“ทำไมสิ่งนี้ถึงยังอยู่ที่นี่”
นางเพิ่งได้รับเงินจากผู้ซื้อ และดูเหมือนว่าขันทีซุนกำลังจะเอาเตียงออกไป แล้ว… ทำไมมันถึงกลับมาที่นี่อีกเล่า
เฮ่อหลียนเวยเวยมองเตียงหนังเสือที่หรูหราและโซ่ที่งดงามนั้น หลังจากนั้น นางก็รับรู้ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางค่อยๆ จางหายไป
ขันทีซุนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเย็นชา “ขายมันต่อไป!”
ขันทีซุนตกตะลึง ก่อนจะไปดูท่าทีขององค์ชายสาม
หลังจากนั้น
เขาก็หยิบตั๋วเงินขึ้นมานับจำนวนหนึ่ง ก่อนจะยื่นมันให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองดูตั๋วเงินในมือและมองเตียงที่อยู่ตรงหน้า นางยิ้มและเอ่ยถามขันทีซุน “องค์ชายสามมีเงินเท่าไหร่หรือ คนสุรุ่ยสุร่ายทั่วๆ ไปยังไม่ผลาญเงินมากเท่าเขาเลย”
เมื่อขันทีซุนได้ยินคำพูดของนางก็รีบพยักหน้าทันที พระชายามีดวงตาเฉียบแหลมและเฉลียวฉลาดยิ่งนัก อ้อ! นางสงบอารมณ์ลงแล้ว…
แต่ใครจะรู้
“ถ้าอย่างนั้นก็เอามันไปขายต่อซะ ข้าอยากรู้นักว่าหากขายมันสิบครั้ง เขาจะยังซื้อมันกลับคืนมาอยู่อีกหรือไม่” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับมามองด้วยรอยยิ้ม นางสวมเสื้อคลุมที่ดูหรูหราและงดงาม
ขันทีซุนจ้องมองและอ้าปากค้าง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกเสียจากวิ่งกลับไปที่ห้องทรงอักษร
ในตอนนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแต่งตัวเสร็จแล้ว และกำลังจัดการสมุดบัญชีที่อยู่ในมือ เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของขันทีซุน เขาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
ขันทีซุนเพียงแค่เรียก “องค์ชาย…”
จากนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็วางพู่กันลง และขยับเรียวขายาวเข้าหากันเล็กน้อย เขาเอนหลังและพูดแทรกขันทีซุนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “บอกทุกคนว่าหากมีใครกล้าซื้อของที่พระชายาขาย ข้าจะหักขาของเขาคนนั้นซะ”
อะไรกัน!
หนานกงเลี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ สำลักน้ำชา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อะไรกัน” มีใครบ้างที่ขายของในวันแรกของการแต่งงาน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างเฉยเมยโดยไม่พูดจา แต่การแสดงออกทางสายตาของเขานั้นเย็นชาอย่างมาก
หนานกงเลี่ยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกจ้องมองเช่นนั้น เขาหันศีรษะไปถามขันทีซุนต่อ “เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการจะขายอะไรหรือ ทำไมอาเจวี๋ยถึงฉุนเฉียวยิ่งนัก”
ขันทีซุนมองใบหน้าที่หล่อเหลาขององค์ชายสาม และไม่มีเวลากังวลมากนัก ขันทีซุนลดเสียงลงและพูดอย่างใส่อารมณ์กับหนานกงเลี่ยว่า “นางต้องการขายเตียงที่ช่วงนี้องค์ชายสามทรงโปรดปรานอย่างมาก ดูเหมือนว่าพระชายาจะไม่พอใจมันมากขอรับ”
“ฮ่าๆ! ฮ่าๆๆๆ!” ทันใดนั้น หนานกงเลี่ยก็ระเบิดเสียงหัวเราะและชี้นิ้วไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “ข้าเคยบอกไว้ว่าอย่างไรเล่า ไม่มีใครจะมีความสุนทรีย์ในแบบที่เจ้ามีหรอก!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปิดสมุดบัญชีในมือและมองเขาอย่างเย็นชา
หนานกงเลี่ยหยุดยิ้ม และกระแอมไอสองครั้ง เขาแสร้งทำเป็นจริงจังและพูดขึ้น “อาเจวี๋ย อันที่จริงแล้วที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพราะว่าต้องการจะพูดคุยกับเจ้าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ สิ่งที่ข้าทำไปนั้น ช่างโง่เขลาเสียจริง”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วราวกับส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
หนานกงเลี่ยพูดต่ออย่างจริงจัง ราวกับว่าเขากำลังตรวจสอบบางอย่าง “ในฐานะที่ข้าเป็นปุโรหิตคนหนึ่งในจักรวรรดิจ้านหลง ดังนั้น ข้าจึงไม่ควรคิดที่จะใช้ยาใดๆ เลย จริงๆ แล้ว ข้าสามารถส่งตัวคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฮ่อเหลียนเข้าสู่อ้อมแขนของเจ้าด้วยวิธีการอื่นแทนได้”
“จริงหรือ ด้วยวิธีใดกันล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยที่รอขันทีซุนกลับไปเป็นเวลานานแล้ว จนไม่สามารถรอต่อไปได้ ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงเลี่ยด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของนางทอเป็นประกายและหรี่ลงราวกับเป็นใบมีดน้ำแข็ง
ขันทีซุนถึงกับกระแอมไอสองครั้งอย่างรุนแรง
หนานกงเลี่ยก้มศีรษะและตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป หลังจากนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างจริงใจ “ข้าจะช่วยเจ้าหาวิธีในภายหลัง แต่ประเด็นคือ เจ้าควรทำให้พวกผู้อาวุโสเหล่านั้นยอมล้มเลิกความคิดโง่ๆ ในการเลือกหญิงศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้าสักที!”
“เจ้าจะกังวลใจอะไรมากมายเล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไปอีกหนึ่งก้าว พร้อมกับยกริมฝีปากขึ้น แต่ละคำพูดของนางเต็มไปด้วยความน่ากลัว “เมื่อถึงเวลานั้น ตราบใดที่เจ้าเอายานั่นให้ตัวเอง ปัญหาทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ไขไม่ใช่หรือ แล้วเจ้ากลัวหญิงศักดิ์สิทธิ์ทำไมกัน”
…
เดี๋ยวก่อนนะ!
ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ… หนานกงเลี่ยค่อยๆ หันหลังกลับไปช้าๆ และเริ่มหัวเราะเบาๆ “เอ่อ ข้ายังมีธุระต้องไปทำ ข้าขอตัวก่อน พวกกรมขุนนางยังรอให้ข้าไปทำนาย ไว้เจอกันใหม่!”
“สหายเลี่ย” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางมือบนไหล่ของเขา และผลักเขาไปที่เก้าอี้อย่างแรง รอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับรอยยิ้มของนางนั้นช่างคล้ายคลึงกับเจ้าพ่อของกลุ่มอันธพาลใต้ดินที่จับตัวคนทรยศได้ น้ำเสียงของนางไม่ได้เย็นชาหรือเรียบเฉย “เจ้ารีบร้อนจะไปทำธุระอะไรขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าอยากฟังสิ่งที่เจ้าพูดต่อ นอกจากเรื่องการวางยาแล้ว เจ้าทำอะไรได้อีกเช่นนั้นหรือ”
ร่างกายของหนานกงเลี่ยแข็งเกร็ง เขามองไปทางขันทีซุนและคร่ำครวญในใจ “ผู้อาวุโสซุน ทำไมท่านไม่บอกข้าว่าผู้หญิงคนนี้มาที่นี่แล้ว”
ขันทีซุนไม่สามารถช่วยอะไรได้ เขาส่งเสียงไออย่างชัดเจนและดังมาก แต่นายน้อยกลับไม่สังเกตเห็นเอง
นอกจากนี้ อะไรคือวางยาหรือ
เมื่อคืน พระชายาถูกวางยา และองค์ชายสามก็ช่วยนางด้วยการเป็นยาถอนพิษ ตอนนี้…
ขันทีซุนขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ จะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาและอดีตฮ่องเต้คิด แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี
แต่ใบหน้าของพระชายากลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เลย
ดูเหมือนว่านางจะไม่สนใจเลยว่าทำไมองค์ชายถึงแตะต้องนาง นางสนใจแค่ว่าจะบดขยี้กระดูกของนายน้อยเลี่ยเป็นชิ้นๆ อย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว นางจ้องมองเพียงแค่หนานกงเลี่ยเท่านั้น “บอกข้ามาสิ หากมีคนรู้ว่าปุโรหิตเข้ามาเรียนในสำนักไท่ไป๋ แล้วคนพวกนั้นจะทำเช่นไร”
เมื่อหนากงเลี่ยคิดภาพของชายหญิงที่วิ่งมาหาเขา เขาก็อ้าปากพูดทันที “ฟังข้าก่อน ข้าทำไปเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าและอาเจวี๋ยจริงๆ มิเช่นนั้นแล้ว คืนวันแต่งงานของเจ้าจะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไหร่กันเล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น ข้าควรจะขอบคุณเจ้าดีหรือไม่ หืม”
หนานกงเลี่ยรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของหญิงสาวผิดปกติ ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนทันที “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก พวกเราเป็นเพื่อนร่วมสำนักกัน และยังเข้าร่วมการแข่งขันด้วยกันอีกด้วย พวกเราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจ”
“ข้าไม่ได้เกรงใจเจ้า!”
ขวับ!
มีดเงินในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยพุ่งตรงไปทางใบหน้าของหนานกงเลี่ย และปักบนผนังที่อยู่ด้านหลังเขาอย่างแม่นยำ มีดที่งดงามเล่มนั้นปักทะลุกำแพงนั้นเข้าไปตรงๆ
ผู้ช่วยตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงเลี่ยเดินออกมาข้างหน้า และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “พระชายาเพคะ ยานั้นเป็นของบ่าวเองเพคะ ไม่เกี่ยวกับนายน้อยเลี่ยเลย หากพระชายาต้องการจะลงโทษ ได้โปรดลงโทษบ่าวแทนเถอะเพคะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าที่หล่อเหลาและงดงามของหนานกงเลี่ยก็เผยให้เห็นถึงความเคร่งขรึม
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองทุกอย่างออกอย่างชัดเจน และยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดกับผู้ช่วยตัวเล็กคนนั้น “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะจงรักภักดีขนาดนี้”
ผู้ช่วยตัวเล็กไม่ได้พูดอะไร แต่กัดปากของตนเองและก้มหน้าลงต่ำ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนางจริงๆ หากนางไม่ทำพลาดมาก่อน นายน้อยเลี่ยก็คงรู้ว่ายานั้นไม่มีทางถอนพิษได้
แต่ดูเหมือนว่าหนานกงเลี่ยจะไม่ได้ซาบซึ้งนัก และบรรยากาศที่ดูเฉื่อยชานั้น ก็ถูกแทนที่ด้วยการเย้ยหยันจากหนานกงเลี่ย “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ถอยไป!”