ในขณะที่กำลังจดจำ ความสงสัยที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขามองไปที่ฟิลลิป
“คุณเคยอยู่ที่เกาหลีนานไหมครับ”
“ไม่นานหรอก แค่ไม่กี่ปีน่ะ”
“แล้วพูดภาษาเกาหลีเก่งขนาดนั้นได้ยังไงครับ”
การออกเสียงได้อย่างถูกต้องกับการรู้ตัวอักษรจีนจัดเป็นอีกขั้นหนึ่ง ดูเหมือนเด็กชายจะตกใจในความรอบรู้ของฟิลลิปจริงๆ
“เพราะจำเป็นก็เลยเรียนมาเรื่อยๆ น่ะ”
เขาไม่ได้พูดออกตรงๆ ว่ากำลังเรียน เพราะคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นหากอยากได้สมบัติจากญาติฝ่ายแม่ที่เป็นคนเกาหลี
“เคยไปเกาหลีไหมครับ”
“สองสามครั้ง”
“เป็นยังไงเหรอครับ”
เด็กชายถามด้วยตาเป็นประกาย
“ก็เฉยๆ”
ฟิลลิปตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
เขาแทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเกาหลีที่เคยไปอยู่สองสามครั้งนั้นเลย ความจริงไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เหมือนกัน หลังจากที่ได้เห็นวิวทิวทัศน์แล้วเขาไม่เคยคิดว่ามันสวยหรือรู้สึกถึงความรู้สึกพิเศษอะไรเลย
“ผมตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปให้ได้เลยครับ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ผมก็เลยกำลังตั้งใจเรียนภาษาเกาหลีอยู่”
เด็กชายพูดเหมือนกับจะซื้อตั๋วเครื่องบินและบินไปที่เกาหลีเสียเดี๋ยวนั้น
แปลก ความรู้สึกที่ชวนให้อารมณ์เสียแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณท้องน้อย เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่นึกถึงภาพที่เด็กชายยืนอยู่ข้างๆ คนที่ชอบก่อนหน้านี้
“เพราะฉะนั้นช่วงนี้ผมก็เลยอ่านนิยายที่เป็นภาษาเกาหลีด้วย ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมจะแนะนำให้สักสองสามเล่มนะครับ”
พอพูดเรื่องที่เกี่ยวกับเกาหลี เด็กชายก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ฟิลลิปรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความโหดร้ายของเขาก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันทุกครั้งที่เด็กชายยิ้มอย่างสดใส มันคล้ายกับความต้องการในวัยเด็กที่อยากจะใช้เท้าที่เปื้อนโคลนสกปรกเหยียบย่ำลงไปบนหิมะสีขาวที่กองทับถมกัน
“ผมใช้หนังสือสนุกๆ…”
“สงสัยอะไรขนาดนั้น”
“ครับ?”
“มันคือประเทศที่พ่อแม่ที่ทิ้งนายไปอาศัยอยู่นะ”
เขาเปล่งวาจาโหดร้ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวล เด็กชายไม่สามารถพูดต่อได้ และทำได้แค่กะพริบตาด้วยความตกใจ นั่นเป็นใบหน้าของคนที่เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ราวกับว่าถ้าสะกิด น้ำตาก็จะไหลพรากลงมา แต่น่าประหลาดที่เขาไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้านั้นได้
ในตอนที่น้ำตาหยดลงกระทบกับหลังมือ เด็กชายก็รีบหันหน้าไป
แม่งเอ๊ย เป็นบ้าอะไรของมันวะ
ฟิลลิปเสยผมขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ ในตอนที่เขาคิดว่าควรจะพูดอะไรบางอย่างและกำลังจะอ้าปากนั้น
“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เหลือแค่ให้คุณไปเช็กเท่านั้น”
เขาก็ได้ยินเสียงมีความสุขของช่างซ่อมรถยนต์จากทางด้านหลัง
***
“จอดตรงหน้านั้นก็ได้ครับ ที่ที่มองเห็นประตูสีน้ำเงินตรงนั้นน่ะครับ”
เด็กชายเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง นี่เป็นคำพูดแรกของเด็กชายที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขามาตลอดทางราวกับคนที่ทำความผิด
ฟิลลิปจอดรถ เด็กชายกำลังจะปลดตัวล็อกเข็มขัดนิรภัยออก แต่ก็จับพลาดอยู่หลายครั้งจนปลดไม่ได้เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ พอฟิลลิปยื่นมือออกไป เด็กชายก็สะดุ้งและเอนไหล่ไปด้านหลัง
เขาหงุดหงิดอย่างมาก
ฟิลลิปปลดตัวล็อกเข็มขัดนิรภัยให้ช้าๆ
“วันนี้ฉันสนุกมาก”
“…”
“ฉันอารมณ์ดีขึ้นเยอะเพราะนายเลย ขอบใจนะ”
นี่เป็นความจริงใจประมาณหนึ่ง
หากไม่ใช่เด็กชาย ตัวเขาในเย็นวันศุกร์คงได้แต่ฟังเรื่องที่ตัวเองไม่ได้สนใจเลยสักนิด หรือไม่ก็มีเซ็กซ์ที่ไม่ได้มีความรู้สึกอยู่ในนั้นหลังจากที่ดูภาพยนตร์โรแมนติก-คอเมดี้ที่ไม่เข้ากับรสนิยมของตัวเองจบ อย่างน้อยภาพยนตร์ที่ดูวันนี้ก็ไม่ถึงกับทำให้เย็นวันศุกร์ของเขาพังพินาศ
“…ไม่เลยครับ ผมสิครับที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณนะครับที่ดูหนังกับผม”
เด็กชายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ทั้งที่ไม่ยังยอมสบตากัน สายตาของเขามองไปที่นิ้วมือของอีกฝ่ายที่ขยำชายเสื้ออยู่
นิ้วนั้นเรียวเล็กมาก ถ้าออกแรงบีบสักหน่อยก็คงจะหักเหมือนกับช็อกโกแลตบาร์
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
อีกฝ่ายไม่ยอมสบตาจนถึงที่สุด ความอารมณ์เสียที่ปนกับความหงุดหงิดงุ่นง่านก่อตัวขึ้นที่บริเวณท้องน้อยของฟิลลิป
แล้วสิ่งที่เอ่ยรั้งเด็กชายที่กำลังจะออกจากรถไปก็คือเสียงเรียกทุ้มต่ำของฟิลลิปเอง
[ชเวอินซอบ]
เด็กชายทำตาโตและหันกลับมา เพราะไม่คิดว่าเขาจะเรียกด้วยชื่อเกาหลี พอดวงตากลมโตหันมาทางตน เขาก็รู้สึกว่าความรู้สึกที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงค่อยๆ คลายลง
[ชเวอินซอบ]
เขาเรียกชื่ออีกครั้ง
เด็กชายกะพริบตาอยู่ราวๆ สองครั้ง ราวกับได้ยินเสียงดัง พึ่บพับ ทุกครั้งที่ขนตายาวๆ นั้นประกบกัน
[เรียกแบบนี้ไม่ใช่เหรอ]
เด็กชายอึกอักก่อนจะตอบด้วยภาษาเกาหลีว่า ‘ใช่ครับ’
[แล้วทำไมถึงไม่ตอบล่ะ]
[…ครับ]
คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เกิดรอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่ที่ริมฝีปากของฟิลลิป
[สุดสัปดาห์หน้าว่างไหม]
[…ถ้าเป็นหนัง ผมคงดูอีกไม่ได้แล้วล่ะครับ]
[ไม่ใช่หนังหรอก ว่างหรือเปล่าล่ะ]
[คุณเข้าใจใช่ไหมครับว่าผมพูดว่าอะไร]
เด็กชายถามกลับอย่างระมัดระวัง
[ฉันเก่งภาษาเกาหลีกว่านายนะ]
[…เหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ]
ภาษาเกาหลีของฟิลลิปทั้งการออกเสียง การเน้นเสียงหนักเบา และสำเนียงนั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็อยากจะเช็กอีกครั้งเผื่อไว้
“คุณถามว่าสุดสัปดาห์หน้าว่างหรือเปล่า…ถูกต้องไหมครับ”
“อืม”
“…ทำไมเหรอครับ”
แม้จะบอกว่าวันนี้พวกเขาเจอกันที่โรงภาพยนตร์ด้วยความบังเอิญ แต่ครั้งต่อไปนั้นไม่ใช่ การที่ผู้ชายสองจะนัดเจอกันไม่ใช่เรื่องปกติ
“อาทิตย์หน้ามีปาร์ตี้น่ะ”
“ครับ?”
“เพราะเป็นวันเกิดของฉัน”
แม่ตะขิดตะขวงใจในตัวลูกชายที่ตนเองคลอดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ไม่แสดงความตะขิดตะขวงใจนั้นออกมาให้เห็นภายนอก กลับกันหากมีโอกาสที่จะแสดงความสนใจในตัวลูกชาย เธอมักจะทุ่มเงินจนเขาคิดว่ามากเกินไปด้วยวิธีแบบนี้
วันเกิดปีนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นปาร์ตี้ที่เตรียมล่วงหน้านานถึงสามเดือน เพราะใช้แพลนเนอร์[1]ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในแอลเอ แม้ในความเป็นจริงตัวเอกของปาร์ตี้จะไม่สนใจเลยสักนิด แต่คนอื่นๆ กลับเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะอยากจะได้รับเชิญ
“จะมาไหม”
“ผมเหรอครับ ทำไมล่ะครับ”
เด็กชายย้อนถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่ใช่คนประเภทที่เหมาะกับปาร์ตี้ และยิ่งไม่ใช่คนที่น่าจะได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้วันเกิดของฟิลลิป เลวิน
“นั่นสิ ทำไมนะ”
ฟิลลิปพึมพำราวกับพูดคนเดียวก่อนจะเอียงคอ ฟิลลิปเองก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกัน
ทำไมเขาถึงได้ถามคนแบบนี้ว่าจะมาปาร์ตี้ได้ไหมกันนะ
ฟิลลิปค่อยๆ พิจารณาเด็กชายที่เงยหน้ามองตนด้วยแววตาไม่แน่ใจอย่างละเอียด เขาเป็นไอ้เซ่อที่สามารถพบได้โดยทั่วไปที่โรงเรียน ไม่มากหรือไม่น้อยไปกว่านั้น
ถ้าจะมีส่วนที่ต่างไปเล็กน้อยก็คือ
“ถ้าทำแบบนั้นเพราะรู้สึกผิดที่พูดไปเมื่อกี้ คุณไม่ต้องสนใจก็ได้นะครับ …เพราะมันไม่ใช่คำพูดที่ผิด”
เด็กชายพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
น้ำตาคลออยู่ที่ดวงตากลมโตคู่นั้นอย่างจวนเจียนจะหยด
น่าแปลก นี่เป็นสภาพที่เขาควรจะหัวเราะเยาะว่าไอ้โง่ในยามปกติ แต่เขากลับไม่สามารถละสายตาได้อย่างน่าประหลาด
เขานึกถึงภาพที่เด็กชายร้องไห้ตลอดทางที่กลับมา และนั่นก็ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีจนถึงขั้นหงุดหงิด
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่ใจก็ได้ครับ แล้วก็โชคดีจริงๆ เลยนะครับที่อารมณ์ของผมดีขึ้นแล้ว”
เด็กชายปรับอารมณ์ให้สงบอย่างรวดเร็ว และยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ ฟิลลิปจ้องมองเด็กชายนิ่งๆ
มันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เด็กชายมักจะไม่สนใจความเจ็บปวดที่ตัวเองได้รับ และเป็นห่วงฝ่ายตรงข้ามก่อนต่างจากคนอื่น ฟิลลิปมักจะรู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่รู้จักทุกครั้งที่ได้ประสบพบเจอกับจิตใจที่อ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อของเด็กชาย เขารู้สึกคลื่นไส้ไปพร้อมๆ กับรู้สึกคันบริเวณลำคอ อีกทั้งปลายนิ้วของเขาก็ชา ความรู้สึกที่เพิ่งเคยรู้สึกเป็นครั้งแรกทำให้เขารู้สึกวิงเวียนอีกด้วย
“อันที่จริงฉันไม่ค่อยชอบพวกปาร์ตี้เท่าไร”
“ครับ?”
“ฉันเกลียดอะไรที่เสียงดังเอะอะโวยวายน่ะ”
“…”
เด็กชายทำตาโตด้วยสีหน้าที่บอกว่าตนไม่เข้าใจสาเหตุ
ฟิลลิป เลวินเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าตัดสินใจแล้ว เขาก็สามารถเข้าร่วมปาร์ตี้ไหนก็ได้ และทุกคนก็คาดหวังการเข้าร่วมของเขา ฟิลลิปเป็นการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของปาร์ตี้ ดังนั้นการที่คนอย่างเขาบอกว่าไม่ชอบปาร์ตี้ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออย่างแน่นอน
“ก็มีงานวันเกิดในอายุเท่านี้มันน่าตลกนี่นา”
“ไม่เลยครับ ครอบครัวของผมมักจะจัดปาร์ตี้ในวันเกิดเสมอเลย เพราะแม่จัดให้น่ะครับ”
“นี่ไม่ใช่งานปาร์ตี้ที่แม่ฉันจัดเพราะชอบหรอก”
เธอเป็นผู้หญิงที่จิตใจบอบบาง แม้จะรู้ว่าลูกชายที่ตนคลอดออกมาเป็นสัตว์ประหลาดต่างจากคนอื่น แต่เธอก็ยังคงมองข้าม
“ไม่มีทางหรอกครับ มันเป็นปาร์ตี้วันเกิดของลูกชายนะครับ แม่ก็ต้องจัดให้เพราะรู้สึกยินดีจากใจจริงอยู่แล้วครับ”
เด็กชายปกป้องความรักของแม่ของผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นอย่างกระตือรือร้น
ในสภาพที่โดนพ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งนายจะไปรู้อะไร
ถ้าพูดแบบนั้น คราวนี้อีกฝ่ายจะร้องไห้ไหมนะ
ฟิลลิปกลั้นรอยยิ้มที่แพร่กระจายอย่างดำมืดไว้ และพูดต่อพลางเอียงหัวพิงกับเบาะรถ
“วันนั้นฉันคงเบื่อจะตายทั้งวันแน่เลย”
“…”
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจินตนาการภาพของฟิลลิป เลวินที่ถูกรายล้อมด้วยผู้คนอยู่เสมอใช้เวลาอยู่กับปาร์ตี้วันเกิดที่น่าเบื่อจนจะตายได้
“เพราะฉะนั้นช่วยมาคุยเป็นเพื่อนหน่อยนะ”
“…ผมจะลองคิดดูนะครับ”
เขาคิดว่าถ้าเขาชวนไปงานปาร์ตี้ อีกฝ่ายจะส่ายหางเหมือนหมาและตอบตกลง แต่พอไม่ได้รับคำตอบว่าจะมาอย่างไม่ลังเล ฟิลลิปก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา
“ทำไมล่ะ ไม่อยากอวยพรฉันเหรอ”
“ปะ เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แต่…”
แก้มขาวซีดของเด็กชายกลายเป็นสีแดง ขนตายาวหุบลงด้านล่าง เด็กชายที่เลือกคำพูดอยู่สักพักเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก
“…เสื้อผ้าที่จะใส่ไปไม่เหมาะสม”
ฟิลลิประเบิดหัวเราะดังฮ่าๆๆ ใบหน้าของเด็กชายแดงขึ้นไปอีกขั้น
“ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นหรอก”
เพราะคงไม่มีใครสนใจตั้งแต่แรกแล้วว่านายจะมาหรือไม่ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากของฟิลลิปชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“แต่ถ้าได้รับคำเชิญก็ต้องใส่ใจสิครับ…ไม่สิ เพราะผมไม่เคยไปที่แบบนั้น…”
เด็กชายทำสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร เป็นท่าทางที่น่าตลกมาก ทั้งรอยกระที่มองเห็นเพราะผิวที่ขาว ดวงตากลมโตที่ดูประหม่า ขนตาที่ยาวมาก ปลายจมูกกลมมน และริมฝีปากเล็กๆ ที่ขยับขึ้นลง
ฟิลลิปไล่สายตามองเด็กชายอย่างช้าๆ ทั้งที่ยังเอนตัวพิงเบาะรถอยู่
“ขอบคุณนะครับที่มาส่งวันนี้ งั้นก็กลับดีๆ นะครับ”
เขามองเห็นเขี้ยวเล็กๆ ผ่านริมฝีปากของเด็กชาย เขาอยากจะลองลูบดู
“…อืม”
เด็กชายยืนตัวแข็งทื่อด้วยความมึนงง ฟิลลิปเองก็มึนงงเหมือนกัน เขายื่นมือออกไปด้วยอารมณ์ แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะลูบเขี้ยวของคนอื่นจริงๆ แถมยังเป็นผู้ชาย
“…อำไอ(ทำไม)?”
เด็กชายเอ่ยถามเหตุผลด้วยการออกเสียงที่ไม่ชัดเจน ฟิลลิปไม่ตอบและลูบฟันของอีกฝ่าย มันเป็นฟันที่เรียบและสวยงาม
เด็กชายทำตัวไม่ถูก เขาไม่สามารถอ้าหรือหุบปากได้เพราะนิ้วของฟิลลิปกำลังเข้าไปในปาก
“อื้อ…
เด็กชายขยับปากเพื่อที่จะพูดอะไรบางอย่าง ริมฝีปากของเขาจึงอมนิ้วของฟิลลิปเข้าไปก่อนจะปล่อยออก อากาศตอนกลางคืนของฤดูร้อนพัดเข้ามาผ่านหน้าต่างรถยนต์ที่ถูกเปิดไว้ อากาศตอนกลางคืนที่รู้สึกว่าเย็นอยู่จนถึงเมื่อกี้นี้ร้อนขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“มีอะไรเปื้อนอยู่ตรงนี้น่ะ”
ฟิลลิปเคาะบริเวณเขี้ยวของเด็กหนุ่มอย่างหยอกล้อและยิ้มให้ ใบหน้าของเด็กชายแดงในทันที แน่นอนว่าใบหูและต้นคอของอีกฝ่ายก็แดงราวกับโดนย้อมสีจากธรรมชาติ มันแดงจนเขาอยากจะดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็กข้างใน
ไม่มีทางที่เด็กชายจะไม่รู้ว่าสายตาของฟิลลิปกำลังมองมาที่ตน อากาศในรถแคบๆ อึดอัดขึ้นมา จนการหายใจก็ทำได้อย่างยากลำบาก
“นั่นปีเตอร์หรือเปล่า”
เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากนอกรถ เด็กชายยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง และตอบกลับไปว่า “ครับ!”
“ผะ ผมไปก่อนนะครับ พอดีพ่อกับแม่รออยู่”
เด็กชายรีบเปิดประตูรถ
“งั้นเจอกัน…”
เด็กชายไม่กล้าพูดว่าเจอกันคราวหน้า และพูดอย่างกำกวม
“ไว้เจอกัน”
ฟิลลิปโบกมือให้อย่างสบายๆ ก่อนจะออกรถไป เขาเห็นเด็กชายที่กำลังยืนอยู่หน้าบ้านผ่านกล้องมองหลัง
เขาเหยียบคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตดังไปทั่วเขตชุมชนที่เงียบสงบ แม้จะเป็นการกระทำโง่ๆ ที่เขาจะไม่ทำอย่างเด็ดขาดในเวลาปกติ แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจเรื่องนั้น
“เฮอะ แม่งเอ๊ย”
ฟิลลิปก้มมองมือของตัวเองก่อนจะหัวเราะราวกับไม่อยากเชื่อ ดูเหมือนผลกระทบที่ไม่ยอมถอยออกไปก้าวหนึ่งในเย็นวันนี้จะส่งผลอย่างน่าประหลาด เขาจอดรถและหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็หาชื่อที่เหมาะสมและกดโทรออก หลังจากที่ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดคำพูดที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ออกไป เขาก็บอกปลายสายว่าจะไปรับที่หน้าบ้านก่อนจะวางสายไป ฟิลลิปเคาะพวงมาลัยอยู่สองสามครั้งก่อนจะออกรถอีกครั้ง
แล้วเสียงเครื่องยนต์หนักๆ ก็ดังขึ้นแหวกอากาศของเขตชุมชน
[1] แพลนเนอร์ หมายถึงนักวางแผนจัดงานต่างๆ