“ชื่อฉันสวยเหรอ”
“…ขอโทษครับ”
“งั้นก็ไม่สวยเหรอ”
“เปล่า เปล่าครับ สวยครับ! สวยมากเลยครับ!”
เด็กชายสะดุ้งตกใจและเอ่ยตอบ ฟิลลิปปล่อยเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ออกมา
“ฮ่าๆๆๆ”
เด็กชายที่ไม่รู้สถานการณ์กุมแก้วกาแฟเอาไว้และเงยหน้ามองฟิลลิปโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ใช่แล้ว เป็นชื่อที่สวยจริงๆ อันที่จริงตัวอักษรจีนก็หมายความว่าแบบนั้น”
พอฟิลลิปถามว่า “นายรู้ตัวอักษรจีนไหม” เด็กชายก็ตอบว่า “ก็พอจะรู้บ้างครับ”
“แล้วนายล่ะ”
“ผะ ผมเหรอครับ”
“ตัวอักษรจีนเขียนยังไง”
“ผมไม่รู้หรอกครับ”
เด็กชายยิ้มร่าพร้อมกับเอ่ยตอบ
“ตอนที่ถูกทิ้งก็มีแค่กระดาษที่เขียนว่า ‘ชเวอินซอบ’ อยู่ในตะกร้าเด็กเท่านั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกับว่านั่นเป็นชื่อของผม หรือเป็นชื่อของพ่อกันแน่ ผมรู้เพราะพ่อแม่ที่เลี้ยงผมมาเล่าให้ฟังทีหลังน่ะครับ เป็นชื่อที่ค่อนข้างเชยว่าไหมครับ”
เด็กชายลูบสันจมูกอย่างเขินอายก่อนจะยิ้มเล็กน้อย
เชยชะมัด นี่เป็นชื่อที่ทั้งเชยและโง่เง่าจนน่าหัวเราะ แต่ก็เป็นชื่อที่เหมาะกับเด็กชายอย่างน่าประหลาด
“เหมือนจะเขียนแบบนี้นะ”
ฟิลลิปหักกิ่งไม้ออกมาวาดตัวอักษรจีนลงบนพื้น
“หมายความว่าอะไรเหรอครับ”
เด็กชายก้มมองตัวอักษรจีนที่ถูกเขียนบนพื้นพลางเอ่ยถาม
“ไว้จะลองหาให้นะ”
เด็กชายพยักหน้าอย่างตั้งใจก่อนจะใช้สายตาจดจำตัวอักษรจีนที่ฟิลลิปเขียนไว้ซ้ำไปซ้ำมา
[1] ไวด์รีซีฟ มีหน้าที่รับลูกที่ขว้างเข้ามา และจะอยู่ใกล้ๆ กับเส้นข้างสนาม