เด็กชายตอบออกไปแบบนั้น เพราะได้รับการปฏิบัติว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักครั้งหนึ่งแล้วต่อหน้าคนอื่น เขาเหลือบมองฟิลลิปราวกับจะบอกว่าไม่ต้องกังวล พวกเขาสบตากัน เขาวิตกกังวลเพราะฟิลลิปกำลังใช้สายตาที่สงบอย่างเย็นชาจ้องมองเด็กชาย
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ เราพูดอะไรผิดอีกแล้วเหรอ
เด็กชายเหงื่อซึมพร้อมกับรู้สึกกังวล
“ฮ่าๆๆ นั่นสิ คนอย่างนายจะไปสนิทกับฟิลลิปได้ยังไง กระต่ายน้อยปีเตอร์”
เฟร็ดพาดแขนลงบนไหล่ของปีเตอร์ก่อนจะกดน้ำหนักลงไป และพูดจาเหน็บแนม
“แล้วจะเอายังไงล่ะ”
ฟิลลิปเอ่ยถามเด็กชายอย่างกะทันหัน
“ครับ?”
“ปาร์ตี้น่ะ ฉันถามว่าจะมากี่โมง”
เขาไม่ได้ถามว่าจะมาหรือไม่มา แต่เปลี่ยนเป็นถามว่าจะมากี่โมงแทน ในระหว่างที่เด็กชายกระสับกระส่ายเพราะรู้สึกตื่นตระหนก เฟร็ดก็เอ่ยแทรกบทสนทนามาว่า “ปาร์ตี้อะไรเหรอ”
“ปาร์ตี้อาทิตย์หน้าน่ะ”
“นายเชิญเด็กนี่ไปที่นั่นเหรอ”
เฟร็ดตกใจและถามซ้ำ “เหอะ” พอฟิลลิปพยักหน้า เฟร็ดก็แสร้งหัวเราะ
“มาตรฐานของปาร์ตี้คงลดลงแล้วแน่ๆ ถึงได้เชิญทั้งหมา ทั้งวัวมาหมด”
ปลายนิ้วของเด็กชายที่กอดกระเป๋าอยู่สั่น
“ฮ่าๆๆ”
ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอียงคอ
“งั้นนายจะมาด้วยไหมล่ะ”
“ใคร? ฉันน่ะเหรอ จริงเหรอ”
เฟร็ดถามกลับตาเป็นประกาย แม้จะเป็นนักกีฬาในทีมฟุตบอลเดียวกัน แต่เฟร็ดที่เป็นตัวสำรองก็ต่างกับฟิลลิปที่เป็นควอร์เตอร์แบ็กตัวหลักราวฟ้ากับดิน แม้ตอนนี้จะพูดคุยราวกับสนิทสนมกัน แต่ปกติแล้วเฟร็ดไม่เคยพูดกับฟิลลิปเลย
ปาร์ตี้ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าเป็นงานที่ทุกคนอยากไปจนเขาถือเป็นเกียรติที่ตัวเองก็ได้รับเชิญ
“ฉันไปที่นั่นด้วยได้เหรอ”
“ก็ไม่ใช่ที่ที่นายจะไปไม่ได้นี่ เพราะทั้งหมาทั้งวัวก็มากันหมด”
“ฮ่าๆๆ งั้นไปกี่โมงดีล่ะ โคตรเจ๋งเลย”
เฟร็ดที่ไม่มีสมองพอที่จะเข้าใจคำพูดประชดประชันแกว่งกำปั้นอยู่กลางอากาศด้วยความดีใจ
“งานเริ่มตั้งแต่สองทุ่มจะมาตอนไหนก็ได้”
“เข้าใจแล้ว งั้นเจอกันวันนั้นนะ”
เฟร็ดที่ตื่นเต้นดีใจจนรูจมูกเกร็งโบกมือก่อนจะจากไป
พอเหลือกันอยู่สองคนอีกครั้ง ฟิลลิปก็ยิ้มกว้างและหันกลับมามองด้านหลัง
“แล้วนายมากี่โมงล่ะ?”
***
เด็กชายวางหนังสือที่อ่านอยู่ไว้บนตักและหยิบแซนด์วิชออกมาจากถุงกระดาษ ในจังหวะที่เขากำลังจะกัด มือที่ยื่นมาจากด้านหลังก็ฉวยแซนด์วิชไป
“…!”
“จะกินแล้วนะ”
ฟิลลิปนั่นเอง เขาเอาแซนด์วิชไปกัดกินอย่างหน้าตาเฉย หลังจากทำให้แซนด์วิชหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยการกินไม่กี่คำ เขาก็นั่งลงบนม้านั่งพร้อมกับมองเด็กชาย
“สวัส…ดีครับ”
เด็กชายเอ่ยทักทายโดยไม่ยอมสบตา
“ดูเหมือนจะยุ่งนะ ฉันเจอหน้านายได้ยากมากเลย”
“…เปล่า คือผม…”
‘จริงสิ แล้วจะมากี่โมงล่ะ?’
ตอนนั้นพอฟิลลิปหันกลับมามองพร้อมรอยยิ้มที่โชว์ฟันเรียงตัวสวย เด็กชายก็หายไปแล้ว
‘ฮ่าๆๆๆๆ’
ฟิลลิปยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง มันไม่น่าเชื่อจนเขารู้สึกโมโห หลังจากนั้นตอนเขาไปหาหลังเลิกเรียน เด็กชายก็ซ่อนตัวราวกับจะหลบหนี แม้จะลองไปรอที่ม้านั่งในช่วงพักกลางวัน แต่เด็กชายก็ไม่โผล่มา วันต่อไป และวันต่อต่อไปก็เหมือนกัน
ในที่สุดวันนี้ฟิลลิปก็ได้เจอเด็กชายที่มองไปรอบๆ ก่อนจะเดินมาหลังจากที่ผ่านช่วงพักกลางวันไปสักพักแล้ว
“ไม่มีเรียนเหรอ”
“…ครับ”
“แต่ฉันมี”
“ครับ?”
เด็กชายตกใจและเอ่ยถามซ้ำ ฟิลลิปยิ้มตาหยีก่อนจะพูดต่อว่า “ล้อเล่น” เด็กชายจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
นี่เป็นคำโกหกที่ไม่แนบเนียน ฟิลลิปโดดเรียนวิชาฟิสิกส์มาอยู่ที่นี่ ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมที่เขาจะขาดเรียนวิชาของคุณครูเมสันที่เช็กชื่อคนเข้าเรียนอยู่เสมอ และมารอเด็กชายที่นี่เลยสักนิด เขาก็แค่โคตรจะโมโหเลยจริงๆ เท่านั้นเอง
“ยังต้องการเวลาคิดอยู่อีกเหรอ”
ฟิลลิปยิ้มพลางเอ่ยถาม เด็กชายกลอกดวงตากลมโตไปทางด้านข้างและพูดอ้อมแอ้มว่า “ครับ”
นี่เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย แม้จะไม่ชอบท่าทีของเด็กชายที่ชอบในอะไรสักอย่างของประเทศที่พ่อแม่ที่ทิ้งไปอาศัยอยู่และยิ้มอย่างไร้เดียงสาก็จริง แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะพูดถึงขนาดนั้น
ทั้งการที่เขามองเห็นน้ำตาของเด็กชายที่ได้รับความเจ็บปวดจากคำพูดนั้น การที่ภาพนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด และการชวนไปงานปาร์ตี้ ทุกอย่างเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากที่เขาคิด แต่สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในความคิดของเขามากกว่าอะไรทั้งหมดคือปฏิกิริยาของเด็กชายที่ได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้
การเชิญไปงานปาร์ตี้ไม่ได้มีความหมายยิ่งใหญ่อะไร ถ้าอีกฝ่ายตื่นเต้นดีใจและยิ้มเหมือนกับพวกทึ่มที่ได้รับเชิญให้ไปงานปาร์ตี้ก็จบแล้ว แต่เด็กชายกลับทำหน้าซีดเหมือนคนที่ได้รับหมาตายเป็นของขวัญ และรีบหลบสายตาทันทีที่ได้รับคำเชิญ
“คือผม ผม…”
เด็กชายยังคงพูดตะกุกตะกักด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ดีใจเลยสักนิด
แม่งเอ๊ย ทำตัวน่าหงุดหงิดจังวะ
ฟิลลิปกดความหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาและทำตาหยี
แม้กระทั่งไอ้หมูตอนเฟร็ดที่โง่จนไม่รู้ว่าจะมีหัวไปทำไมยังดีใจที่ได้รับคำเชิญ และทำตัวบ้าๆ เลย แล้วปฏิกิริยาแบบนี้คืออะไรกันแน่ แถมไอ้เด็กนี่ยังไม่ยอมสบตาเขาตอนคุยด้วย มิหนำซ้ำยังเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาเป็นประกายตอนที่เฟร็ดโผล่มาอีก
“อื้อ ลองพูดมาสิ”
“ยังไงคนแบบผมก็ไม่ควรไปที่แบบนั้น…”
“ที่แบบนั้นคืออะไร”
“…”
เด็กชายไม่สามารถเอ่ยปากพูดได้ในทันที
แม้จะไม่มีคนที่พูดถึงการแบ่งแยกเชื้อชาติออกมาตรงๆ แต่ภายในโรงเรียนก็มีการแบ่งชนชั้นที่มองไม่เห็นอยู่ คนขาวก็จะอยู่กับพวกคนขาว คนเอเชียตะวันออกก็จะอยู่กับพวกคนเอเชียตะวันออก และคนลาตินก็จะอยู่กับพวกคนลาติน แทบจะไม่มีการรวมกลุ่มแบบผสมเชื้อชาติเลยด้วยซ้ำ
แต่ก็จะมีคนที่ก้าวข้ามเส้นพวกนั้นได้อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่บ้าง และฟิลลิป เลวินก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเป็นคนดังของโรงเรียน และไม่ว่าใครก็อยากจะอยู่ในกลุ่มของเขา ตรงข้ามกับเด็กชายที่เป็นคนต่างชาติที่ไม่สามารถอยู่ที่ไหนได้เลย ต่อให้บอกว่าจะมางานปาร์ตี้ในครั้งนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะจริงๆ และคนทั้งคู่ก็รู้ความจริงข้อนั้นดี
“งั้นก็เข้าใจแล้ว”
พอฟิลลิปตอบอย่างใจกว้าง เด็กชายก็ทำสีหน้าโล่งใจ
“ถ้าต้องการเวลาคิดก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่นา”
ฟิลลิปเอนตัวนอนบนม้านั่ง และนอนหนุนตักของเด็กชายทั้งอย่างนั้น เขารู้สึกได้ว่าตัวของเด็กชายเกร็ง
“…เอ่อ…”
“ขอนอนงีบหนึ่งนะ แล้วฉันจะลุก”
เขาทั้งเอาแต่ใจและดื้อรั้น
เขานึกว่าถ้าทำแบบนี้ เด็กชายจะทำตัวไม่ถูกและต้องบอกว่าจะไปอย่างแน่นอน แต่เด็กชายกลับมีท่าทีหนักใจ และไม่ยอมตอบว่าจะมางานปาร์ตี้
ฟิลลิปลืมตาข้างหนึ่งและพูดว่า “ถ้าคิดเสร็จแล้วปลุกด้วยนะ” ก่อนจะหลับตาลงไปตามเดิม เขาได้ยินเสียงร้องโอดครวญอยู่เหนือศีรษะ ไม่รู้ทำไมเสียงนั้นถึงเหมือนกับเสียงของลูกสุนัขที่ร้องหงิงๆ จนทำให้ฟิลลิปหัวเราะออกมา
เขาจดจำเรื่องที่ว่าอย่าแกล้งอะไรก็ตามที่ยังเด็กและอ่อนแอได้ขึ้นใจ เพราะมันสร้างความรำคาญให้เขา แต่ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้น เขากลับไม่รู้สึกว่าอยากจะหยุดง่ายๆ
“…หลับแล้วเหรอครับ”
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กชายก็เอ่ยถามด้วยเสียงเบาๆ ฟิลลิปแกล้งทำเป็นหลับ และไม่ยอมแสดงปฏิกิริยาใดๆ ทั้งๆ ที่ตื่นอยู่
“ห้ามหลับนะ…เฮ้อ…”
คำพูดที่พูดพึมพำคนเดียวอย่างกระวนกระวายใจตามมาด้วยเสียงถอนหายใจ เขาได้ยินเสียงเด็กชายที่ถอนหายใจเงียบๆ หยิบหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมาและพลิกหน้ากระดาษ
ไม่อยากจะเชื่อ บางครั้งเด็กชายก็ทำพฤติกรรมที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน คิดที่จะอ่านหนังสือในสถานการณ์ที่ฉันยังนอนหนุนตักนายอยู่เนี่ยนะ? เขาแยกไม่ออกแล้วว่าอีกฝ่ายขี้กลัวหรือใจกล้ากันแน่
ฟิลลิปกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ทั้งที่ยังหลับตาอยู่
กลิ่นของต้นไม้ที่ชุ่มชื้นเพราะฝนที่ตกลงมาเมื่อวานลอยเข้ามาผสมกับกลิ่นตัวจางๆ ของเด็กชาย กลิ่นที่ละมุนละไมและนุ่มนวลลอยออกมาจากตัวของเด็กชายต่างจากไอ้พวกชมรมกีฬาที่มีแต่กลิ่นเหงื่อ
สิ่งที่ยังเป็นเด็กและอ่อนแอมักจะปล่อยกลิ่นออกมาเพื่อให้ได้รับความรักตามสัญชาตญาณ ฟิลลิปไม่เคยถูกกลิ่นแบบนั้นขโมยหัวใจได้เลยสักครั้ง ทั้งหมดที่เขาทำคือระงับความต้องการอันแสนโหดร้ายไม่ให้บีบสิ่งที่อ่อนแอพวกนั้นให้แหลกคามือเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกถึงความต้องการแบบนั้นเลย
ใบไม้ปลิวไปพร้อมกับสายลม แสงแดดที่เจิดจ้าส่องเข้ามายังดวงตาที่ปิดสนิท สติที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปทำให้เขาผ่อนคลายไปหมดทั้งตัว นี่เป็นความสงบที่สมบูรณ์แบบจนงดงามอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ
ตอนที่ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เข้ามาในสายตาเป็นอันดับแรกคือแก้มของเด็กชายที่แดงระเรื่อ มันสุกราวกับลูกพีชที่พอกัดไปแล้วจะมีความชุ่มฉ่ำออกมา
ฟิลลิปหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะลืมตาขึ้น คราวนี้เขามองเห็นฝ่ามือของเด็กชายที่บังแถวๆ ใบหน้าของตนไว้
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
เด็กชายลดมือลงและเอ่ยถาม เพราะรู้สึกถึงการขยับตัว แสงแดดที่ใบไม้ไม่สามารถบังไว้ได้โดนใบหน้าของฟิลลิปโดยตรง
“อ๊ะ ขอโทษครับที่อยู่ๆ ก็เอามือลง”
พอเห็นฟิลลิปที่เพิ่งตื่นนอนขมวดคิ้ว เด็กชายก็กระวีกระวาดยกมือขึ้นมาตามเดิม
แล้วฟิลลิปก็ได้รู้ว่าทำไมเด็กชายถึงได้ยกมือขึ้นมาราวกับถูกทำโทษด้วยท่าทางที่น่าหัวเราะแบบนั้น เพื่อไม่ให้แสงแดดโดนหน้าของเขาในขณะที่นอนหลับ เด็กชายจึงยกมือขึ้นมาบังให้อยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งใบหน้ากลายเป็นสีแดง
เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เด็กชายปฏิบัติต่อฟิลลิปเหมือนเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการปกป้องอย่างเต็มใจ แม้การดูแลที่เงอะงะนั้นจะดูไม่น่าเชื่อจนเขาหัวเราะออกมาในตอนแรก แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้รู้สึกอารมณ์ไม่ดี
ไม่สิ แทนที่จะอารมณ์ไม่ดี เขากลับ…
“…”
“…”
พวกเขาสบตากัน
เขาทั้งคู่จ้องหน้ากันโดยไม่กะพริบตาเลยสักครั้ง เขาต้องพูดล้อเล่นอะไรสักอย่างเพื่อทำให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดใจนี้หายไป ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่ฟิลลิปก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
สายตาของเขาเกาะติดอยู่ที่เด็กชายอย่างพอดิบพอดี
แก้มที่แดง เพราะแสงแดดของช่วงต้นฤดูร้อนที่สาดส่องลงมากับขนตาที่ยาว เส้นผมที่เป็นประกายเพราะแสงแดด และริมฝีปากเล็กๆ ที่เผยอออกเล็กน้อย
ความรู้สึกรุนแรงที่เขาไม่รู้จักที่มาพุ่งขึ้นมาจนถึงด้านในลำคอ
“ถ้าตื่นแล้วผม…”
เด็กชายเกร็งหน้าตักและเอนไหล่ไปด้านหลังราวกับจะขอร้องให้เขาลุกขึ้นเสียที การกระทำนั้นทำให้เหงื่อที่เกาะอยู่ที่หน้าผากของอีกฝ่ายไหลลงมาตามแก้ม และหยดลงบนริมฝีปากของฟิลลิป
กลิ่นเหงื่อที่รู้สึกได้อย่างเลือนรางทำให้ฟิลลิปตาพร่าในทันที ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่พุ่งขึ้นมาจนถึงลำคอของเขาคือความกระหายที่รุนแรง พอตั้งสติได้ เขาคว้าข้อมือของเด็กชายไว้แล้ว
“…”
ความมึนงงและความรู้สึกไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นในดวงตากลมโตของอีกฝ่าย เด็กชายตัวสั่นราวกับลูกสัตว์เล็กๆ ที่เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน และยังไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะปกป้องตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ความปรารถนาต่างๆ ที่ควบคุมไม่ได้เริ่มวิ่งไปมาอย่างไม่รู้ทิศทาง เขาเกร็งมือที่กำข้อมือของเด็กชายไว้ ร่างของอีกฝ่ายที่สู้แรงของเขาไม่ได้เอนมาด้านหน้า ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ตอนนั้นเอง
“ฟิลลิป!”