ค่ำคืนปกคลุมไปทั่วเมืองหลวง ยามค่ำคืนนี้ไม่มีผู้ใดสามารถนอนหลับได้อย่างสงบ
ถึงแม้องค์รัชทายาทจะถูกฮ่องเต้เร่งเร้าให้จากไป แต่เขาไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย เขายังคงทรงงานอยู่ด้านนอกพระตำหนัก อีกทั้งให้คนไปทูลพระชายาว่าคืนนี้ไม่กลับไปบรรทม
พระชายาไม่แปลกใจที่องค์รัชทายาทไม่กลับมาบรรทม อีกทั้งไม่กังวลสิ่งใด
“เดิมทีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับองค์รัชทายาท” พระชายาตรัส “งานเลี้ยงองค์รัชทายาทไม่ได้เสด็จไป เกิดเรื่องจะโทษองค์รัชทายาทได้อย่างไร? ฝ่าบาททรงสับสนนัก”
เหยาฝูก้มหน้าถือมื้อดึกเข้ามา เพราะว่าองค์รัชทายาทตรัสว่านางยังมีประโยชน์ พระชายาจึงมีท่าทีต่อเหยาฝูดีขึ้นเล็กน้อย…สามารถเดินเข้ามาในห้องได้แล้ว
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เหยาฝูพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “เกรงว่าจะมีคนทูลคำประสงค์ร้าย ใส่ร้ายว่าองค์รัชทายาทอิจฉาองค์ชายสาม”
พระชายาหัวเราะ “องค์ชายสามมีสิ่งใดควรค่าให้องค์รัชทายาทอิจฉา ร่างกายที่อ่อนแอหรือ” นางรับถ้วยน้ำแกงมา ใช้ช้อนคนเบาๆ “จะบอกว่าสงสาร คงจะเป็นผู้อื่นที่น่าสงสาร งานเลี้ยงดีๆ ถูกองค์ชายสามทำลาย ร่างกายของเขาไม่ดี ไม่อยู่เฉยๆ ยังวิ่งออกมาสร้างปัญหาให้ผู้อื่น”
เหยาฝูพยักหน้า กระซิบเสียงเบา “คงเป็นเพราะเฉินตันจู องค์ชายสามจึงไปงานเลี้ยงนั้น เพียงแค่ต้องการไปพบเฉินตันจูเป็นการส่วนตัว”
ความคิดของชายหนุ่ม นางย่อมรู้ดีที่สุด
พระชายาระแวงต่อความคิดของเหยาฝูมากเช่นเดียวกัน ถือช้อนถลึงตาใส่นาง “เจ้าวางใจเถิด นอกจากครานี้องค์ชายสามตาย มิฉะนั้นฮ่องเต้ไม่มีทางลงโทษเฉินตันจู เวลานี้เฉินตันจูมีแม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นที่พึ่ง”
เหยาฝูก้มหน้าพึมพำ “ท่านพี่ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น”
พระชายาไม่อยากรู้ว่านางมีความคิดนี้หรือไม่ เพียงแค่เอ่ยไล่ “ออกไป”
เหยาฝูถือถาดก้มหน้าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว นางยืนอยู่ด้านนอกประตู หลบซ่อนอยู่ภายใต้แสงไฟ บนใบหน้าไม่มีความอับอายแม้แต่น้อย มองไปยังตำแหน่งของพระชายาพร้อมเบะปาก
เมื่อท้องฟ้าสดใสขึ้น องค์รัชทายาทที่อยู่นอกพระตำหนักวางพู่กันในมือลง ก่อนจะยืดตัวอยู่ด้านหลังกองฎีกา เคลื่อนไหวไหล่ที่ปวดล้า
ฝูชิงยกชาร้อนและของว่างเข้ามา ด้านหลังตามมาด้วยขันทีอีกหนึ่งคน เมื่อเห็นท่าทางขององค์รัชทายาท เขาพูดด้วยความปวดใจ “องค์รัชทายาท รีบพักเถิด”
อีกคนเป็นขันทีของฮ่องเต้ องค์รัชทายาทพยักหน้าต่อเขา ถามขึ้น “ซิวหยงเป็นอย่างไรบ้าง”
ขันทีนั้นรีบทูล “ฝ่าบาทให้กระหม่อมมาทูลว่าองค์ชายสามฟื้นแล้ว องค์รัชทายาทไม่ต้องกังวล”
องค์รัชทายาทผ่อนคลายลง ถือชาร้อนที่รับมาไว้แน่น “ดีแล้ว ดีแล้ว” เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง ราวกับต้องการไปเยี่ยมองค์ชายสาม แต่ก็ล้มเลิก “ซิวหยงเพิ่งฟื้น คงยังไม่พร้อมพบเจอผู้คน ข้าไม่ไปเยี่ยมดีกว่า เขาจะได้ไม่เหนื่อย”
ขันทีตอบด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทก็ตรัสเช่นนี้ องค์รัชทายาทกับฝ่าบาททรงเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ความคิดแบบเดียวกัน”
องค์รัชทายาทยิ้ม ขันทีนั้นทูลลา ฝูชิงเดินออกไปส่งด้วยตนเองเองแล้วกลับมา เห็นองค์รัชทายาทถือชาร้อนยืนอยู่ข้างโต๊ะ
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เขาถาม
ฝูชิงก้มหน้าลงกระซิบ “กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว “ไม่รู้?”
ฝูชิงก้มลงกระซิบอีกครั้ง “ข่าวจากทางเหนียงเหนียงคือ ของถูกใส่เข้าไปในชาแล้ว แต่ยังไม่ทันได้เสวย องค์ชายสามเสวยขนมแปะก๊วยจนอาการกำเริบเสียก่อน ช่าง…”
องค์รัชทายาทถือชาร้อนขึ้นเสวยอย่างช้าๆ สีหน้าราบเรียบ “ชาเล่า?”
ฝูชิงพูดเสียงเบา “วางใจพ่ะย่ะค่ะ เททิ้งแล้ว ไม่เหลือร่องรอย ถึงแม้เหยือกชาจะถูกเก็บเอาไว้ แต่ยานั้นอยู่เพียงภายในแก้ว”
องค์รัชทายาทดื่มชาอย่างช้าๆ ชาร้อนทำให้ใบหน้าอันเหนื่อยล้าของเขาผ่อนคลาย “ขนมแปะก๊วย ฝีมือผู้ใด”
ฝูชิงพูด “อาจเป็นฝีมือของเหล่าชนชั้นสูง บังเอิญยิ่งนัก”
องค์รัชทายาทไม่พูดสิ่งใด ยกชาดื่มจนหมดถ้วย ก่อนจะหมุนแก้วในมือ “คนจัดการแล้วหรือไม่”
“คนในสำนักพระราชวังตายไปสองคนพ่ะย่ะค่ะ” ฝูชิงพูด “เหนียงเหนียงตรัสว่าไม่อาจมีคนตายได้อีก มิฉะนั้นจะเกิดปัญหา เราจะต้องจัดการในภายหลัง”
องค์รัชทายาทตอบรับ วางถ้วยชาลง “กลับไปเถิด เสด็จพ่อทรงเหนื่อยมากแล้ว ข้าจะทำให้พระองค์กังวลไม่ได้”
ฝูชิงตอบรับ เดินตามองค์รัชทายาทจากไป องค์รัชทายาทนั่งบนเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังตำหนักภายใต้แสงในยามเช้า
ภายในตำหนักที่ถูกสาดส่องไปด้วยแสงแดด ฮ่องเต้เสวยอาหารเช้าเสร็จ นวดคลึงหน้าผากด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินขันทีกลับมาทูลว่าองค์รัชทายาทกลับตำหนักไปแล้ว
“ได้ยินว่าองค์ชายสามทรงฟื้นแล้ว จึงกลับไปพักผ่อน” ขันทีจิ้นจงทูล “องค์รัชทายาทรู้ดีที่สุด ไม่อยากให้ฝ่าบาทต้องกังวล”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ข้าบอกเขาเสมอตั้งแต่เด็กว่าเขาต้องปกป้องตัวเอง อย่าทำสิ่งใดที่จะทำร้ายร่างกายของตนเอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงไอดังขึ้นจากหลังม่าน ฮ่องเต้รีบลุกขึ้น ขันทีจิ้นจงวิ่งเหยาะๆ ไปเปิดม่านขึ้นก่อน สิ่งแรกที่เห็นคือองค์ชายสามก้มตัวไออยู่ข้างเตียง เสี่ยวชวีถือกระโถนเอาไว้ หลังจากเสียงกระแอมไอ องค์ชายสามอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำ
ฮ่องเต้ตกใจจนร้องเรียกหมอหลวง “เกิดสิ่งใดขึ้น”
หมอหลวงสองคนมองไปยังหญิงสาวเมืองฉีอย่างกระอักกระอ่วน
หญิงสาวเมืองฉีเดินขึ้นหน้าคุกเข่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันฝังเข็มให้องค์ชายสาม กระอักเลือดดำออกมาจะดีกว่าเพคะ”
ฮ่องเต้มองดูองค์ชายสามที่นอนกลับไปบนเตียงด้วยสีหน้าซีดดุจกระดาษขาว ริมฝีปากบางไร้สีเลือด ขมวดคิ้วตำหนิ “ก่อนใช้เข็มใช้ยาล้วนต้องทูลก่อน เจ้ากระทำเองได้อย่างไร”
หญิงสาวเมืองฉีก้มหน้าตัวสั่น “หม่อมฉันมีความผิดเพคะ”
ฮ่องเต้ต้องการพูดต่อ องค์ชายสามที่นอนหลับตาพึมพำอยู่บนเตียง “เสด็จพ่อ อย่าโทษนาง…นาง ช่วยกระหม่อมเอาไว้…”
เขายังพูดไม่จบ ฮ่องเต้ก็หยุดพูดแล้ว สีหน้าระอา บุตรชายคนนี้มีนิสัยที่อ่อนโยน รู้จักบุญคุณคน เขาก้มตัวลงข้างเตียง จับมือขององค์ชายสามเอาไว้ “ได้ๆๆ ข้าไม่โทษนาง” ก่อนจะมองหญิงสาวเมืองฉีที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครั้ง “รีบลุกขึ้นเถิด ขอบใจเจ้ามาก”
หญิงสาวเมืองฉีตอบรับว่าไม่กล้า ขันทีจิ้นจงตักเตือนให้นางรับฟังพระราชโองการ หญิงสาวเมืองฉีจึงลุกขึ้นอย่างเกรงกลัว
“เสด็จพ่อ” องค์ชายสามลืมตาขึ้น “กระหม่อมไม่เป็นอันใดแล้ว ให้กระหม่อมกลับตำหนักเถิด”
ฮ่องเต้ตำหนิ “เจ้ารีบร้อนอันใด! พักอยู่ในตำหนักของข้าก่อน”
องค์ชายสามตอบรับ ก่อนจะพยุงตัวขึ้น “เสด็จพ่อ ให้กระหม่อมอาบน้ำ กระหม่อมอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า…”
เกรงว่าจะทำให้เตียงมังกรเปรอะเปื้อนหรือ เฮ้อ ฮ่องเต้ระอา “ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี รีบร้อนอันใด”
องค์ชายสามขอร้อง “เสด็จพ่อ มิฉะนั้นกระหม่อมไม่อาจนอนได้”
ฮ่องเต้ทำได้เพียงมองหมอหลวง ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวเมืองฉี
เหล่าหมอหลวงเฉลียวยิ่งนัก จึงไม่พูด
หญิงสาวเมืองฉีก้มหน้าทูล “องค์ชายสามกระอักเลือดดำออกมา ไม่เป็นอันใดมากแล้ว เพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแรง สามารถถูกปรนนิบัติล้างตัวได้แล้วเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า ถัดจากห้องบรรทมคือห้องสรงน้ำ มีน้ำพุร้อน สามารถอาบได้ทุกเวลา เหล่าขันทีก้าวเข้าไปช่วยพยุงองค์ชายสามเข้าห้องสรงน้ำ ฮ่องเต้มองหญิงสาวเมืองฉีอีกครั้ง “เจ้าตามไป ดูองค์ชายเอาไว้”
หญิงสาวเมืองฉีตอบรับ ก่อนจะตามขึ้นไป
หลังจากเข้าห้องสรงน้ำ หญิงสาวเมืองฉีเดินขึ้นหน้าก็ช่วยปลดเสื้อผ้า องค์ชายสามกึ่งนั่งอยู่ ก้มมองเสื้อนอกที่ถูกปลดออก บริเวณแขนเสื้อมีรอยน้ำชา…
“เสื้อผ้าเหล่านี้สกปรกแล้ว” เขาหลับตาลงแล้วพูด “เสี่ยวชวี เอาไปทิ้งเสีย”
เสี่ยวชวีตอบรับ ก่อนจะหยิบเสื้อนอกขึ้นมาแล้วม้วนขึ้น
ทางหญิงสาวเมืองฉียื่นมือปลดเสื้อด้านใน สายตาขององค์ชายสามที่ถูกขันทีสองคนพยุงให้กึ่งนั่งจ้องไปยังด้านหน้าของหญิงสาวพอดี มองสร้อยอิงรั่วบนคอของนางส่ายไปมา เปล่งแสงระยิบระยับ
“เจ้าเป็นน้องสาวขององค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีหรือ?” เขาถาม
เมื่อเห็นหญิงสาวแปลกหน้าข้างกายหลังจากตื่นมา เสี่ยวชวีจึงทูลประวัติของอีกฝ่ายต่อเขาแล้ว แต่กระทั่งเวลานี้ถึงได้มีแรงถาม
เนื่องจากต้องปลดเสื้อด้านใน หญิงสาวเมืองฉีต้องเข้าใกล้อย่างมาก นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจขององค์ชาย หูทั้งสองข้างของนางแดงระเรื่อ ก้มหน้าพูดเสียงเบา “หม่อมฉันไม่กล้าถือตัวเป็นน้องสาวขององค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันเป็นบุตรสาวของตระกูลพระพันปี ถูกพระพันปีคัดเลือกมารับใช้องค์รัชทายาทเพคะ”
เสื้อผ้าถูกปลดออก ร่างเปลือยขององค์ชายสามปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา หญิงสาวเมืองฉีก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม คุกเข่าลงช้าๆ ปลดเสื้อผ้าด้านล่าง นางได้ยินเสียงถามจากด้านบน “เจ้าชื่ออันใด”
หญิงสาวเมืองฉีกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ปลดเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายขององค์ชายออก มองดูข้อเท้าเรียวของเขาพลางเอ่ย “หม่อมฉันชื่อหนิงหนิงเพคะ”