เสียงแหลมสูงดังมาจากด้านล่างนั่น เด็กชายสะดุ้งตกใจราวกับโดนไฟจี้ เขาสะบัดมือของฟิลลิปและลุกขึ้น ในระหว่างนั้นหนังสือของเด็กชายที่วางอยู่ตรงม้านั่งก็ร่วงลงพื้น
“ฟิลลิป ฉันหาตั้งนานแหนะ มาทำอะไรอยู่ในที่แบบนี้”
ฟิลลิปค่อยๆ ลุกจากม้านั่ง
“แล้วทำไมถึงปิดโทรศัพท์มือถือล่ะ ฉันส่งข้อความหาตลอด แต่นายไม่ยอมอ่านเลย”
เจน่าตำหนิฟิลลิปโดยไม่หยุดหายใจ ฟิลลิปเสยผมที่ยุ่งขึ้นไปก่อนจะถอนหายใจ
“ทำไมถึงโดดเรียนคาบของคุณครูเมสัน…”
ตอนนั้นเองเด็กชายที่กำลังก้มตัวลงไปเก็บหนังสือบนพื้นก็เข้ามาในสายตาของเด็กสาวที่กำลังพูดอยู่
“แล้วทำไมเด็กนั่นถึงอยู่ที่นี่”
ลักษณะการพูดที่เหมือนกับเห็นสิ่งของน่าเกลียดที่ไม่สมควรจะอยู่ตรงนี้ทำให้เด็กชายสะดุ้งและก้มหน้า
“ฮ่าฮ่า”
ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงและลืมตาขึ้น เขารู้สึกเหมือนถูกจับไอ้นั่นไว้ก่อนจะเสร็จ
“ว่าแต่เธอมีธุระอะไรที่นี่ล่ะ แล้วเธอรู้ได้ยังไง”
ดวงตาของเขาที่ยิ้มจนเรียวเล็กนั้นเป็นประกายอย่างเยือกเย็น
“ก็ลุคบอกว่าเห็นนายขึ้นมาที่นี่หลายครั้งน่ะสิ ว่าแต่โคลอี้บอกว่าตัวเองจะไปงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นสุดสัปดาห์นี้ในฐานะคู่ควงของนาย จริงหรือเปล่า”
“ขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อที่จะถามเรื่องนั้นเหรอ”
ฟิลลิปเอียงคอถาม
“นายบอกว่าเลิกกับโคลอี้แล้วนี่ นายคงไม่ได้โกหกแบบนั้นเพื่อที่จะนอนกับฉันสักครั้งหรอกใช่ไหม”
เด็กสาวข่มความโกรธไว้ไม่ได้ และแผดเสียงออกมา
“ตอบสิ อย่ามาเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นนะ!”
ฟิลลิปลุกขึ้นและย่างสามขุมไปตรงหน้าเจน่า เนื่องจากไหล่ที่กว้างเป็นพิเศษ ยิ่งระยะห่างแคบลง ความน่าเกรงขามก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว เจน่าเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวและเงยหน้าขึ้นมองเขา
“เจน่า”
ฟิลลิปทัดผมให้เธอก่อนจะพูดต่อ
“ฉันไม่มีทางโกหกแบบนั้นเพื่อที่จะนอนกับเธอหรอก”
น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำและหวานราวกับกลิ่นของดอกไลแลคที่อยู่ในสายลมอ่อนๆ ที่ปลุกให้ฤดูใบไม้ผลิตื่นขึ้น แต่ไม่รู้ทำไมเจน่าถึงรู้สึกเหมือนกับถูกกระแสลมหิมะจากทางเหนือที่ทำให้เส้นผมแข็งเป็นน้ำแข็งพัดใส่ทั้งตัว เธอรีบก้มหน้าลง
“…เลิกกับโคลอี้แล้วจริงๆ ใช่ไหม”
“อื้อ”
เขาโกหก เขาไม่สามารถเลิกได้ เพราะไม่เคยคบตั้งแต่แรก และกับเจน่าก็เหมือนกัน
“งั้นสุดสัปดาห์นี้…”
เจน่าเงยหน้าขึ้นมาพูดต่อ และสบตากับเด็กชายที่มองมาทางนี้อย่างเหม่อลอย
“อะไรเนี่ย ทำไมยังอยู่ตรงนั้นอยู่อีก”
พอเห็นเด็กสาวนิ่วหน้า เด็กชายก็สะพายกระเป๋าอย่างลนลาน หนังสือที่ยัดเข้าไปได้อย่างยากเย็นหล่นออกมาตามเดิมผ่านช่องว่างของกระเป๋าที่ไม่สามารถปิดได้
“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจะไปแล้ว…”
เด็กชายเอ่ยคำขอโทษที่ไม่รู้ว่าบอกใคร และเริ่มเก็บสมุดโน้ตและหนังสืออีกครั้ง ปากกาด้ามหนึ่งกลิ้งมาอยู่ที่ปลายเท้าของฟิลลิป แม้จะรู้ แต่เขาก็จงใจไม่เก็บ เพราะจู่ๆ เขาก็คิดว่าอยากจะเห็นหัวกลมๆ ของเด็กชายขยับอยู่ตรงปลายเท้าของตัวเอง
เด็กชายยืนกำกระเป๋า ไม่กล้าเดินเข้าไปตรงหน้าของคนทั้งสองคน ฟิลลิปก้มมองข้อมือบางๆ ของอีกฝ่ายที่สามารถทำให้หักได้หากบีบแรงๆ ก่อนจะพูดด้วย
“รู้ไหมว่าบ้านของฉันอยู่ที่ไหน”
“…พอจะรู้อยู่บ้าง”
ฟิลลิปยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้
เด็กชายลังเล แล้วเขาก็รับโทรศัพท์มือถือมาพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป
ความมั่นใจของเจน่าถูกทำลาย
ไม่มีใครในละแวกนี้ที่ไม่รู้ว่าคฤหาสน์ของตระกูลเลวินอยู่ที่ไหน หากอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง การกระทำของเขาในตอนนี้ต้องเป็นแผนการเพื่อให้ได้เบอร์โทรศัพท์อย่างแน่นอน
แม้ฟิลลิป เลวินที่เหมือนจะมีตัวหนังสือว่า ‘พวกรักต่างเพศ’ เขียนแปะไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าจะไม่มีทางชอบผู้ชาย แต่ความจริงที่ว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตัวเองและไปสนใจคนอื่น อีกทั้งคนอื่นที่ว่านั่นยังเป็นพวกเนิร์ดธรรมดาๆ จนน่าประหลาดทำให้เด็กสาวอารมณ์เสีย
“ดูๆ ไปแล้วนายเป็นน้องของแอรอนใช่ไหม”
เจน่าหรี่ตาพร้อมกับพูดราวกับนึกอะไรบางอย่างออก
“…เป็นพี่ชายครับ”
เด็กชายเอ่ยตอบเสียงเบา
“แต่ดูไม่เหมือนแอรอนเลยสักนิด”
“…ครับ”
เสียงของเด็กชายที่เอ่ยตอบแบบนั้นเบาราวกับคนที่ทำความผิด เป็นปฏิกิริยาที่ต่างกับคืนวันนั้นที่ทำตาเป็นประกายและบอกว่าน้องชายเรียนเก่ง เล่นกีฬาเก่ง และเท่จริงๆ ต่างจากตัวเองอย่างสิ้นเชิง
“อ๋อ จริงด้วย มีแต่นายเท่านั้นนี่นาที่เป็นแบบนั้น”
เด็กสาวพยักหน้าราวกับรู้สึกเห็นใจจริงๆ และกระซิบข้างหูฟิลลิปราวกับพูดความลับที่ยิ่งใหญ่
“น่าเห็นใจนะ เห็นว่ามีแต่เด็กนั่นที่ถูกรับมาเลี้ยงน่ะ”
นี่เป็นเสียงที่ไม่ใช่แค่ฟิลลิปเท่านั้น แต่เด็กชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็น่าจะได้ยินอย่างชัดเจน
เพราะมีผิวขาว ใบหน้าของเด็กชายจึงแดงขึ้นมาทันที สีหน้าที่แสดงออกมาทั้งหมดแม้อารมณ์จะเปลี่ยนไปแค่เล็กน้อยทำให้เขารู้สึกเห็นใจ แต่สิ่งที่แดงไม่ได้มีแค่ใบหน้าเท่านั้น เพราะตรงบริเวณดวงตาที่มีน้ำตาคลออยู่ก็แดงเช่นกัน น้ำตานั้นไหลอาบแก้มและเปียกเสื้อ
ใบหน้าตอนร้องไห้ของเด็กชายสวยอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นตากับปลายจมูกกลมๆ ที่แดงขึ้นมา หรือหยดน้ำตาใสๆ ที่เอ่อคลอก่อนจะหล่นลงมาก็ตาม
เมื่อเห็นผู้ชายร้องไห้ เขาควรจะรู้สึกหงุดหงิด แต่นี่อย่าว่าแต่หงุดหงิดเลย ต่อให้เห็นอีกหลายครั้งเขาก็ไม่รู้สึกเบื่อ
“…ผมขอตัวก่อนนะครับ”
เด็กชายรีบยกกระเป๋าขึ้นและวิ่งลงเนินไป เพราะกลัวว่าจะถูกเห็นใบหน้าตอนร้องไห้ พอเหลือกันอยู่สองคนเจน่าก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ฟิลลิป”
พอฟิลลิปหันกลับมาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย หญิงสาวก็พูดต่อ
“สุดสัปดาห์นี้ช่วยมารับฉันที่หน้าบ้านตอนหนึ่งทุ่มหน่อยนะ เพราะพ่อบอกว่าอยากจะเจอนายสักครั้งน่ะ”
เจน่าเป็นลูกสาวคนเดียวที่แสนล้ำค่าของท่านประธานหวัง ผู้เป็นเศรษฐีที่มีอำนาจทางการเงินในด้านอสังหาริมทรัพย์ เธอเชื่อว่าหากเป็นฟิลลิป เลวิน เธอก็จะสามารถอวดพ่อได้อย่างภาคภูมิใจ เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ตรงกับมาตรฐานของตัวเอง
ฟิลลิปไม่ตอบ เขาก้มลงไปหยิบปากกาที่กลิ้งมาอยู่ตรงปลายเท้าของตัวเองขึ้นมา แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่สำคัญอะไร แต่เพราะแขนและขาที่ยาวจึงทำให้ดึงดูดสายตา เด็กสาวมองฟิลลิป เลวินอย่างเหม่อลอย
“ว่าแต่เจน่า”
พอฟิลลิปเรียกชื่อ เด็กสาวก็รีบปรับสีหน้าและตอบว่า “หืม?”
“เธอรู้จักน้องของเด็กคนนั้นได้ยังไง”
“ก็แอลลี่น้องของโคลี้เคยคบกับน้องชายของเด็กนั่นอยู่พักหนึ่งน่ะ พอได้ยินว่าพี่ชายอยู่โรงเรียนเดียวกัน คนอื่นๆ ก็เลยไปดูเพราะตื่นเต้น แต่ก็อย่างที่เห็น เพราะสภาพแบบนั้น คนอื่นๆ หัวเราะแล้วก็ถามว่ามีแค่พี่ชายหรือเปล่าที่ถูกรับมาเลี้ยง พอได้ยินเรื่องนั้นแอรอนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย เขาเลิกกับแอลลี่เพราะเรื่องนั้นแหละ ใครจะไปรู้ล่ะว่าถูกรับมาเลี้ยงจริงๆ”
เขาพอจะเดาสาเหตุได้แล้วว่าทำไมพอพูดถึงเรื่องน้องชาย เด็กชายต้องทำหน้าหวาดกลัวขนาดนั้นด้วย ฟิลลิปครางรับในลำคอ ก่อนจะยกยิ้มมุกปากแล้วพูดต่อ
“แต่เขาห้ามพูดเรื่องแบบนั้นต่อหน้าเจ้าตัวไม่ใช่เหรอ”
“เรื่องอะไร อ๋อ เรื่องนั้น”
เด็กสาวยักไหล่ให้หนึ่งทีก่อนตะพูดต่อ
“ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าเด็กนั่นถูกรับมาเลี้ยง”
หลังจากเหลือบมองไปทางที่เด็กชายจากไป ฟิลลิปก็เคาะดินที่เปื้อนปากกาออก
“แต่ฉันไม่รู้เลยนะ?”
ฟิลลิปทำแววตาซื่อตรงที่สุดในโลกและพูดโกหกออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“แล้วยังไงล่ะ มันเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่อะไรหรือไง”
มันไม่ใช่ความลับที่ยิ่งใหญ่ หากดูจากการที่เด็กชายพูดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อนอย่างไม่ปิดบัง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กชายควรจะร้องไห้ หรือกระทบกระเทือนจิตใจ เพราะเด็กคนนั้นเป็นเด็กขี้แยที่ร้องไห้ได้ง่ายอยู่แล้ว
เว้นแต่ว่า
“เรื่องที่โคลอี้เล่าเป็นเรื่องจริงสินะ”
“เรื่องอะไรเหรอ”
ฟิลลิปทำตายิ้มอย่างนุ่มนวลที่สุด มันเป็นตายิ้มที่สวยงามพอที่จะถูกเรียกว่า ‘เจ้าชายของวู้ดสัน’
“ก็เรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงหยาบคายไง”
เขาไม่ได้อารมณ์ดีเลยสักนิดกับการเห็นเด็กชายร้องไห้เพราะคนอื่น
***
ฟิลลิปเข้ามาในห้องและวางกระเป๋าลงอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง
โคลอี้จับมือฟิลลิปและลากไปที่มุมตึกทันทีที่คาบเรียนจบ หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบๆ ไม่มีคน เด็กสาวก็พุ่งเข้าใส่ราวกับรออยู่แล้วพร้อมกับตะคอก
‘นายบ้าไปแล้วเหรอ ฉันไปพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร ทำไมต้องใช้คำพูดที่ไม่ควรพูดทำให้คนอื่นดูโง่ด้วย’
เห็นได้ชัดว่าเจน่าที่โวยวายอยู่พักใหญ่และพยายามจะตบหน้าฟิลลิปแต่ทำไม่สำเร็จไปลงที่ใคร
‘ทำให้คนอื่นดูโง่ ฉันน่ะเหรอ?’
ฟิลลิปเอียงคอพลางเอ่ยถาม
‘ก็ที่นายไปพูดเรื่องไร้สาระกับเจน่าไง’
ฟิลลิปพูดว่า ‘อ๋อ เรื่องนั้นเอง’ พร้อมกับยิ้มตาหยี
‘ฟิลลิป เลวิน!’
ทำไมพวกผู้หญิงที่โกรธถึงได้เรียกเราด้วยชื่อเต็มแบบนี้ทุกครั้งเลยนะ ฟิลลิปก้มมองโคลอี้ที่ตัวสั่นและมองตัวเอง และยิ้มอย่างสุขุม
‘ฉันไปพูดแบบนั้นตอนไหน!’
โคลอี้ไม่เคยเรียกเจน่าว่านังผู้หญิงหยาบคายตรงๆ เธอแค่พูดว่าเจน่าเป็นผู้หญิงที่โลภมาก เห็นแก่ตัว และคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกเท่านั้น
บทสนทนาส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นด้วยการพูดว่า “ฉันรู้ดีกว่าใคร เพราะฉันสนิทกับเธอ” มักจะต่อด้วยการพูดจาว่าร้ายเจน่า
‘นั่นสิ ฉันจำไม่ได้เลย’
‘ในเมื่อจำไม่ได้ แล้วทำไมต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบไม่ได้ด้วยล่ะ ไปบอกเจน่าเลยนะว่านายพูดไปเรื่อย! รู้ไหมว่าฉันดูประหลาดแค่ไหนเพราะคำพูดของนาย’
‘จริงด้วย ดูเหมือนความจำของฉันจะไม่ค่อยดีเท่าไร ถึงขนาดจำหน้าคนไม่ค่อยได้เลย’
‘จู่ๆ ก็พูดอะไรน่ะ’
‘ก็ฉันเจอคลิปสนุกๆ จากกล่องดำน่ะสิ คลิปที่ถ่ายใครบางคนที่เอาตะปูมาทิ่มยางรถยนต์ของฉันน่ะ ฮ่าฮ่า’
กล่องดำของเฟอร์รารี่ไม่ใช่ระบบบันทึกภาพต่อเนื่อง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่มีความคิดที่จะเปิดดูอย่างละเอียดเลยสักนิด แต่โคลอี้ไม่มีทางรู้ความจริงข้อนั้น ใบหน้าของเธอซีดเผือด
‘ไม่ว่าจะมองยังไงฉันก็นึกไม่ออกเลยว่าเป็นใคร ฉันก็เลยคิดว่าจะเอาลงโฮมเพจของโรงเรียนดีไหม เธอคิดว่ายังไงล่ะ’
พอฟิลลิปถาม โคลอี้ก็พูดไม่ออกและได้แต่กัดริมฝีปาก เธอรู้ดีว่าหากคลิปที่เธอนอนคว่ำหน้าลงกับพื้นและใช้ตะปูเจาะยางรถยนต์ถูกเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของเธอจะเป็นอย่างไร
โคลอี้พูดบทที่ไม่สามารถหาความแปลกใหม่ได้เลยว่า ‘ฟิลลิป นายมันเฮงซวยจริงๆ เลย’ ก่อนจะจากไป
ตั้งแต่นั้นเขาก็ได้ยินข่าวลือว่าโคลอี้กับเจน่าแตกคอกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องที่เจน่าพูด เหมือนจะบอกว่าตื่นเต้นที่เด็กนั่นมีพี่ชายก็เลยไปมุงดูและรุมหัวเราะเยาะ
…ตอนนั้นก็คงจะร้องไห้เหมือนกันสินะ
พอนึกถึงเด็กชายที่ร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆ คนเดียวเหมือนคนโง่ เขาก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ฟิลลิปหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากเสื้อที่โยนทิ้งไป และหาเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกเอาไว้เมื่อกี้
[หวัดดี]
ผ่านไปไม่นานก็มีข้อความตอบกลับจากเด็กชายส่งกลับมา
[ครับ สวัสดีครับ…คุณเป็นใครครับ]
ไอ้คนหยาบคาย
ฟิลลิปยิ้มก่อนจะขยับนิ้ว
[คิดว่าใครล่ะ]
ผ่านไปไม่นานก็มีข้อความถามซ้ำกลับมาว่า [ฟิลลิป??]
[ดูเหมือนนายจะรอการติดต่อจากคนอื่นนอกจากฉันนะ ถ้าดูจากการที่นายใส่เครื่องหมายคำถามมาสองอันน่ะ]
[เปล่าครับ คือผมไม่คิดว่าจู่ๆ คุณจะส่งข้อความมาหา…สวัสดีครับ]
ฟิลลิปหัวเราะกับคำทักทายที่อีกฝ่ายพิมพ์ทิ้งท้ายอีกครั้ง
[ทำอะไรอยู่]
[การบ้านครับ การบ้านวิชาไวยากรณ์]
[ขอโทษที่รบกวนเวลาที่แสนสนุกนะ]
[ไม่เลยครับ! ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยครับ…ไม่สนุกเลยครับ]
เขานึกใบหน้าใสซื่อที่คงจะทำตัวไม่ถูกกับคำพูดล้อเล่นที่พูดไปอย่างนั้นและกำลังตอบกลับมา ฟิลลิปกระตุกยิ้มพร้อมกับนอนคว่ำหน้าบนเตียง ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อย่างไรดี ก็มีข้อความจากเด็กชายส่งเข้ามา
[เมื่อกี้ผมขอโทษนะครับ คุณคงจะลำบากเพราะผม]
ฟิลลิปอ่านข้อความนั้น และเช็กชื่อผู้ส่งอีกครั้ง
เขาพิมพ์ว่า ‘ทำไมต้องเป็นนายด้วยล่ะ’ แล้วก็ลบ จากนั้นเริ่มขยับนิ้วอีกครั้ง
[ใช่แล้ว ฉันลำบาก]
คำตอบถูกส่งกลับมาทันทีที่เขาได้ยินเสียงข้อความถูกส่งไป
[ขอโทษครับ ผมจะไปขอโทษแฟนของคุณด้วยตัวเองเองครับ]