“บ่าวคนนี้สมควรได้รับโทษเพคะ” ผู้ช่วยตัวเล็กก้มศีรษะลง นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
หนานกงเลี่ยกำหมัดแน่น เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดคนประเภทนี้ที่เกาะติดเขาด้วยวิธีการต่างๆ แต่ตอนนี้ เขาค่อนข้าง…
“ข้าให้อภัยเจ้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเบาๆ ดูเหมือนว่านางกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ทำไมหลังจากนี้ เจ้าไม่ติดตามข้าแทนเล่า คิดเสียว่าเป็นการลงโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น”
ผู้ช่วยตัวเล็กคนนั้นไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ ก่อนหน้านี้ นางเคยได้ยินคนอื่นๆ บอกว่าพระชายาที่องค์ชายสามแต่งงานด้วยไม่ใช่คนที่ควรจะไปยั่วยุด้วย นอกจากนี้ นางยังเคยได้ยินว่าไม่มีใครรู้ว่าทำไมองค์ชายสามถึงสนใจนาง และยอมให้นางทำตามใจตัวเอง รวมถึงยังดูแลทุกอย่างอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย
นางคิดว่าหากนางตกอยู่ในน้ำมือของผู้หญิงคนนี้ หากนางไม่ตาย ชีวิตที่เหลือของนาง ก็คงจะต้องสาหัสอย่างแน่นอน
แน่นอนว่านางถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเป็นองครักษ์วังปีศาจ นางจึงรู้ดีกว่าใครว่าในบรรดาคุณหนูจากตระกูลที่มีอิทธิพล มีคนบางกลุ่มที่ชื่นชอบการทรมานผู้คน แม้ว่าเบื้องหน้าของพวกเขาจะดูงดงามเพียงใดก็ตาม
แต่ใครจะคิดว่านอกจากพระชายาจะไม่โกรธเคืองนางแล้ว พระชายายังให้ผู้ช่วยตัวเล็กคนนั้นติดตามตนเองอีกด้วย “อะไรกัน เจ้าไม่อยากมาอยู่กับข้าหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามผู้ช่วยตัวเล็กคนนั้น จากนั้น นางก็มองหนานกงเลี่ยอย่างมีนัยยะ
ผู้ช่วยคนนั้นมีสีหน้าเหยเก และรอยยิ้มที่มุมปากนั้นก็ดูแข็งทื่อมากกว่าเดิม
จากนั้น นางก็รีบส่ายศีรษะ “บ่าวคนนี้เต็มใจเพคะ ขอบพระทัยพระชายาที่เมตตา”
ดังนั้น เรื่องนี้จึงได้รับการแก้ไขอย่างน่าพอใจ
นอกจากนี้ หนานกงเลี่ยก็ไม่เคยมองนางในแง่ดีเลย นางจึงอยากติดตามพระชายามากกว่าที่จะอยู่เคียงข้างเขาและทำให้เขาเบื่อหน่าย
อันที่จริง นางก็เข้าใจดีว่าทำไมเขาถึงเกลียดชังนาง เขามักจะเกลียดแผนการของคนอื่นๆ เสมอ แต่นางกลับละเมิดข้อห้ามนี้ และใช้ความไว้วางใจที่เขามีเพื่อเอาชนะใจเขา
ไม่ นางไม่สามารถชนะใจเขาได้เลย
หนำซ้ำ นางกลับผลักเขาให้ห่างออกไปอีกด้วย…
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หนานกงเลี่ยก็เย้ยหยันอย่างฉุนเฉียว “อาเจวี๋ย คนของเจ้าช่างร้ายกาจจริงๆ ก่อนหน้านี้นางเพิ่งบอกว่านางเต็มใจที่จะทำทุกอย่างให้ข้า ตราบใดที่นางอยู่เคียงข้างข้า แต่ตอนนี้ พอมีคนอื่นมาพูดเพียงไม่กี่คำ นางก็ต้องการจะทิ้งข้าไปแล้ว”
ทันใดนั้น ใบหน้าของผู้ช่วยตัวเล็กคนนั้นก็ซีดเผือด
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางและเห็นว่านางกัดริมฝีปากของตนเองอย่างเขินอาย แต่แววตาของนางยังคงเรียบเฉย
อาจเป็นเพราะความดื้อรั้นนั้นที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกชอบใจนางมากขึ้นเรื่อยๆ
หนานกงเลี่ยซ่อนมือที่กำไว้แน่นใต้เสื้อคลุมแขนยาว เขายังคงรักษาท่าทีที่เรียบเฉย และสายตาของเขาก็มองผู้ช่วยตัวเล็กคนนี้อย่างเย็นชา “ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ ติดตามคนที่เจ้าอยากติดตาม แต่คิดดูให้ดีก็แล้วกัน วันนี้ เจ้าจะอยู่ที่นี่ และจะไม่สามารถเข้าไปในโถงบรรพชนได้อีก”
เขาให้นางมีสิทธิ์ที่จะเข้าออกโถงบรรพชนได้ตามต้องการ และนางก็ฉวยโอกาสนั้นวางยาในธูปหอมของเขา
แม้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น แต่เขาก็ยังอดทนกับนางอย่างมาก อย่างน้อย เขาก็ไม่ได้สั่งให้นางกินอาหารสุนัข
นางไม่ได้ออกไปข้างนอกเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนของนาง ทั้งสี่หรือเก้าแคว้น
เขาเมินเฉยต่อนางสองสามวัน แต่นางก็ยังทำตัวปกติดี หึ! นางบอกว่านางจะไปกับคนอื่น แล้วนางก็ทำเช่นนั้น
แต่เขาคือนายท่านของนางไม่ใช่หรือ
ดูเหมือนว่านายท่านของนางคนนั้นจะจัดการกับเรื่องนี้ได้ดีที่สุด
เหอะ
เขารู้ว่าการที่นางเข้าออกโถงบรรพชนได้นั้นเป็นเรื่องสำคัญเพียงใด เพราะนั่นเป็นหน้าที่ที่อาเจวี๋ยสั่งให้นางทำ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ก่อนหน้านี้ นางอยู่กับเขามานานขนาดนั้นไม่ใช่หรือ
ดังนั้น ตอนนี้ นางคงจะไม่ทิ้งเขาไปง่ายๆ อย่างแน่นอน
แต่ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าหนานกงเลี่ยจะเป็นอัจฉริยะในการทำนาย แต่ทุกอย่างกลับผิดพลาดไปหมด
ผู้ช่วยตัวเล็กบีบมุมเสื้อของตนเองจนนิ้วมือซีดขาว และเมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของนางก็ดูสุขุมและสงบนิ่ง “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เข้าไปที่นั่นอีกเจ้าค่ะ”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” หนานกงเลี่ยไม่รู้ตัวเลยว่าในตอนนั้น ความโกรธได้ปะทุออกมาจากดวงตาของเขา เขาไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนั้นต่อหน้าคนอื่นมาก่อน
แม้แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังเลิกคิ้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่มีท่าทีสูงส่งและเรียบเฉยมาตั้งแต่ต้น ในตอนนี้ ดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่หนานกงเลี่ย
หนานกงเลี่ยก้าวเท้าไปข้างหน้า และก้มมองผู้ช่วยตัวเล็กที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาเย็นชา “พูดคำที่เจ้าเพิ่งพูดอีกครั้งซิ”
“ในเมื่อนายน้อยเลี่ยไม่ต้องการเห็นบ่าวคนนี้ บ่าวก็จะไม่ปรากฏตัวให้ท่านเห็นอีกเจ้าค่ะ” ผู้ช่วยตัวเล็กก้มศีรษะลง
ริมฝีปากของหนานกงเลี่ยบิดเบี้ยวอย่างเย็นชา “ดี ดีมาก!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องโถงและสะบัดเสื้อแขนยาวของตนเอง ราวกับจะบอกว่า ในที่สุด เขาก็กำจัดแมลงที่น่ารำคาญตัวนี้ได้แล้ว
ผู้ช่วยตัวเล็กมองรูปร่างที่โดดเด่นและดื้อรั้นของหนานกงเลี่ยจากด้านหลัง ดวงตาของนางดูเคร่งขรึม เขาคงจะรอโอกาสนี้มานานแล้ว แม้ว่านางจะรู้อยู่แล้วว่าเขาเบื่อหน่ายนาง แต่พอนางเห็นภาพนี้จริงๆ นางก็ยังรู้สึกทุกข์ใจ รวมถึงหายใจได้อย่างยากลำบากอีกด้วย…
ดวงตาของนางพร่ามัวเล็กน้อย นางต้องการที่จะเงยหน้าขึ้น แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้น กลับมีมือของใครบางคนลูบศีรษะของนาง
หลังจากนั้น
นางก็เห็นมือข้างหนึ่ง
นิ้วมือนั้นเรียวยาวและขาวนวล ผ้าเช็ดหน้าสีขาวกางอยู่ระหว่างนิ้วเรียวยาวนั้น
ผู้ช่วยตัวเล็กยกมือขึ้นมาปิดตาอย่างไม่อยากเชื่อ “พระชายา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มและดึงตัวนางขึ้น ก่อนจะพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “สาวน้อย จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ตราบใดที่ผู้หญิงอย่างเรายังแต่งหน้าและยังมีเงินติดตัว พวกเราก็ไม่ต้องกลัวที่จะออกไปไหน ดังนั้น อย่าเสียเวลาร้องไห้เลย”
นางไม่ได้ร้องไห้ นางแค่ไม่ต้องการทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพที่ดูน่าเกลียดเกินไป ผู้ช่วยตัวเล็กไม่เคยพบเจอผู้หญิงเช่นนี้มาก่อน นางก้มหน้าลงอย่างอดไม่ได้ และพูดขึ้นว่า “เพคะ” หลังจากนั้น นางก็ครุ่นคิด ก่อนจะพูดต่อ “ขอบพระทัยเพคะ พระชายา”
“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าเองต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มิเช่นนั้นแล้ว นางก็ยังไม่รู้ว่าจะเล็งเป้าปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอัจฉริยะคนนั้นได้อย่างไร แต่ในที่สุด นางก็พบจุดอ่อนของเขา แน่นอนว่านางต้องการเอาตัวผู้ช่วยคนนี้มาอยู่เคียงข้าง เพื่อทำให้เขารู้สึกเสียใจด้วย
สิ่งสำคัญคือผู้หญิงคนนี้จะไม่ใช่คนที่ต้องสูญเสียเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะเด็กสาวที่หน้าตาสะสวย แม้ว่าภายนอก นางอาจดูเฉื่อยชาและไร้ความรู้สึก แต่ภายในดวงตาคู่นั้นช่างกระจ่างชัดและกล้าแกร่งยิ่งนัก
ถึงแม้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
แต่หากผู้ช่วยตัวเล็กต้องอยู่เคียงข้างหนานกงเลี่ยในสภาพเช่นนี้ ก็คงจะเป็นการทรมานนาง
ในความสัมพันธ์แบบชายหญิง เมื่อฝ่ายหนึ่งถ่อมตัวเกินไป จะทำให้อีกฝ่ายเย่อหยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
คราวนี้ นางก็อยากจะเห็นว่าหนานกงเลี่ยจะยังคงทำตัวหยิ่งผยองได้อย่างไร
เขาบังอาจวางยานาง ฮ่าๆ แม้ว่านางไม่อาจฆ่าเขาได้ แต่นางก็ต้องทำให้เขารู้สึกทรมานบ้าง
ส่วนองค์ชายสามนั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองขันทีซุนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มจางๆ “ขันทีซุน เงินที่ได้จากการขายเตียงครั้งนี้เล่า เอาไปมอบให้องค์ชายสามด้วย เพราะถือว่านี่เป็นผลงานของเขาเหมือนกัน”
“เอ่อ…” ขันทีซุนถอนหายใจและกำลังจะพูดต่อ
แต่หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อนด้วยน้ำเสียงที่สูงส่งและสง่างาม “เจ้าคิดว่าหากเจ้าขายเตียงนั่นสิบครั้ง แล้วข้าจะซื้อมันทั้งสิบครั้งเช่นนั้นหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ ข้าแค่อยากดูว่าองค์ชายจะเล่นสนุกเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ก็แค่นั้นเอง แต่ถ้าตอนนี้ องค์ชายไม่อยากเล่นแล้วก็ไม่เป็นไร” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “ไม่เป็นไร ขันทีซุนกำลังจะไปถามผู้ซื้อคนอื่นๆ ว่ามีใครที่ต้องการเตียงนี้ และเราจะขายมันในราคาถูก”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง