ขันทีซุนไม่กล้าที่จะมองนายท่านของเขา
“ไปถามมา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลุกขึ้นยืนและเลิกคิ้วเล็กน้อย เขารักษาท่าทีจากความต้องการของตนเอง แม้ว่าเขาจะสวมชุดเครื่องแบบราชสำนักไม่เหมือนกับองค์ชายคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ตรงกันข้าม ปกคอเสื้อของเขาถูกปลดออกอย่างไม่ตั้งใจขณะที่เขายืนอยู่ข้างโต๊ะไม้จันทน์ เขามีท่าทีเหยียดหยามขณะที่วางมือลง และพูดต่ออย่างไม่ยี่หระ ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกัน ดวงตาของเขาก็ดูเย้ยหยันอย่างมาก “ดูซิว่าใครจะมีเงินมากมายขนาดนั้น ข้าสามารถพาคนไปรับได้”
เขาหมายถึง ใครก็ตามที่กล้าซื้อเตียงมังกรนั่น เขาจะพาคนๆ นั้นกลับบ้าน!
ขันทีซุนตกตะลึง เขาอยากรู้นักว่าจะยังมีใครกล้าอยากได้มันอีกไหม! เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นคนโง่!
คำพูดนั้นแพร่สะพัดไปทั่วทั้งวัง และทุกคนก็เริ่มอยู่ห่างเตียงมังกรนั้น เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้!
หลายคนที่สนใจจะซื้อของของเฮ่อเหลียนเวยเวยต่างก็ถอนตัว บางคนถึงกับยอมเสียเงินมัดจำ และเพียงแค่ขอความเมตตาจากองค์ชายเท่านั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าคอเสื้อของผู้ซื้อคนสุดท้าย และยิ้มเบาๆ “พวกเขายังพยายามกันไม่มากพอ ใต้เท้าจู ท่านคุ้นเคยกับสินค้าชิ้นนี้ ข้าจะยกเตียงมังกรให้เจ้าโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเลย เป็นอย่างไรเล่า”
“เป็นอย่างไรเล่า เป็นอย่างไรอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนนั้นตกตะลึงและพูดทวนคำของเฮ่อเหลียนเวยเวย ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงโกหกต่อ “ใต้เท้าจู สบายใจได้ ข้าไม่ต้องการเงินของท่าน ข้ายกให้ โดยที่ท่านไม่ต้องจ่ายเงินจริงๆ”
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่สามารถรับมันไว้ได้!
มันไม่ได้เป็นแค่เตียงมังกรธรรมดา
แต่มันเป็นอุบายที่เอาไว้พรากชีวิตของเขาต่างหากเล่า!
“พระชายา ขุนนางอาวุโสคนนี้มีท่านพ่อท่านแม่และลูกน้อยที่ต้องดูแล เตียง… เตียงมังกรนี้ พระชายาเก็บไว้เองจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่ขุนนางพูดเช่นนั้น เขาก็มองคนที่อยู่ในห้องทรงอักษรและรีบพูดต่อ “ราตรีสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย” แล้วเขาก็รีบวิ่งออกไปทันทีหลังจากที่พูดจบ มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนมีอายุอย่างเขาจะสามารถวิ่งด้วยความเร็วเช่นนั้นได้!
ขันทีซุนมองดูเหตุการณ์นั้นแล้วเงียบไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดฟันแน่นขณะมองเตียงมังกรทองที่ยังขายไม่ออก นางต้องการจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ!
แต่ในขณะที่นางกำลังหมุนตัวกลับมา นางก็ถูกใครบางคนดึงมือทั้งสองข้างไว้แน่น ร่างของนางถูกกดทับอยู่บนหนังเสือที่นุ่ม ลมหายใจของชายคนนั้นค่อยๆ กระทบบนผิวที่อ่อนนุ่มของหญิงสาว สัมผัสที่ร้อนรุ่มจากด้านหลังคอนั้นทำให้เกิดอาการชาวาบที่คุ้นเคย…
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งเกร็ง สัญชาตญาณแรกของนางคือจะต้องเตะคนที่อยู่ด้านข้างนี้ออกไปให้ได้
แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะคาดเดาเหตุการณ์ณ์นี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาจึงมัดข้อเท้าของนางด้วยโซ่บางและขึงไว้กับเตียง
“ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง แต่เพราะตำแหน่งของนางในขณะนี้ ทำให้นางทำได้เพียงแค่บิดคอไปด้านข้างเพื่อข่มขู่เขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับองค์ชายสามเลย เขาเลื่อนมือสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าของหญิงสาว และความเย็นนั้นก็ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นสะท้าน “บ้าเอ๊ย!”
“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น นิ้วมือของเขาสัมผัสนางอย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังลูบไล้กระเบื้องลายครามที่งดงามที่สุด เขาลูบไล้ไปทุกอณู…
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเบิกกว้าง และแผ่นหลังของนางก็โค้งงอ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแน่นอย่างแรงและเต็มไปด้วยพลัง “องค์ชาย ท่านยังต้องการมีมืออยู่อีกหรือไม่”
“โกรธหรือ” จู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ใช้พลัง เขาฟังเสียงลมหายใจของนางอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกระซิบข้างหูของนาง “แต่ร่างกายของเจ้าไม่ได้บอกเช่นนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ทั้งในโลกยุคสมัยใหม่และในโลกยุคนี้ ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของนางคือผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านาง สิ่งใดก็ตามที่เยือกเย็นและสูงส่ง มักจะเป็นหายนะ!
ความทรงจำของนางถูกกกระตุ้นอย่างรุนแรง ประกอบกับส่วนที่อ่อนไหวบนร่างกายของนางนั้นถูกสัมผัสซ้ำไปซ้ำมา ต่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเทพเจ้า แต่จิตใจของนางก็ยังคงสับสนอยู่ดี
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่มีการขยับตัวเพื่อล่าถอย นางเพียงแค่ส่งเสียงเย้ยหยันเท่านั้น “ข้าไม่ใช่คนตาย ร่างกายของข้าก็ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นธรรมดา ท่านอยากให้ข้าลองทำกับท่านบ้างหรือไม่เล่า องค์ชาย ลองดูสิว่าท่านจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มมองคนที่เขากดรัดด้วยร่างกาย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า เจ้าอยากจะจับข้าขึงไว้ และทำเช่นเดียวกันกับข้าเช่นนั้นหรือ”
ใครคิดเช่นนั้นกันเล่า! เฮ่อเหลียนเวยเวยสูดหายใจเข้าลึก “ข้าต้องการให้ท่านปล่อยข้า”
“น่าเสียดายจริงๆ ข้ากำลังเฝ้ารอที่จะถูกเจ้ากักขังอยู่พอดี” นิ้วมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลื่อนไปสำรวจด้านบนขณะที่เขาพูด
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งเกร็ง แต่นางก็ไม่กล้าขยับขาเพราะกลัวว่าโซ่จะทำให้เกิดเสียงที่ตรงกับจังหวะท่าทางของพวกเขาทั้งคู่ในขณะนี้ นางไม่แน่ใจว่าตอนนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้นกับพฤติกรรมบ้าๆ ขององค์ชายสาม
นางเชื่อว่าการกระทำขององค์ชายในตอนนี้มีเหตุผลบางอย่าง นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านชอบเตียงมังกร ดังนั้น ข้าจึงไม่อยากที่จะเห็นมันอีก”
นิ้วมือของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดการเคลื่อนไหว เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว ขนตาสีดำยาวนั้นทำให้ผู้หญิงทุกคนต่างก็ต้องอิจฉา “หากเจ้าต้องการขายมันก็ไม่เป็นไร ข้าห้ามเจ้าหรืออย่างไรกัน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงฮึดฮัด แต่ไม่ได้พูดอะไร ท่านไม่ได้ห้ามข้าก็จริง แต่ท่านเพียงแค่ปิดกั้นแหล่งการค้าทั้งหมดของข้า
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
แต่ประเด็นสำคัญคือ
นางเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย เหตุผลที่นางตกลงแต่งงานในครั้งนี้ ก็เพื่อที่พวกเขาสองคนจะได้ร่วมมือกัน และไม่มีเรื่องอื่นๆ มาเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ทั้งนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นต้วนซิ่ว และแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ต้วนซิ่ว เขาก็คงไม่สนใจนางอยู่ดี
แต่ตอนนี้ นางจำเป็นต้องเตือนเขาว่า “องค์ชายลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้พวกเราลงนามในข้อตกลงกันมาแล้ว”
“แล้วถ้าข้าลืมเล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม แต่รอยยิ้มในครั้งนี้ของเขานั้นเยือกเย็น และมีความโกรธเคืองที่ถูกซ่อนเอาไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มตอบ “หากท่านลืม มันก็ไม่สนุกน่ะสิ”
อย่างไรก็ตาม นางไม่คาดคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่นางพูดเช่นนั้น
คอของนางชาวาบขณะที่ชายหนุ่มเอนตัวทับร่างกายของนาง ลมหายใจของเขาทำให้หูของนางรู้สึกเสียวซ่าน ทำให้นางอ่อนแรงไปทั้งตัว “บอกข้าสิว่าทำไมมันถึงไม่สนุก”
“ตัวอย่างเช่น ในตอนนี้” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดด้วยเสียงเย็นชาและแหบพร่าเล็กน้อย เพราะมือของเขากำลังลูบไล้นางเบาๆ ความร้อนที่ไหลผ่านจากปลายนิ้วมือของเขาเข้ามายังเส้นเลือดทุกจุดของนางนั้น ทำให้น้ำเสียงของนางเบาลง และเนื้อตัวสั่นสะท้าน
“อา ปฎิเสธข้าหรือ” จากภาษากายที่เข้มงวดของนางนั้น เขาก็เข้าใจการปฏิเสธของนางแล้ว รอยยิ้มที่สง่างามของเขาราวกับจะเผยให้เห็นถึงความเย็นชา “เฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าไม่ไม่ใช่คนฉลาดเลยแม้แต่น้อย”