ในใจของสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงมักจะอ่อนโยนอ่อนน้อม นิ่งสงบและใจกว้างเสมอ เขาไม่เคยเห็นสืออีเหนียงที่มีท่าทีเช่นนี้มาก่อน
นางสีหน้าเรียบนิ่ง คำพูดดูนุ่มนวลแต่ฟังแล้วกลับแข็งกระด้าง
ทันใดนั้นเขาก็พูดไม่ออก
สืออีเหนียงก้มหน้าลง “ท่านโหวทำเช่นนี้ จะให้ข้าทำเช่นไรอีกหรือเจ้าคะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียใจราวกับจะร้องไห้
สวีลิ่งอี๋กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขารีบพูด “เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน ใช่ว่าข้าไม่มาปรึกษาเจ้าก่อน…”
“ท่านโหว” ไม่รอให้เขาพูดจบ สืออีเหนียงก็เงยหน้าขึ้นมองสวีลิ่งอี๋ “ท่านเป็นนายท่านของครอบครัว เรื่องแต่งงานของลูกๆ ท่านก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ” ใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มของนางเย็นชาราวกับหิมะบนยอดเขา “ข้าคงจะมีความรู้ไม่มากพอ ดังนั้นท่านโหวจึงให้พี่สะใภ้สองเป็นคนจัดการเรื่องการคัดเลือกลูกสะใภ้” พูดจบ นางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าฟังท่านโหวก็ได้เจ้าค่ะ” ทำให้สวีลิ่งอี๋ที่คุ้นเคยกับการเห็นรอยยิ้มของสืออีเหนียงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เขาจึงอธิบาย “ตอนแรกเป็นความคิดของข้าคนเดียว แล้วก็ยังไม่รู้ว่าสกุลเซี่ยงจะเห็นด้วยหรือไม่ ข้าจึงยังไม่บอกเจ้า ต่อมาหม่าจั่วเหวินมาหาข้า รายชื่อพระชายาขององค์ชายใหญ่ที่เขานำมาให้ข้านั้น สามารถขจัดความสับสนสองสามเดือนนี้ของข้าได้ ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของสกุลโอวจึงไม่มีโอกาส…ตอนนี้สกุลเซี่ยงตกลงแล้ว ข้าก็มาบอกเจ้าคนแรกไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความเอือมระอา
สืออีเหนียงพลันตกใจ
คนแรก? หรือว่า เรื่องนี้สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้ปรึกษากับไท่ฮูหยิน?
แล้วเหตุใดรายชื่อพระชายาขององค์ชายใหญ่ถึงขจัดความสับสนสองสามเดือนนี้ของสวีลิ่งอี๋ได้
แต่เมื่อนึกถึงพฤติกรรมของสวีลิ่งอี๋ นางก็อดไม่ได้ที่จะระงับความสงสัยของตัวเองเอาไว้ แล้วหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อสวีลิ่งอี๋ที่เห็นท่าทีที่ไม่อยากฟังคำอธิบายของภรรยา ก็ยิ้มอย่างขมขื่น ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปนั่งข้างๆ สืออีเหนียง
“เรื่องบางเรื่อง เจ้าไม่เข้าใจ” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สกุลสวีเป็นสกุลขุนนาง ได้รับความเมตตา อวี้เกอเป็นบุตรอนุภรรยา ต่อไปเขานั้นไม่มีพรมลิขิตกับตำแหน่งบรรดาศักดิ์ แล้วข้ายังปฏิเสธรางวัลของฮ่องเต้เพื่อความปลอดภัยของสกุลตั้งสามครั้ง…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุกชะงัก “ทำให้อวี้เกอไร้อนาคต ในฐานะหย่งผิงโหว ข้าละอายใจต่อบรรพบุรุษ แต่ในฐานะบิดา ข้าติดค้างอวี้เกอมากเกินไป”
สืออีเหนียงค่อยๆ เข้าใจ
“ข้าต้องหาทางออกให้เขา” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ “โชคดีที่เขาฉลาด แทนที่จะให้เขาไม่ทำอะไร รอให้ข้าขอตำแหน่งให้เขาเหมือนน้องห้า ไม่สู้ให้เขาไปสอบขุนนางระดับเคอจวี่ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ได้มีรากฐานเหมือนน้องห้า จะเทียบกับน้องห้าไม่ได้… เช่นนี้ พี่น้องอย่างพวกเขาล้วนแต่มีทางเดินคนละทาง บางทีมันอาจจะทำให้พี่น้องสนิทสนมกันมากขึ้น”
สืออีเหนียงมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความตกใจ
พี่น้องสกุลสวีไม่สอบขุนนางระดับเคอจวี่ไม่ใช่หรือ ตอนนั้นก็เพราะว่าสาเหตุนี้ทำให้คุณชายสามสอบแค่บัณฑิตซิ่วไฉไม่ใช่หรือ
“สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน” สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสีหน้าของภรรยาค่อยๆ ดีขึ้น เขาก็พูดอย่างอ่อนโยน “เมื่อก่อนถึงแม้ว่าข้าจะมีความคิดเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่มีโอกาสเช่นนี้ ครั้งนี้ข้าเจอกับใต้เท้าเซี่ยง เห็นว่าเขามีความสามารถมากกว่าเมื่อก่อน ตราบใดที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดเกินไป ผ่านไปสิบยี่สิบปี เขาอาจจะได้เป็นผู้ว่าราชการมณฑล หากโชคดีหน่อย อาจจะได้เข้าไปอยู่ในกระทรวงขุนนางภายใน เจ้าก็รู้ว่า เราเป็นสกุลขุนนางแต่ก็เป็นสกุลญาติ อีกทั้งข้ายังเคยเป็นคนนำกองทัพออกสู้รบ ได้เป็นขุนนางแค่วงศ์สกุลเดียวคนธรรมดายังอิจฉาตาร้อน ยิ่งไปกว่านั้นเรามีตั้งสามวงศ์สกุล อวี้เกอได้รับความเมตตา ด้วยอำนาจของข้าและมิตรภาพกับสหายเก่าของข้า ในกองทัพต้องไว้หน้าเขาไม่มากก็น้อย หากจะสอบขุนนางระดับเคอจวี่ ภูมิหลังของเขาจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนเหล่านั้นโจมตีเขา ขอแค่เขาไม่เดือนร้อนเพราะข้าก็พอ” พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
ตุลาการชอบฟ้องร้องสุกลขุนนางและสกุลญาติ
ในสายตาของพวกเขา สกุลญาติได้รับการสนับสนุนจากแว่นแคว้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเพราะว่าใครคนใดคนหนึ่งได้ดี ญาติพี่น้องก็พลอยได้ดิบได้ดีได้ไปด้วย ขุนนางในราชสำนักคือกลุ่มหนอนที่อาศัยความดีความชอบที่หลงเหลืออยู่ของบรรพบุรุษทำลายเสบียงอาหารของแว่นแคว้น พวกเขาเคารพคนที่มีความดีความชอบ เคารพขุนนางที่ก่อตั้งประเทศชาติ แต่สำหรับคนที่เกาะแข่งเกาะขาคนอื่น ลูกผู้ลากมากดีที่สูญเสียกระดูกของบรรพบุรุษไปแล้วไม่จำเป็นต้องมีมารยาท แต่คนพวกนี้กลับมีตำแหน่งสูงกว่าเจ้า มีอำนาจมากกว่าเจ้า ทำให้คนที่ลำบากมานานกว่าสิบปีแล้วเริ่มไม่พอใจ มักจะมองหาความผิดพลาดของพวกเขา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นสาเหตุที่ตัวเองดูถูกพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นสวีลิ่งอี๋เคยเป็นผู้นำกองทัพ เป็นคนป่าเถื่อนที่ทำให้เหล่านักปราชญ์ดูถูก!
“ข้าปกป้องเขาไม่ได้ จึงทำได้แค่ช่วยเขาหาคนที่สามารถปกป้องเขาได้ ดังนั้นข้าจึงคิดเรื่องงานแต่งงานกับสกุลเซี่ยงขึ้นมา” สวีลิ่งอี๋มองไปที่สืออีเหนียง “อวี้เกอเป็นบุตรอนุ มารดาแท้ๆ ของเขาก็เป็นแค่บ่าวรับใช้ หากเป็นสกุลอื่น พวกเขาคงจะไม่ตอบตกลง แต่พี่สะใภ้สองเห็นอวี้เกอมาตั้งแต่เด็ก นิสัยของอวี้เกอเป็นเช่นไรนางรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นข้าจึงอยากให้เขาแต่งงานกับสกุลเซี่ยง รบกวนพี่สะใภ้สองไปพูดกับพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงใต้เท้าเซี่ยง แม้แต่พี่สะใภ้สอง ตอนนั้นได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกลำบากใจ สถานการณ์เช่นนี้ ข้ายิ่งไม่กล้าเล่าให้เจ้าฟัง สำหรับเรื่องที่บอกให้พี่สะใภ้สองเลือกหนึ่งในบรรดาหลานสาว ก็เพราะว่าพี่สะใภ้สองอยู่ตรงกลาง นางรู้จักเด็กๆ ทุกคนเป็นอย่างดี มีภรรยาที่ดีก็เท่ากับมีวาสนา มันก็ดีกว่าเราไปหาคนที่มีนิสัยหัวแข็งแต่งเข้ามา ต้องรู้ว่า ต่อไปคนที่จะรับมือดูแลจวนต่อจากเจ้าคือภรรยาของจุนเกอ”
ความตรงไปตรงมาของสวีลิ่งอี๋ทำให้ความโมโหของสืออีเหนียงค่อยๆ ทุเลา แต่มันไม่ได้หมายความว่านางจะยกโทษให้เขา
“ท่านโหวพูดมีเหตุผลเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “แต่ว่าข้ายังมีเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าใจ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าภรรยายอมพูดกับตัวเองดีๆ ก็โล่งใจ แล้วพูดอย่างจริงจัง “เจ้าพูดสิ ไม่เข้าใจตรงไหน”
“ทำไมท่านโหวต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ เขาพูดโดยไม่ลังเล “ก็เพราะว่าเจ้าเป็นคนใจกว้างและมีเหตุผล…”
“เช่นนั้นเพราะว่า ข้าเป็นคนใจกว้าง? หรือว่า เป็นคนมีเหตุผลกันแน่เจ้าคะ?” สืออีเหนียงเค้นถาม
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
“ท่านโหวอย่าโกหกข้านะเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูด “ท่านโหวคิดเช่นไรก็ตอบข้าเช่นนั้น” นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่จริงจัง
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเคร่งขรึม “เพราะว่าเจ้าเป็นคนมีเหตุผล ข้าเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟัง แน่นอนว่าเจ้าต้องเข้าใจว่าเหตุใดข้าถึงให้อวี้เกอแต่งงานกับสกุลเซี่ยง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดท่านโหวถึงไม่เล่าให้ข้าฟังก่อนเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดเบาๆ แต่เสียงกลับดังก้อง ทำให้สวีลิ่งอี๋ตกใจเบาๆ
“ในสายตาของท่านโหว ข้าใจกว้างและมีเหตุผล แต่หากท่านโหวมาปรึกษาเรื่องที่จะให้อวี้เกอแต่งงานกับคุณหนูสองสกุลเซี่ยงกับข้าก่อนที่จะตัดสินใจ แล้วข้าจะไม่เข้าใจความลำบากใจของท่านโหวอย่างนั้นหรือ” สืออีเหนียงจับจ้องไปที่สวีลิ่งอี๋ “แต่กลับตัดสินใจหมดแล้วค่อยมาบอกข้า จะไม่ให้ข้าเสียใจได้เช่นไรกัน” พูดจบสายตาของนางก็หม่นหมองลง “ในเมื่อแม้แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ยังไม่ปรึกษา…ข้าได้ยินก็ทั้งละอายใจและโมโห ไม่รู้ว่าข้าทำอะไรผิด ข้าอยากจะเอาหน้ามุดดิน คนอื่นรู้แล้วจะได้ไม่หัวเราะเยาะว่าข้าเป็นคนใจแคบ แม้แต่งานแต่งของลูกยังต้องปิดบัง…ข้ารู้สึกท้อแท้ ไม่อยากจะสนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว…ตอนนี้ได้ยินท่านโหวพูดเช่นนี้ ข้ายิ่งรับไม่ได้…ข้าเคารพและเชื่อฟังท่าน แต่ท่านโหวกลับจำได้แค่ว่าข้าเป็นคนใจกว้างและมีเหตุผล…”
สวีลิ่งอี๋ที่ฟังสืออีเหนียงพูดความในใจอย่างตรงไปตรงมาเจือไปด้วยความเสียใจ ก็จิตใจสั่นไหว ยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจจนนั่งไม่ติด
“สืออีเหนียง…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น มองไปที่นางด้วยสายตาลังเล ปากสั่นอยู่นาน แต่ก็พูดอะไรไม่ออก
สืออีเหนียงรู้สึกผิดหวัง
การแต่งงาน คือการสร้างพันธมิตรระหว่างสองสกุล ดังนั้นการที่จะแต่งงานกับใคร สามีต้องเป็นคนเลือกหา แต่แต่งสะใภ้เข้ามานางต้องเข้ามาดูแลเรื่องครอบครัว ดังนั้นการที่จะแต่งสะใภ้คนไหนเข้ามา ภรรยาต้องเป็นคนตัดสินใจ สวีลิ่งอี๋ยอมอธิบายให้นางฟังและก็รู้ว่าตัวเองทำไม่ถูก เเต่กลับไม่ยอมขอโทษนาง เพราะว่าบุรุษมีศักดิ์ศรีมากกว่าสตรีเช่นนั้นหรือ หรือเพราะว่าเขาสูงส่งกว่านาง
นางเบะปากใส่สวีลิ่งอี๋แล้วฝืนยิ้มออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ลงมาจากเตียงเตา “ดึกมากแล้ว ท่านโหวเห็นข้อผิดพลาดในรายชื่อพระชายาขององค์ชายใหญ่ที่ใต้เท้าหม่านำมาให้ คิดว่าช่วงนี้ท่านคงจะยุ่ง รีบพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ลุกไปปูเตียงให้เขา
“ประเดี๋ยวก่อน” สวีลิ่งอี๋จับแขนนางจากด้านหลัง
สืออีเหนียงยืนตัวตรงไม่ขยับไปไหน
พวกเขาสองคนต่างก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
“เรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก!” เสียงของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นในหูของนาง “ครั้งต่อไปข้าจะระวังมากกว่านี้”
สืออีเหนียงหันกลับไปมองสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวเจ้าคะ ข้าอยากเจอคุณหนูทั้งสามคนของสกุลเซี่ยง”
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนไป
สืออีเหนียงเงียบ จากนั้นก็เดินไปที่เตียงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่ที่เดิม มองดูแผ่นหลังของนางอย่างเงียบๆ
ปูเตียงเสร็จแล้ว ย้ายตะเกียงไปไว้ที่โต๊ะเล็กๆ หัวเตียง
“ท่านโหว ข้ารับใช้ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า!” สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนโยน ไม่แตกต่างไปจากปกติ
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ยกแขนขึ้น
สืออีเหนียงช่วยเขาถอดเสื้อคลุมออก
จากนั้นสองสามีภรรยาก็นอนพักผ่อน
ตะเกียงส่องแสงอันนุ่มนวล
สืออีเหนียงพลิกตัว
สวีลิ่งอี๋ที่ตายังคงเบิกกว้างได้ยินอย่างชัดเจน
ผ่านไปไม่นาน สืออีเหนียงก็พลิกตัวอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋หลับตาลง
ก็ได้ยินสืออีเหนียงพลิกตัวอีกครั้ง
จากนั้นสืออีเหนียงก็พลิกตัวอีกครั้ง
เขาลืมตาขึ้น ก็เห็นสืออีเหนียงพลิกตัวอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เงียบ เรื่องนี้ เป็นความต้องการของข้า…”
ใช่ มันคือความต้องการของสวีลิ่งอี๋จริงๆ แต่ฮูหยินสองเสนอให้คุณหนูสองของสกุลเซี่ยงหมั้นหมายกับอวี้เกอ หรือว่าสกุลสวีจะคัดค้านบ้างไม่ได้หรือ
“ท่านโหวก็บอกแล้วว่าจะแต่งคนที่มีนิสัยหัวแข็งเข้ามาไม่ได้” สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนแรง “ข้าอยากเจอกับคุณหนูสกุลเซี่ยงทั้งสามคน”
“จะแต่งกับบุตรภรรยาเอกคนโตไม่ได้แน่นอน…” สวีลิ่งอี๋ยังอยากจะเกลี้ยกล่อมสืออีเหนียง
“ก็ยังมีคุณหนูสองและคุณหนูสามอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดเบาๆ แต่ในน้ำเสียงกลับมีความหนักแน่น
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว ไม่พูดไม่จา
สืออีเหนียงพลิกตัว หันหลังให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เงียบอยู่นาน จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วโอบตัวสืออีเหนียงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “เงียบ…”
สืออีเหนียงไม่ได้หันหน้ากลับมา
ท่ามกลางเสียงกลองที่ดังมาจากระยะไกล มีเสียงเทียนที่กำลังละลายเบาๆ
*****
แต่จวนสกุลเซี่ยงที่ตั้งอยู่ที่ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของจวนสกุลสวี ใต้เท้าเซี่ยงกับนายหญิงเซี่ยงกำลังจ้องหน้ากันด้วยความโมโห