ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Story > 1-6

Side Story < Love Story > 1-6

ในขณะที่กำลังจดจำ ความสงสัยที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขามองไปที่ฟิลลิป

“คุณเคยอยู่ที่เกาหลีนานไหมครับ”

“ไม่นานหรอก แค่ไม่กี่ปีน่ะ”

“แล้วพูดภาษาเกาหลีเก่งขนาดนั้นได้ยังไงครับ”

การออกเสียงได้อย่างถูกต้องกับการรู้ตัวอักษรจีนจัดเป็นอีกขั้นหนึ่ง ดูเหมือนเด็กชายจะตกใจในความรอบรู้ของฟิลลิปจริงๆ

“เพราะจำเป็นก็เลยเรียนมาเรื่อยๆ น่ะ”

เขาไม่ได้พูดออกตรงๆ ว่ากำลังเรียน เพราะคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็นหากอยากได้สมบัติจากญาติฝ่ายแม่ที่เป็นคนเกาหลี

“เคยไปเกาหลีไหมครับ”

“สองสามครั้ง”

“เป็นยังไงเหรอครับ”

เด็กชายถามด้วยตาเป็นประกาย

“ก็เฉยๆ”

ฟิลลิปตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ

เขาแทบจะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเกาหลีที่เคยไปอยู่สองสามครั้งนั้นเลย ความจริงไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เหมือนกัน หลังจากที่ได้เห็นวิวทิวทัศน์แล้วเขาไม่เคยคิดว่ามันสวยหรือรู้สึกถึงความรู้สึกพิเศษอะไรเลย

“ผมตั้งใจไว้ว่าจะต้องไปให้ได้เลยครับ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ผมก็เลยกำลังตั้งใจเรียนภาษาเกาหลีอยู่”

เด็กชายพูดเหมือนกับจะซื้อตั๋วเครื่องบินและบินไปที่เกาหลีเสียเดี๋ยวนั้น

แปลก ความรู้สึกที่ชวนให้อารมณ์เสียแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณท้องน้อย เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่นึกถึงภาพที่เด็กชายยืนอยู่ข้างๆ คนที่ชอบก่อนหน้านี้

“เพราะฉะนั้นช่วงนี้ผมก็เลยอ่านนิยายที่เป็นภาษาเกาหลีด้วย ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมจะแนะนำให้สักสองสามเล่มนะครับ”

พอพูดเรื่องที่เกี่ยวกับเกาหลี เด็กชายก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ฟิลลิปรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความโหดร้ายของเขาก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันทุกครั้งที่เด็กชายยิ้มอย่างสดใส มันคล้ายกับความต้องการในวัยเด็กที่อยากจะใช้เท้าที่เปื้อนโคลนสกปรกเหยียบย่ำลงไปบนหิมะสีขาวที่กองทับถมกัน

“ผมใช้หนังสือสนุกๆ…”

“สงสัยอะไรขนาดนั้น”

“ครับ?”

“มันคือประเทศที่พ่อแม่ที่ทิ้งนายไปอาศัยอยู่นะ”

เขาเปล่งวาจาโหดร้ายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวล เด็กชายไม่สามารถพูดต่อได้ และทำได้แค่กะพริบตาด้วยความตกใจ นั่นเป็นใบหน้าของคนที่เกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ราวกับว่าถ้าสะกิด น้ำตาก็จะไหลพรากลงมา แต่น่าประหลาดที่เขาไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้านั้นได้

ในตอนที่น้ำตาหยดลงกระทบกับหลังมือ เด็กชายก็รีบหันหน้าไป

แม่งเอ๊ย เป็นบ้าอะไรของมันวะ

ฟิลลิปเสยผมขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ ในตอนที่เขาคิดว่าควรจะพูดอะไรบางอย่างและกำลังจะอ้าปากนั้น

“เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เหลือแค่ให้คุณไปเช็กเท่านั้น”

เขาก็ได้ยินเสียงมีความสุขของช่างซ่อมรถยนต์จากทางด้านหลัง

***

“จอดตรงหน้านั้นก็ได้ครับ ที่ที่มองเห็นประตูสีน้ำเงินตรงนั้นน่ะครับ”

เด็กชายเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง นี่เป็นคำพูดแรกของเด็กชายที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขามาตลอดทางราวกับคนที่ทำความผิด

ฟิลลิปจอดรถ เด็กชายกำลังจะปลดตัวล็อกเข็มขัดนิรภัยออก แต่ก็จับพลาดอยู่หลายครั้งจนปลดไม่ได้เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ พอฟิลลิปยื่นมือออกไป เด็กชายก็สะดุ้งและเอนไหล่ไปด้านหลัง

เขาหงุดหงิดอย่างมาก

ฟิลลิปปลดตัวล็อกเข็มขัดนิรภัยให้ช้าๆ

“วันนี้ฉันสนุกมาก”

“…”

“ฉันอารมณ์ดีขึ้นเยอะเพราะนายเลย ขอบใจนะ”

นี่เป็นความจริงใจประมาณหนึ่ง

หากไม่ใช่เด็กชาย ตัวเขาในเย็นวันศุกร์คงได้แต่ฟังเรื่องที่ตัวเองไม่ได้สนใจเลยสักนิด หรือไม่ก็มีเซ็กซ์ที่ไม่ได้มีความรู้สึกอยู่ในนั้นหลังจากที่ดูภาพยนตร์โรแมนติก-คอเมดี้ที่ไม่เข้ากับรสนิยมของตัวเองจบ อย่างน้อยภาพยนตร์ที่ดูวันนี้ก็ไม่ถึงกับทำให้เย็นวันศุกร์ของเขาพังพินาศ

“…ไม่เลยครับ ผมสิครับที่ต้องขอบคุณ ขอบคุณนะครับที่ดูหนังกับผม”

เด็กชายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ทั้งที่ไม่ยังยอมสบตากัน สายตาของเขามองไปที่นิ้วมือของอีกฝ่ายที่ขยำชายเสื้ออยู่

นิ้วนั้นเรียวเล็กมาก ถ้าออกแรงบีบสักหน่อยก็คงจะหักเหมือนกับช็อกโกแลตบาร์

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

อีกฝ่ายไม่ยอมสบตาจนถึงที่สุด ความอารมณ์เสียที่ปนกับความหงุดหงิดงุ่นง่านก่อตัวขึ้นที่บริเวณท้องน้อยของฟิลลิป

แล้วสิ่งที่เอ่ยรั้งเด็กชายที่กำลังจะออกจากรถไปก็คือเสียงเรียกทุ้มต่ำของฟิลลิปเอง

[ชเวอินซอบ]

เด็กชายทำตาโตและหันกลับมา เพราะไม่คิดว่าเขาจะเรียกด้วยชื่อเกาหลี พอดวงตากลมโตหันมาทางตน เขาก็รู้สึกว่าความรู้สึกที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงค่อยๆ คลายลง

[ชเวอินซอบ]

เขาเรียกชื่ออีกครั้ง

เด็กชายกะพริบตาอยู่ราวๆ สองครั้ง ราวกับได้ยินเสียงดัง พึ่บพับ ทุกครั้งที่ขนตายาวๆ นั้นประกบกัน

[เรียกแบบนี้ไม่ใช่เหรอ]

เด็กชายอึกอักก่อนจะตอบด้วยภาษาเกาหลีว่า ‘ใช่ครับ’

[แล้วทำไมถึงไม่ตอบล่ะ]

[…ครับ]

คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เกิดรอยยิ้มพึงพอใจประดับอยู่ที่ริมฝีปากของฟิลลิป

[สุดสัปดาห์หน้าว่างไหม]

[…ถ้าเป็นหนัง ผมคงดูอีกไม่ได้แล้วล่ะครับ]

[ไม่ใช่หนังหรอก ว่างหรือเปล่าล่ะ]

[คุณเข้าใจใช่ไหมครับว่าผมพูดว่าอะไร]

เด็กชายถามกลับอย่างระมัดระวัง

[ฉันเก่งภาษาเกาหลีกว่านายนะ]

[…เหมือนจะเป็นอย่างนั้นครับ]

ภาษาเกาหลีของฟิลลิปทั้งการออกเสียง การเน้นเสียงหนักเบา และสำเนียงนั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็อยากจะเช็กอีกครั้งเผื่อไว้

“คุณถามว่าสุดสัปดาห์หน้าว่างหรือเปล่า…ถูกต้องไหมครับ”

“อืม”

“…ทำไมเหรอครับ”

แม้จะบอกว่าวันนี้พวกเขาเจอกันที่โรงภาพยนตร์ด้วยความบังเอิญ แต่ครั้งต่อไปนั้นไม่ใช่ การที่ผู้ชายสองจะนัดเจอกันไม่ใช่เรื่องปกติ

“อาทิตย์หน้ามีปาร์ตี้น่ะ”

“ครับ?”

“เพราะเป็นวันเกิดของฉัน”

แม่ตะขิดตะขวงใจในตัวลูกชายที่ตนเองคลอดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นแม่ก็ไม่แสดงความตะขิดตะขวงใจนั้นออกมาให้เห็นภายนอก กลับกันหากมีโอกาสที่จะแสดงความสนใจในตัวลูกชาย เธอมักจะทุ่มเงินจนเขาคิดว่ามากเกินไปด้วยวิธีแบบนี้

วันเกิดปีนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นปาร์ตี้ที่เตรียมล่วงหน้านานถึงสามเดือน เพราะใช้แพลนเนอร์[1]ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในแอลเอ แม้ในความเป็นจริงตัวเอกของปาร์ตี้จะไม่สนใจเลยสักนิด แต่คนอื่นๆ กลับเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะอยากจะได้รับเชิญ

“จะมาไหม”

“ผมเหรอครับ ทำไมล่ะครับ”

เด็กชายย้อนถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาไม่ใช่คนประเภทที่เหมาะกับปาร์ตี้ และยิ่งไม่ใช่คนที่น่าจะได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้วันเกิดของฟิลลิป เลวิน

“นั่นสิ ทำไมนะ”

ฟิลลิปพึมพำราวกับพูดคนเดียวก่อนจะเอียงคอ ฟิลลิปเองก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกัน

ทำไมเขาถึงได้ถามคนแบบนี้ว่าจะมาปาร์ตี้ได้ไหมกันนะ

ฟิลลิปค่อยๆ พิจารณาเด็กชายที่เงยหน้ามองตนด้วยแววตาไม่แน่ใจอย่างละเอียด เขาเป็นไอ้เซ่อที่สามารถพบได้โดยทั่วไปที่โรงเรียน ไม่มากหรือไม่น้อยไปกว่านั้น

ถ้าจะมีส่วนที่ต่างไปเล็กน้อยก็คือ

“ถ้าทำแบบนั้นเพราะรู้สึกผิดที่พูดไปเมื่อกี้ คุณไม่ต้องสนใจก็ได้นะครับ …เพราะมันไม่ใช่คำพูดที่ผิด”

เด็กชายพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

น้ำตาคลออยู่ที่ดวงตากลมโตคู่นั้นอย่างจวนเจียนจะหยด

น่าแปลก นี่เป็นสภาพที่เขาควรจะหัวเราะเยาะว่าไอ้โง่ในยามปกติ แต่เขากลับไม่สามารถละสายตาได้อย่างน่าประหลาด

เขานึกถึงภาพที่เด็กชายร้องไห้ตลอดทางที่กลับมา และนั่นก็ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีจนถึงขั้นหงุดหงิด

“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่ใจก็ได้ครับ แล้วก็โชคดีจริงๆ เลยนะครับที่อารมณ์ของผมดีขึ้นแล้ว”

เด็กชายปรับอารมณ์ให้สงบอย่างรวดเร็ว และยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ ฟิลลิปจ้องมองเด็กชายนิ่งๆ

มันเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เด็กชายมักจะไม่สนใจความเจ็บปวดที่ตัวเองได้รับ และเป็นห่วงฝ่ายตรงข้ามก่อนต่างจากคนอื่น ฟิลลิปมักจะรู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่รู้จักทุกครั้งที่ได้ประสบพบเจอกับจิตใจที่อ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อของเด็กชาย เขารู้สึกคลื่นไส้ไปพร้อมๆ กับรู้สึกคันบริเวณลำคอ อีกทั้งปลายนิ้วของเขาก็ชา ความรู้สึกที่เพิ่งเคยรู้สึกเป็นครั้งแรกทำให้เขารู้สึกวิงเวียนอีกด้วย

“อันที่จริงฉันไม่ค่อยชอบพวกปาร์ตี้เท่าไร”

“ครับ?”

“ฉันเกลียดอะไรที่เสียงดังเอะอะโวยวายน่ะ”

“…”

เด็กชายทำตาโตด้วยสีหน้าที่บอกว่าตนไม่เข้าใจสาเหตุ

ฟิลลิป เลวินเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าตัดสินใจแล้ว เขาก็สามารถเข้าร่วมปาร์ตี้ไหนก็ได้ และทุกคนก็คาดหวังการเข้าร่วมของเขา ฟิลลิปเป็นการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของปาร์ตี้ ดังนั้นการที่คนอย่างเขาบอกว่าไม่ชอบปาร์ตี้ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออย่างแน่นอน

“ก็มีงานวันเกิดในอายุเท่านี้มันน่าตลกนี่นา”

“ไม่เลยครับ ครอบครัวของผมมักจะจัดปาร์ตี้ในวันเกิดเสมอเลย เพราะแม่จัดให้น่ะครับ”

“นี่ไม่ใช่งานปาร์ตี้ที่แม่ฉันจัดเพราะชอบหรอก”

เธอเป็นผู้หญิงที่จิตใจบอบบาง แม้จะรู้ว่าลูกชายที่ตนคลอดออกมาเป็นสัตว์ประหลาดต่างจากคนอื่น แต่เธอก็ยังคงมองข้าม

“ไม่มีทางหรอกครับ มันเป็นปาร์ตี้วันเกิดของลูกชายนะครับ แม่ก็ต้องจัดให้เพราะรู้สึกยินดีจากใจจริงอยู่แล้วครับ”

เด็กชายปกป้องความรักของแม่ของผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นอย่างกระตือรือร้น

ในสภาพที่โดนพ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งนายจะไปรู้อะไร

ถ้าพูดแบบนั้น คราวนี้อีกฝ่ายจะร้องไห้ไหมนะ

ฟิลลิปกลั้นรอยยิ้มที่แพร่กระจายอย่างดำมืดไว้ และพูดต่อพลางเอียงหัวพิงกับเบาะรถ

“วันนั้นฉันคงเบื่อจะตายทั้งวันแน่เลย”

“…”

ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจินตนาการภาพของฟิลลิป เลวินที่ถูกรายล้อมด้วยผู้คนอยู่เสมอใช้เวลาอยู่กับปาร์ตี้วันเกิดที่น่าเบื่อจนจะตายได้

“เพราะฉะนั้นช่วยมาคุยเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

“…ผมจะลองคิดดูนะครับ”

เขาคิดว่าถ้าเขาชวนไปงานปาร์ตี้ อีกฝ่ายจะส่ายหางเหมือนหมาและตอบตกลง แต่พอไม่ได้รับคำตอบว่าจะมาอย่างไม่ลังเล ฟิลลิปก็เริ่มไม่พอใจขึ้นมา

“ทำไมล่ะ ไม่อยากอวยพรฉันเหรอ”

“ปะ เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ แต่…”

แก้มขาวซีดของเด็กชายกลายเป็นสีแดง ขนตายาวหุบลงด้านล่าง เด็กชายที่เลือกคำพูดอยู่สักพักเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก

“…เสื้อผ้าที่จะใส่ไปไม่เหมาะสม”

ฟิลลิประเบิดหัวเราะดังฮ่าๆๆ ใบหน้าของเด็กชายแดงขึ้นไปอีกขั้น

“ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นหรอก”

เพราะคงไม่มีใครสนใจตั้งแต่แรกแล้วว่านายจะมาหรือไม่ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากของฟิลลิปชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“แต่ถ้าได้รับคำเชิญก็ต้องใส่ใจสิครับ…ไม่สิ เพราะผมไม่เคยไปที่แบบนั้น…”

เด็กชายทำสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร เป็นท่าทางที่น่าตลกมาก ทั้งรอยกระที่มองเห็นเพราะผิวที่ขาว ดวงตากลมโตที่ดูประหม่า ขนตาที่ยาวมาก ปลายจมูกกลมมน และริมฝีปากเล็กๆ ที่ขยับขึ้นลง

ฟิลลิปไล่สายตามองเด็กชายอย่างช้าๆ ทั้งที่ยังเอนตัวพิงเบาะรถอยู่

“ขอบคุณนะครับที่มาส่งวันนี้ งั้นก็กลับดีๆ นะครับ”

เขามองเห็นเขี้ยวเล็กๆ ผ่านริมฝีปากของเด็กชาย เขาอยากจะลองลูบดู

“…อืม”

เด็กชายยืนตัวแข็งทื่อด้วยความมึนงง ฟิลลิปเองก็มึนงงเหมือนกัน เขายื่นมือออกไปด้วยอารมณ์ แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะลูบเขี้ยวของคนอื่นจริงๆ แถมยังเป็นผู้ชาย

“…อำไอ(ทำไม)?”

เด็กชายเอ่ยถามเหตุผลด้วยการออกเสียงที่ไม่ชัดเจน ฟิลลิปไม่ตอบและลูบฟันของอีกฝ่าย มันเป็นฟันที่เรียบและสวยงาม

เด็กชายทำตัวไม่ถูก เขาไม่สามารถอ้าหรือหุบปากได้เพราะนิ้วของฟิลลิปกำลังเข้าไปในปาก

“อื้อ…

เด็กชายขยับปากเพื่อที่จะพูดอะไรบางอย่าง ริมฝีปากของเขาจึงอมนิ้วของฟิลลิปเข้าไปก่อนจะปล่อยออก อากาศตอนกลางคืนของฤดูร้อนพัดเข้ามาผ่านหน้าต่างรถยนต์ที่ถูกเปิดไว้ อากาศตอนกลางคืนที่รู้สึกว่าเย็นอยู่จนถึงเมื่อกี้นี้ร้อนขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“มีอะไรเปื้อนอยู่ตรงนี้น่ะ”

ฟิลลิปเคาะบริเวณเขี้ยวของเด็กหนุ่มอย่างหยอกล้อและยิ้มให้ ใบหน้าของเด็กชายแดงในทันที แน่นอนว่าใบหูและต้นคอของอีกฝ่ายก็แดงราวกับโดนย้อมสีจากธรรมชาติ มันแดงจนเขาอยากจะดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็กข้างใน

ไม่มีทางที่เด็กชายจะไม่รู้ว่าสายตาของฟิลลิปกำลังมองมาที่ตน อากาศในรถแคบๆ อึดอัดขึ้นมา จนการหายใจก็ทำได้อย่างยากลำบาก

“นั่นปีเตอร์หรือเปล่า”

เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากนอกรถ เด็กชายยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง และตอบกลับไปว่า “ครับ!”

“ผะ ผมไปก่อนนะครับ พอดีพ่อกับแม่รออยู่”

เด็กชายรีบเปิดประตูรถ

“งั้นเจอกัน…”

เด็กชายไม่กล้าพูดว่าเจอกันคราวหน้า และพูดอย่างกำกวม

“ไว้เจอกัน”

ฟิลลิปโบกมือให้อย่างสบายๆ ก่อนจะออกรถไป เขาเห็นเด็กชายที่กำลังยืนอยู่หน้าบ้านผ่านกล้องมองหลัง

เขาเหยียบคันเร่ง เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตดังไปทั่วเขตชุมชนที่เงียบสงบ แม้จะเป็นการกระทำโง่ๆ ที่เขาจะไม่ทำอย่างเด็ดขาดในเวลาปกติ แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจเรื่องนั้น

“เฮอะ แม่งเอ๊ย”

ฟิลลิปก้มมองมือของตัวเองก่อนจะหัวเราะราวกับไม่อยากเชื่อ ดูเหมือนผลกระทบที่ไม่ยอมถอยออกไปก้าวหนึ่งในเย็นวันนี้จะส่งผลอย่างน่าประหลาด เขาจอดรถและหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็หาชื่อที่เหมาะสมและกดโทรออก หลังจากที่ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดคำพูดที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ออกไป เขาก็บอกปลายสายว่าจะไปรับที่หน้าบ้านก่อนจะวางสายไป ฟิลลิปเคาะพวงมาลัยอยู่สองสามครั้งก่อนจะออกรถอีกครั้ง

แล้วเสียงเครื่องยนต์หนักๆ ก็ดังขึ้นแหวกอากาศของเขตชุมชน

[1] แพลนเนอร์ หมายถึงนักวางแผนจัดงานต่างๆ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท