ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Story > 1-5

Side Story < Love Story > 1-5

หลังจากที่อีกฝ่ายคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ ฟิลลิปก็ขอให้เด็กชายที่ถามว่าตอนนี้ตนต้องทำอะไรช่วยตรวจสอบที่ตั้งของร้านซ่อมรถยนต์ให้ เด็กชายทำหน้าตื่นกลัว และถามซ้ำๆ ว่า “แค่นั้นพอจริงๆ เหรอครับ”

ท่าทีที่ทึ่มจนน่าสมเพชทำให้เขาหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติ

ในความโชคร้าย ยังมีความโชคดีคือร้านซ่อมรถยนต์อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก แม้เขาจะสามารถเปลี่ยนยางเองได้ แต่เพราะไม่อยากให้น้ำมันเปื้อนมือ ฟิลลิปจึงฝากรถไว้กับร้านซ่อมรถยนต์

ช่างซ่อมบอกว่าถ้าเหยียบตะปูหรืออะไรแหลมๆ บนถนน ตรงกลางของยางต้องเป็นรูอย่างแน่นอน แต่ถ้าดูจากการที่มันฉีกขาดจากด้านข้างแล้ว ใครบางคนคงจะตั้งใจทำให้เป็นแบบนั้น พอได้ยินดังนั้นฟิลลิปก็ยิ้มโดยไม่พูดอะไร เขานึกถึงโคลอี้ที่พูดทิ้งท้ายไว้เหมือนกับบทพูดในละครเกรดต่ำไว้ก่อนจะจากไป

เลือกที่จะทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ สินะ

ฟิลลิปซื้อกาแฟและเดินถือออกมาจากร้านสะดวกซื้อเล็กๆ ที่อยู่ติดกับร้านซ่อมรถยนต์ เด็กชายที่บอกว่าจะขอไปทำธุระสักครู่ก่อนจะปลีกตัวออกไปกำลังถือหูโทรศัพท์อยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่ง

“ขอโทษครับ ผมไม่รู้ว่าแบตเตอรี่หมด เดี๋ยวผมจะกลับแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

เด็กชายคุยโทรศัพท์ต่อ โดยไม่รู้เลยว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลัง

“นอนได้เลยครับไม่ต้องรอ ครับ รักเหมือนกันครับ”

เขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ในตอนที่พูดบทสนทนาที่น่าอายแบบนั้นนะ

ฟิลลิปเดินไปหน้าตู้โทรศัพท์ และมองใบหน้าของเด็กชาย เขาถือหูโทรศัพท์ไว้ในมือพร้อมกับยิ้มและคุยโทรศัพท์ไปด้วย พอเห็นฟิลลิปก็กลั้นหายใจดังเฮือก

“ปะ เปล่าครับ จู่ๆ ก็มีแร็กคูนวิ่งผ่าน ผมเลย…”

ฟิลลิปที่กลายเป็นแร็กคูนอย่างกะทันหันจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่งพร้อมกับทำตายิ้ม

“ครับ จะวางแล้วนะครับ ไว้เจอกันครับ”

เด็กชายเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จ ฟิลลิปยื่นกาแฟให้

“เท่าไรครับ”

เด็กชายรีบค้นกระเป๋าเพื่อจ่ายค่ากาแฟ

“ไม่ต้องหรอก นายกลับบ้านดึกเพราะฉันนี่”

เด็กชายรับกาแฟไปถือไว้ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอบคุณครับ”

“เขาบอกว่าใช้เวลานานแค่ไหนเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ ประมาณสองชั่วโมงมั้ง”

แม้จะได้ยินมาว่าอย่างมากใช้เวลาประมาณสามถึงสี่สิบนาทีก็เรียบร้อย แต่เขาก็ตอบออกไปแบบนั้น เด็กชายถามกลับว่า “ประมาณสองชั่วโมงเลยเหรอครับ” พร้อมกับทำสีหน้าลำบากใจ พอเห็นสีหน้าเป็นทุกข์ของอีกฝ่าย เขาก็แอบยิ้ม

เขาไม่ควรแสดงนิสัยที่ไม่ดีออกมา

ฟิลลิปแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และถามว่า “ทำไมเหรอ”

“ปะ เปล่า พ่อแม่คงจะเป็นห่วงน่ะครับ”

“เพราะเป็นคืนวันศุกร์ล่ะมั้ง”

พ่อแม่ปกติไม่ควรจะเป็นห่วงลูกที่กลับบ้านดึกในคืนวันศุกร์ แต่ควรจะต้องเป็นห่วงลูกที่กลับบ้านเร็วมากกว่า

“…เพราะร่างกายของผมไม่ค่อยแข็งแรงน่ะครับ”

“ไม่สบายตรงไหนเหรอ”

ฟิลลิปดื่มกาแฟเข้าไปอึกหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม

เด็กชายที่มีร่างกายผอมแห้งและใบหน้าที่ซีดเซียวบอกความจริงว่าตัวเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงให้รู้ ถึงอย่างนั้นแต่พ่อแม่ก็ไม่น่าจะต้องเป็นห่วงขนาดนั้น

“หัวใจของผมไม่ค่อยดีครับ ผมเคยผ่าตัดมาหลายครั้งแล้ว บางทีท่านคงจะเป็นห่วง เพราะผมเคยอาการกำเริบในระหว่างที่ออกมาข้างนอกน่ะครับ”

ในขณะที่พูด เด็กชายก็ทำตัวไม่ถูกราวกับทำความผิดอันใหญ่หลวง

“แล้วตอนนี้ทำแบบนี้ได้เหรอ”

น้ำเสียงของฟิลลิปที่เอ่ยถามแบบนั้นต่ำลง

“ตะ ตอนนี้ผมไม่เป็นไรแล้วครับ หากเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ผมก็เหมือนกับคนปกติทั่วไป แม้จะเคยล้มป่วย แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว”

ฟิลลิปทอดสายตามองเด็กชายนิ่งๆ อีกฝ่ายจึงพูดต่อว่า “จริงๆ นะครับ” ด้วยสีหน้าจริงจัง

“โอเค”

ฟิลลิปหันหน้าไปพร้อมกับเอ่ยตอบ

ความจริงแล้วสุขภาพของเด็กชายไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา เขาแค่ฆ่าเวลาเฉยๆ

เขาได้ยินเสียงจามเบาๆ ดังขึ้นด้านข้าง เด็กชายถูปลายจมูกที่แดงขึ้นมาในทันทีก่อนจะรีบดื่มกาแฟเข้าไป ลมในตอนกลางคืนของช่วงต้นฤดูร้อนนั้นเย็น ฟิลลิปถอดเสื้อคลุมตัวนอกที่ใส่อยู่ออกและยื่นให้

“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”

“ใส่ซะ นายจะเป็นหวัดไม่ได้นี่”

เพราะถ้านายเดี้ยงขึ้นมา คนที่จะลำบากคือฉัน

ฟิลลิปไม่สนใจความเห็นของเด็กชายที่ปฏิเสธอีกหลายครั้ง และเอาเสื้อคลุมตัวนอกคลุมไหล่ให้อีกฝ่าย

“…ขะ ขอบคุณครับ”

เนื่องจากความต่างของขนาดตัว เด็กชายจึงดูเหมือนเด็กที่ขโมยเสื้อผ้าของผู้ใหญ่มาใส่ และเนื่องจากแขนเสื้อยาวมาก การจับแก้วกาแฟจึงดูจะเกินความสามารถ เด็กชายใช้มือข้างหนึ่งจับแก้วกาแฟไว้ และพยายามใช้มืออีกข้างพับแขนเสื้อ ฟิลลิปจึงช่วยพับแขนเสื้อให้

“ไม่ต้องครับ ผม…”

“กาแฟมันหก”

สุดท้ายเด็กชายก็ฝากแขนเสื้อไว้กับฟิลลิป หลังจากพับแขนเสื้อไปถึงสองทบ ปลายนิ้วถึงโผล่ออกมา พอพับแขนเสื้อ สภาพของอีกฝ่ายก็ดูน่าตลกขึ้นไปอีก ฟิลลิปยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไป

ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงม้านั่ง จะมีก็แต่เสียงจิบกาแฟที่ดังขึ้นเป็นระยะเท่านั้น ในระหว่างนั้นเด็กชายก็มองนาฬิกาข้อมืออยู่หลายครั้ง

“ดูเหมือนจะสนิทกับพ่อแม่นะ”

“ครับ! สนิทมากครับ”

แม้จะเป็นคำพูดประชดประชัน แต่เด็กชายกลับตอบรับราวกับรออยู่แล้ว การตอบว่ารักใคร่กันดีกับครอบครัวในอายุเท่านี้เป็นเรื่องที่คล้ายกับอาชญากรรม แต่เด็กชายที่ไร้เดียงสาจนดูเหมือนคนโง่กลับพูดต่อราวกับไม่สนใจในเรื่องนั้น

“เพราะพ่อแม่ของผมเป็นคนดีจริงๆ ครับ น้องของผมทุกคนก็เป็นเด็กดี พวกเขาเล่นกีฬาเก่ง แล้วก็เรียนเก่งต่างจากผม”

ดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย แก้มก็แดง เป็นใบหน้าที่แสดงออกมาในตอนที่พูดถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ

ฟิลลิปกลืนกาแฟลงไปอึกหนึ่ง กาแฟราคาถูกมีรสชาติขม เขาถามกลับอย่างไม่ใส่ใจว่า “งั้นเหรอ”

“น้องคนหนึ่งของผมอยู่ในทีมฟุตบอลครับ คุณรู้จักหรือเปล่าครับ เขาชื่อแอรอน”

“ไม่รู้สิ”

“เขาเล่นตำแหน่งไวด์รีซีฟ[1]ครับ แต่ยังเป็นตัวสำรองของกลุ่มสองอยู่เลย คนที่สูงแล้วก็มีผมสีน้ำตาล…”

“ฉันไม่แน่ใจ แต่ดูจะแตกต่างกับนายมากเลยนะ”

นี่เป็นการขอร้องให้หยุดพูดโดยที่ไม่พูดตรงๆ แต่เด็กชายกลับหน้าแดงราวกับอายเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาอย่างอึกอัก

“เอ่อ ครับ เพราะพ่อแม่คนละคน…ก็เลยไม่เหมือนผมน่ะครับ มีแค่ผมเท่านั้นที่ถูกรับมาเลี้ยง”

“…”

เพราะแบบนั้นก็เลยเน้นย้ำว่าพ่อแม่เป็นคนดีอยู่บ่อยๆ เหรอ

เนื่องจากรับรู้ถึงสายตาของฟิลลิป เด็กชายจึงเงยหน้าขึ้นมาและโบกมือปฏิเสธก่อนจะพูดต่อ

“พ่อแม่ของผมเป็นคนดีจริงๆ นะครับ เพราะพวกท่านตั้งใจรับผมมาเลี้ยงหลังจากที่รู้ว่าผมป่วย ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่ ผมอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้หรอกครับ”

“อย่างนั้นเองสินะ”

คำพูดที่บอกว่าเป็นคนดีทำให้ฟิลลิปไม่สามารถเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างได้ ถ้าเขาอยู่ในสถานการณ์นั้น เขาก็คงจะเลือกสินค้าที่มีคุณภาพดี และไม่เอาสินค้าคุณภาพต่ำข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาด้วย

“พวกน้องๆ ก็เป็นเด็กดีครับ ผมนี่โชคดีจริงๆ”

เด็กชายยิ้มร่าราวกับเขินอายก่อนจะพูดต่อ

หากดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้ว บ้านของพ่อแม่บุญธรรมก็เหมือนจะไม่ใช่คนที่รวยมหาศาล เขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแน่ หากถูกพ่อแม่ทิ้งทันทีที่เกิดมากับหัวใจที่ใช้การได้แย่จนต้องผ่าตัด

ฟิลลิปจ้องมองเด็กชายราวกับเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด พอสบตากัน เด็กชายก็กลั้นหายใจดังเฮือก

“ขอโทษครับ ผมเอาแต่พูดเรื่องของตัวเองมากไป…”

“ไม่หรอก สนุกดี”

ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดื่มกาแฟ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอมนุษย์แบบนี้ เขาจึงรู้สึกสนใจมากกว่าที่จะรู้สึกสนุกไปอย่างนั้น

“แล้วมาที่นี่ตอนอายุเท่าไรล่ะ”

ในขณะที่ถามแบบนั้น ฟิลลิปก็คิดว่านี่ไม่ใช่ตัวเขาเลย เพราะนี่เป็นคำถามที่ปกติแล้วเขาจะไม่ถามออกไป

“ตอนที่เกิดได้ประมาณสามเดือนครับ เป็นเพราะโชคชะตาที่สถานรับเลี้ยงเด็กที่ผมถูกทิ้งเป็นของคนรู้จักของพ่อกับแม่ พวกท่านเลยตัดสินใจรับเลี้ยงผมหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของผมครับ”

ฟิลลิปลองนึกภาพของเด็กที่โดนทิ้งทันทีที่เกิด และขึ้นเครื่องบินมายังภูมิภาคอื่นที่ห่างไกลมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

เมื่อลองได้เป็นไอ้เวรครั้งหนึ่งแล้วก็คงจะเป็นไอ้เวรตลอดไปจริงๆ

ฟิลลิปรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ใช่ความโล่งใจพร้อมกับแกล้งตอบรับไปว่า “อย่างนั้นเองสินะ” ราวกับรู้สึกสงสาร

“ดังนั้นผมก็เลยไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเกาหลีเลยครับ แม้ว่าจะชอบอาหารเกาหลีก็ตาม…”

เด็กชายยิ้มเล็กน้อย เขามองเห็นเขี้ยวเล็กๆ ผ่านริมฝีปากบนที่ยกขึ้นข้างบนเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกถึงความหื่นกระหายที่ซับซ้อนเกินบรรยาย ฟิลลิปดื่มกาแฟก่อนจะเอ่ยถามอย่างกะทันหันว่า “ชื่ออะไร”

“ผมเหรอครับ”

“อืม”

เขาอยากจะถามว่า ‘ก็ใช่น่ะสิ ที่นี่นอกจากนายแล้วยังจะมีใครอีกล่ะ’

“ปีเตอร์…”

“ชื่อเกาหลี”

คำว่าชื่อเกาหลีทำให้เด็กชายกะพริบตาเหมือนตกใจเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า ‘ชเวอินซอบ’

“ชเวอินซอบ”

พอฟิลลิปพูดชื่อของเด็กชายด้วยการออกเสียงที่ถูกต้อง อีกฝ่ายก็เบิกตาราวกับตกใจเล็กน้อย

“ฉันก็เป็นคนเกาหลีนะ”

“…ผมรู้ครับ”

ทั้งโรงเรียนไม่มีใครไม่รู้ว่าฟิลลิป เลวินเป็นคนเกาหลี แม้กระทั่งพวกเด็กอัธพาลที่ชอบดูหมิ่นและล้อเลียนคนเอเชียยังไม่กล้าแม้กระทั่งจะแกล้งทำแบบนั้นต่อหน้าฟิลลิป เลวิน แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะออกเสียงภาษาเกาหลีได้ถูกต้องขนาดนี้

เด็กชายลูบแก้วกาแฟก่อนจะเอ่ยถาม

“…แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ ชื่อเกาหลีน่ะ”

“อีอูยอน”

เด็กชายลองออกเสียงชื่อ ‘อีอูยอน’ อีกครั้ง เป็นชื่อที่อ่อนโยนจริงๆ

“ชื่อสวยจังครับ เอ่อ ไม่ได้หมายความว่าสวยแบบนั้นนะครับ…”

เด็กชายพูดตะกุกตะกักด้วยคิดว่าตัวเองพูดผิดไป ส่วนฟิลลิปก็ไม่ยอมบอกว่าไม่เป็นไรเพราะรู้สึกขำกับท่าทางนั้น และเอาแต่กอดอกมองเด็กชายนิ่งๆ

“…ขอโทษครับ”

สุดท้ายเด็กชายก็ตัดสินใจเอ่ยขอโทษ ฟิลลิปก้มหน้าลงไปสบตากับเด็กชายก่อนจะเอ่ยถาม

“ชื่อฉันสวยเหรอ”

“…ขอโทษครับ”

“งั้นก็ไม่สวยเหรอ”

“เปล่า เปล่าครับ สวยครับ! สวยมากเลยครับ!”

เด็กชายสะดุ้งตกใจและเอ่ยตอบ ฟิลลิปปล่อยเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ออกมา

“ฮ่าๆๆๆ”

เด็กชายที่ไม่รู้สถานการณ์กุมแก้วกาแฟเอาไว้และเงยหน้ามองฟิลลิปโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ใช่แล้ว เป็นชื่อที่สวยจริงๆ อันที่จริงตัวอักษรจีนก็หมายความว่าแบบนั้น”

พอฟิลลิปถามว่า “นายรู้ตัวอักษรจีนไหม” เด็กชายก็ตอบว่า “ก็พอจะรู้บ้างครับ”

“แล้วนายล่ะ”

“ผะ ผมเหรอครับ”

“ตัวอักษรจีนเขียนยังไง”

“ผมไม่รู้หรอกครับ”

เด็กชายยิ้มร่าพร้อมกับเอ่ยตอบ

“ตอนที่ถูกทิ้งก็มีแค่กระดาษที่เขียนว่า ‘ชเวอินซอบ’ อยู่ในตะกร้าเด็กเท่านั้น ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกับว่านั่นเป็นชื่อของผม หรือเป็นชื่อของพ่อกันแน่ ผมรู้เพราะพ่อแม่ที่เลี้ยงผมมาเล่าให้ฟังทีหลังน่ะครับ เป็นชื่อที่ค่อนข้างเชยว่าไหมครับ”

เด็กชายลูบสันจมูกอย่างเขินอายก่อนจะยิ้มเล็กน้อย

เชยชะมัด นี่เป็นชื่อที่ทั้งเชยและโง่เง่าจนน่าหัวเราะ แต่ก็เป็นชื่อที่เหมาะกับเด็กชายอย่างน่าประหลาด

“เหมือนจะเขียนแบบนี้นะ”

ฟิลลิปหักกิ่งไม้ออกมาวาดตัวอักษรจีนลงบนพื้น

“หมายความว่าอะไรเหรอครับ”

เด็กชายก้มมองตัวอักษรจีนที่ถูกเขียนบนพื้นพลางเอ่ยถาม

“ไว้จะลองหาให้นะ”

เด็กชายพยักหน้าอย่างตั้งใจก่อนจะใช้สายตาจดจำตัวอักษรจีนที่ฟิลลิปเขียนไว้ซ้ำไปซ้ำมา

[1] ไวด์รีซีฟ มีหน้าที่รับลูกที่ขว้างเข้ามา และจะอยู่ใกล้ๆ กับเส้นข้างสนาม

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท