รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 275 เซี่ยเหยียน ลงมือเบา ๆ หน่อย

บทที่ 275 เซี่ยเหยียน ลงมือเบา ๆ หน่อย

บทที่ 275 เซี่ยเหยียน ลงมือเบา ๆ หน่อย

ขอบเขตเทวาทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด ภาพการณ์สยดสยองน่าหวาดหวั่น แม้แต่ฟ้าดินยังเปลี่ยนสี เสียงระเบิดดังอยู่ในมิติแห่งนี้ไม่หยุดหย่อน พลังกระแทกเป็นหลุมใหญ่หลุมแล้วหลุมเล่า!

คลื่นพลังที่ซัดสาดยังแฝงไว้ซึ่งฤทธิ์ทำลายล้าง ยอดเขาในรัศมีพันลี้ทลายจนสิ้น ก้อนหินกลิ้งถล่มกันระนาว

รถลากเปล่งประกายนุ่มนวล ปัดป้องพลังทั้งหมดที่โถมเข้ามาได้ อสูรทั้งเก้าที่ลากรถอยู่ด้านหน้าก็ได้รับการคุ้มครองเช่นกัน ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

พวกมันถึงเบาใจ ก่อนหน้านี้พวกมันเป็นกังวลอยู่ตลอดว่าอาจตายด้วยคลื่นพลังดุดันนี้

สุดยอด!

สมกับเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักไท่หัว!

เมื่อได้เห็นพลังแกร่งกล้าของเซี่ยเหยียนอีกครั้ง ความกังวลของหลี่จิ่วเต้ามลายหายไปจนสิ้น

อสูรร้ายตัวมโหฬารดั่งขุนเขาปานนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเหยียนยังมิใช่คู่ต่อสู้ ต้องถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียว เขามีสิ่งใดต้องกังวลอีก

นอกจากนี้ รถลากคันนี้เยี่ยมยอดยิ่งนัก

ไม่เห็นหรือว่าข้างนอกนั่นต่อสู้กันจนฟ้าแทบถล่ม เกิดเป็นหลุมเล็กใหญ่หลุมแล้วหลุมเล่า ด้านรถลากกลับเงียบสงบ ไม่แม้แต่จะโคลงเคลง

เห็นได้ชัดว่ารถลากนี้มิใช่ของดาด ๆ ถึงป้องกันพลังทั้งหมดไว้ได้

“คือว่า…ข้าขอเข้าไปด้วยได้หรือไม่”

ซางเหิงทะยานมาอยู่ใกล้ ๆ รถลาก ก่อนจะส่งเสียงถาม

การต่อสู้ระหว่างเซี่ยเหยียนและอสูรร้ายน่ากลัวเกินไป คลื่นพลังที่แผ่ขยายออกมาล้วนเป็นพลังระดับเทวา ต่อให้เขาเป็นถึงราชันผู้เกริกไกรก็ไม่อาจทนได้ไหว

หากยังไม่หาที่ปลอดภัย เกรงว่าเขาต้องตายด้วยลูกหลงจากคลื่นพลังการต่อสู้นี้

แน่นอนว่าทางที่ดีที่สุดคือออกจากพื้นที่สู้รบนี้

ทว่าคลื่นพลังที่ซัดสาดออกมานั้นน่ากลัวเกินไป มิติแหลกลาญ เขาไม่อาจหายตัวผ่านทางมิติได้

เห็นรถลากแล้วจึงคิดว่าจะขอเข้าไปหลบภัยข้างในเสียหน่อย

นี่เพราะตัวเขาอยู่ไม่ห่างจากรถลากมากนัก ทว่าระยะทางแค่นี้ก็แทบผลาญพลังทั้งหมดของเขาไปจนสิ้นแล้ว!

อีกอย่าง เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายในรถลากเป็นอย่างไรด้วย

ต่อให้สถานการณ์คับขัน ก็มิกล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป หากว่าภายในรถลากมีคนใหญ่คนโตแสนน่ากลัวอยู่จริง การที่เขาทะเล่อทะล่าบุกเข้าไปไม่ต่างจากรนหาที่ตาย เฉกเช่นเดียวกับอยู่ข้างนอกนี้ต่อ

“ได้อยู่แล้ว”

หลี่จิ่วเต้าตอบ ดูออกว่าซางเหิงอยู่ในสภาพไม่ดีเท่าไร

ซางเหิงมีแผลตามตัวซ้ำยังเลือดไหลไม่หยุด สภาพจะดีได้อย่างไร

เขาประทับใจในตัวซางเหิงไม่น้อย

เมื่อครู่ภาพที่ซางเหิงออกหน้าตอบโต้อสูรร้ายตนนั้นเขาก็เห็นทั้งหมด

“ขอบคุณ!”

หลังได้รับคำตอบแน่ชัด ซางเหิงก็รีบเข้ามาอยู่ในรถลาก

เขาถอนหายใจโล่งอก ไม่มีแรงกดดันชวนหวาดหวั่นอีก นับว่าตนปลอดภัยแล้ว รถลากสามารถขวางกั้นพลังทั้งหมดไว้ด้านนอกได้

ทว่าในตอนนั้นเอง เขาเพิ่งสังเกตว่าคนที่ยอมให้เขาเข้ามาเมื่อครู่เป็นเพียงปุถุชน!

บนรถลากสูงส่งเหลือแสนเยี่ยงนี้ เหตุใดจึงมีปุถุชนอยู่!?

สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยแท้!

กระนั้น เขาก็ไม่มีเวลาคิดอันใดไปมากกว่านี้ ต้องรีบนั่งขัดสมาธิกับพื้น รีดเร้นวิชาปรับสภาพร่างกาย

ก่อนหน้าถูกอสูรร้ายตนนั้นฟาดกรงเล็บเข้าใส่ แม้จะไม่กระแทกโดนตัว แต่ถึงอย่างนั้นพลังแสนแกร่งกล้านั้นก็ทลายกระดูกภายในตัวเขาไปไม่น้อย

บวกกับระลอกคลื่นพลังที่โถมทับ เขาเสียพลังไปอีกนับคณา หากเขาไม่รีบปรับปรุงสภาวะของร่างกาย มีหวังเกิดปัญหาใหญ่กับตัวเขาแน่!

ศึกใหญ่ข้างนอกดำเนินต่อเนื่อง ซ้ำยังดุเดือดยิ่งขึ้นไปอีก อยู่ในจุดที่แรงปะทุใกล้ถึงจุดสูงสุด!

แรงกระแทกจากคลื่นพลังที่โถมทับเข้ามายิ่งทวีความรุนแรง รถรบโบราณที่อสูรร้ายนั่งมา รวมถึงผู้ฝึกตนที่มีหน้าที่ลากรถต่างกายแหลกสลายภายใต้แรงกระแทกเยี่ยงนี้ กลายเป็นหมอกสีเลือดกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า!

โฮก! โฮก! โฮก!

อสูรร้ายคำราม มันถูกบดขยี้จนอยู่ในสภาพอนาถ เลือดท่วมตัว แผลตามตัวล้วนแต่ฉกรรจ์ เลือดเนื้อทะลักออกมาอยู่ข้างนอก

มันคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเซี่ยเหยียนจะทรงพลังถึงเพียงนี้ แม้แต่ตัวมันยังมิใช่คู่ต่อสู้ ถูกเซี่ยเหยียนบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ

ระหว่างนี้ มันปล่อยพลังที่ทวีความแกร่งกล้าออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด เซี่ยเหยียนก็มักเหนือกว่ามันอยู่เสมอ!

“พี่หญิงเซี่ยเหยียนฝีมือฉกาจยิ่งนัก!”

“เจ้านี่บอกว่าเผ่ามนุษย์อย่างเราเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ ซ้ำยังบอกว่าภายหน้าเราจะตกเป็นอาหารของเผ่าอื่น พี่หญิงเซี่ยเหยียนไม่ต้องออมมือ อัดมันให้ยับไปเลย!”

พวกอ้ายฉานส่งเสียงตะโกนอยู่บนรถลากด้วยความเดือดดาล

ก่อนหน้าอสูรร้ายตนนี้โอหังถึงขีดสุด ซ้ำยังพูดจาหมา ๆ พวกเขาพลอยโมโหกันหมด ถึงได้ส่งเสียงตะโกนบอกเซี่ยเหยียนอัดอสูรร้ายตนนี้ให้ยับเสีย

“ได้”

เซี่ยเหยียนยิ้มพลางตอบรับ เมื่อได้ยินเสียงของพวกอ้ายฉาน

นางเพิ่มพลังโจมตี จู่โจมหนักหน่วงยิ่งขึ้น ราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำใส่อสูรร้ายตนนั้นไม่หยุดหย่อน

นางลงมือโดยมีการ ‘อัดให้ยับ’ เป็นเป้าหมาย

ไอ้บัดซบเอ๊ย!

มนุษย์ฝีมืออัศจรรย์อะไรกันนี่!

อสูรร้ายอยากจะร่ำไห้ ตัวมันที่ไร้เทียมทานในหมู่รุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่เคยคิดเลยว่าจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชปานนี้ มันต้องโดนอัดจนแหลกลาญจริง ๆ หรือ?

เจ็บใจนัก คำรามกราดเกรี้ยวไม่หยุด ยกระดับสายเลือด ปล่อยวิชาออกไปวิชาแล้ววิชาเล่า

ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนแล้วเปล่าประโยชน์ เมื่อแสงแห่งไท่หัวของเซี่ยเหยียนกวาดล้างออกไป ก็ไม่มีสิ่งใดยับยั้งต้านทานได้ วิชายิ่งใหญ่ปานใดก็ไม่ไหว ทลายราบได้ทุกสรรพสิ่ง!

นี่มันแสงอะไรกันนี่!?

วิญญาณของอสูรร้ายสั่นระรัว ยามนี้นึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง

มันว่างนักหรือถึงได้ออกไปขวางทาง!

ดูตอนนี้สิ ชีวิตคงมันต้องจบสิ้นลงที่นี่!

บนรถลากนั้น

ซางเหิงลืมตาอย่างเหลือเชื่อ ‘หาย…แล้ว?’

เขายากจะเชื่อได้ลง ตนรีดเร้นเคล็ดวิชาออกมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น กระดูกทั้งหมดที่เคยหักในร่างกายกลับฟื้นสภาพกลับมาได้ทั้งหมด พลังที่ถูกผลาญจนสิ้นก็กลับคืนมาเช่นกัน!

แต่ไม่นานนักเขาก็คิดตก

จังหวะแห่งเต๋ามิได้เผยออกไปนอกรถ จังหวะแห่งเต๋าทั้งหมดถูกเก็บไว้ภายใน เขาในตอนนี้ถูกจังหวะแห่งเต๋าสูงส่งปกคลุมไว้ทั้งตัว ในสภาวะแบบนี้ เขาไม่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วสิเป็นไปได้ยาก!

ไม่คลางแคลงเลยว่า หากเขาได้บำเพ็ญโดยมีจังหวะแห่งเต๋าปกคลุมร่างกายหนึ่งวัน ย่อมก้าวกระโดดจากขอบเขตราชันผู้เกริกไกรไปถึงขอบเขตราชันขั้นสมบูรณ์ได้!

หลังคิดตกแล้ว ซางเหิงก็จิตใจสงบอย่างรวดเร็ว บัดนี้อยู่ในรถลากแล้ว เขาสามารถรู้ได้ว่าสถานการณ์ภายในรถลากเป็นเช่นไร

‘เป็นเพราะรถลากไม่ธรรมดาเป็นทุนเดิม ถึงได้เปลี่ยนสภาพขึ้นมาเองจริงหรือ?’

เขาคิดในใจอย่างอดไม่ได้

ภายในรถลาก นอกจากพวกหลี่จิ่วเต้าแล้ว เขาไม่เห็นผู้ใดอีก

แต่เดิมเขาคาดการณ์ว่ามีคนใหญ่คนโตเกินหยั่งประทับในรถลาก แต่เห็นได้ชัดว่าการคาดการณ์นี้ผิดพลาด

กลุ่มของหลี่จิ่วเต้าประกอบด้วยปุถุชนสองคน และแมวน้อยสีขาวตัวหนึ่ง ไม่มีผู้ใดมีพลังปราณกระเพื่อมอยู่ เห็นได้ชัดว่ามิได้อยู่บนเส้นทางการฝึกตน

เด็กแปดคนที่เหลือแม้มีขอบเขตพลังในระดับสูงเหนือการคาดหมายของเขา กระนั้นก็ยังไม่พ้นทั้งเก้าขั้นแห่งขอบเขตพรตเต๋า

ผู้ฝึกตนหญิงอีกคนที่เหลือ ระดับพลังสูงสู้เด็กทั้งแปดคนไม่ได้ด้วยซ้ำ…

ในคนกลุ่มนี้มิมีคนใหญ่คนโต

สายเลือดของลั่วสุ่ยวิวัฒนาการอยู่ตลอด ขอบเขตพลังอยู่ในระดับสูงยิ่ง

เพียงแต่ก่อนออกมา นางอำพรางลมปราณพลังของตนไว้

ตามท่านเซียนออกไปข้างนอก ทำตัวโดดเด่นมากไปก็มิเป็นการดี…

สาเหตุที่ซางเหิงจับคลื่นพลังปราณจากตัวนางไม่ได้ก็เพราะเหตุนี้

ส่วนหลิงอิน นางใช้เคล็ดวิชาลับโบราณปกปิดพลังที่แท้จริงของตนไว้ อย่าว่าแต่ซางเหิงเลย กระทั่งนักบุญมาเองก็ไม่อาจจับสัมผัสตื้นลึกหนาบางของนางได้

ลั่วสุ่ยปกปิดระดับพลังเช่นกัน กระนั้นก็ไม่อาจเทียบได้กับหลิงอินผู้ปกปิดพลังลมปราณด้วยเคล็ดวิชาลับโบราณ

ซางเหิงสัมผัสคลื่นพลังปราณจากตัวลั่วสุ่ยไม่ได้ เพราะขอบเขตของตัวเขายังต่ำ หากเจอกับสิ่งมีชีวิตที่มีขอบเขตเทียบเท่าหรือแข็งแกร่งกว่าลั่วสุ่ย วิธีปกปิดของลั่วสุ่ยจักไม่ส่งผลเลยสักนิด

ทว่าหลิงอินต่างออกไป สิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกันไม่อาจจับสัมผัสได้เลย

ด้วยสถานการณ์ของหลิงอินในตอนนี้ การจะล่วงรู้ภูมิหลังของนาง อย่างต่ำก็ต้องเป็นถึงจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์

หลิงอินอยู่ข้างกายท่านเซียนเสมอ ซ้ำยังเป็นจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลมาเกิดใหม่ ความเร็วในการเลื่อนระดับพลังของนางย่อมไม่เป็นรองผู้ใด…

บัดนี้นางอยู่ในระดับราชันเทวาแล้ว!

“เซี่ยเหยียน ลงมือเบา ๆ หน่อย”

ภายในรถลาก หลี่จิ่วเต้าบอกกับเซี่ยเหยียนที่กำลังบดขยี้อสูรร้าย

ลงมือเบา ๆ หน่อย?

ท่านเซียนหมายความว่าอย่างไร

คิดจะปล่อยอสูรร้ายตนนี้ไปหรือ

เซี่ยเหยียนคิดในใจ

และความรุนแรงที่มือก็ผ่อนลงในพริบตา มิกล้าลงมือหนักอีก

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท