แม้จะกำลังยิ้มอยู่ แต่เขากลับปวดหัวตุบๆ เขารู้สึกเหมือนมีใบมีดคมๆ ลอยอยู่ในเส้นเลือดที่ไหลขึ้นไปที่สมอง และเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะรู้สึกไม่ดี เขาจึงปิดปากเงียบและนั่งพิงโซฟาอยู่ตลอดทั้งงานปาร์ตี้ ในขณะเดียวกันก็หมายมั่นว่าอยากจะออกไปทุบหัวของไอ้พวกคนที่พูดจาเสียงดังน่าหนวกหูให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนแตงโม
ตอนที่เด็กชายที่แต่งตัวเรียบร้อยปรากฏตัวตรงหน้า เขาคิดว่าตัวเองกำลังฝันทั้งๆ ที่ลืมตาในตอนแรก เพราะช่วงนี้เด็กชายปรากฏตัวในฝันทุกวัน
ถ้าคราวนี้จูบและถอดเสื้อผ้าออกจะร้องไห้ไหมนะ
ในระหว่างที่คิดแบบนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กชาย
‘…สวัสดีครับ’
แล้วฟิลลิปก็ได้รู้ในวินาทีที่ได้ยินเสียงที่เหมือนคนโง่นั้นว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ความฝัน และความละอายใจก็ถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน
“เหอะ ให้ตายสิ…”
ความหงุดหงิดงุ่นง่านพุ่งขึ้นมา แม้เด็กชายจะทำตัวไม่ถูกและเอาแต่มองตน แต่เขาก็จงใจไม่ส่งสายตาไปทางอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
ช่างหัวไอ้ปาร์ตี้แม่งนี่เถอะ
พอลงมาที่ชั้นหนึ่ง ก็มีคนแกล้งทำเป็นรู้จักและพูดคุยด้วยจากตรงนั้นตรงนี้ ฟิลลิปปล่อยให้คำพูดพวกนั้นผ่านไปด้วยรอยยิ้มลวกๆ และกลับไปยังที่ของตัวเอง แต่เขาไม่เห็นเด็กชายแล้ว
พอฟิลลิปนั่งลง คิลเลียนก็พูดในสิ่งที่เขาไม่ทันได้ถาม
“เพื่อนนายไปแล้วล่ะ คนที่กอดกระถางดอกไม้อย่างกับว่าเป็นของล้ำค่าน่ะ”
คนอื่นๆ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แต่ฟิลลิปไม่ได้หัวเราะตามไปด้วย แม้จะคิดว่าโชคดีแล้วที่เจ้าทึ่มที่เหงื่อแตกและหน้าซีดอยู่คนเดียวกลับไปแล้ว แต่เขากลับอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
“ว่าแต่เห็นเฟร็ดไหม เห็นว่าแวะเข้าไปดูที่เก็บเหล้านอกของพ่อนายอย่างตื่นเต้นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“งั้นเหรอ”
ฟิลลิปตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ว่าไอ้นั่นจะตายห่าเพราะกินเหล้าที่อยู่ในตู้เก็บเหล้าไปหมดหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
“จะว่าไปเฟร็ดยังเหมือนเดิมเลยนะ ที่เอาแต่ไล่ตามหลังเด็กนั่นน่ะ”
“ใครเหรอ”
“เด็กที่ถือกระถางดอกไม้มาเมื่อกี้ไง เฟร็ดมันร้อนรุ่มกลุ้มใจเพราะจับกินไม่ได้มาตั้งนานแล้ว หึหึ เมื่อกี้พอเห็นเด็กนั่น มันก็ทำตาเป็นประกายแล้วก็เดินตามขึ้นไปเลย ไม่รู้เหมือนกันนะว่าไม่ถูกจับกินจริงๆ หรือเปล่า”
“…ไหน”
เนื่องจากถูกเสียงเพลงที่ดังจนน่าหนวกหูกลบทำให้ได้ยินไม่ชัด คิลเลียนที่นั่งอยู่ข้างฟิลลิปจึงเอ่ยถามซ้ำว่า “ว่าไงนะ” แต่ในระหว่างนั้นเสียงเพลงก็หยุดลงพอดี
“ฉันถามว่าไอ้กร๊วกเฟร็ดไปไหน”
น้ำเสียงนุ่มนวลของฟิลลิปดังผ่าความเงียบอย่างดุดัน และการออกเสียงก็ชัดเจนจนไม่มีใครที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินไม่ชัด คิลเลียนชี้ไปที่บันไดที่พาขึ้นไปยังชั้นสองด้วยสีหน้ามึนงง เสียงเพลงดังขึ้นอีกครั้ง และทุกคนก็ทำได้แค่มองฟิลลิปเดินย่างสามขุมขึ้นบันไดไปอย่างงงงวย
ฟิลลิปเปิดประตูที่อยู่ใกล้กับทางเดินที่สุดออกอย่างเต็มที่ ชายหญิงที่นัวเนียกันด้วยสภาพเปลือยเปล่าตกใจและลุกขึ้น ฟิลลิปปิดประตูลงตามเดิม เขาทำแบบเดิมอยู่หลายครั้งก่อนจะฝืนหัวเราะ
นี่เราทำบ้าอะไรอยู่กันแน่
แค่ได้ยินว่าเฟร็ดเดินตามเด็กชายขึ้นมาเท่านั้นเอง ความเป็นที่ได้ที่ไอ้หมอนั่นจะแกล้งแย่งกระถางดอกไม้มาและคืนให้มีสูงมาก แต่ถ้า…
เขานึกถึงใบหน้าของเด็กชายที่เงยหน้ามองตนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอ ฟิลลิปสบถพร้อมกับกัดริมฝีปากล่าง แล้วความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหันก็ทำให้เขาเปลี่ยนทิศทาง และเดินไปทางห้องที่อยู่ด้านในสุด
เขาเปิดประตูออกอย่างเต็มที่
อย่างน้อยก็คงมีความละอายใจอยู่บ้าง เพราะเขาไม่เจอคู่รักที่พลอดรักกันในห้องของเจ้าของบ้าน ในขณะที่กำลังจะปิดประตู เพราะคิดว่าคงเป็นแค่ความคิดที่ไร้สาระ เขาก็ได้ยินเสียงที่เบามากๆ เป็นเสียงเบาๆ เหมือนกับเสียงร้องของสัตว์ตัวเล็กๆ ฟิลลิปปิดประตูและเดินเข้าไปในห้อง เขาเดินไปอย่างช้าๆ และหมุนลูกบิดประตูห้องน้ำที่อยู่ในห้อง ประตูถูกล็อกไว้
ฟิลลิปเคาะประตูเบาๆ ประมาณสองครั้ง แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรจากด้านในเลย ฟิลลิปแสยะยิ้ม เขาถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวก่อนจะลงมือถีบประตู ลูกบิดประตูที่แตกไม่ชิ้นดีพร้อมกับส่งเสียงดังและห้อยต่องแต่งอยู่กับประตู เขามองเห็นร่างของใครบางคนผ่านช่องว่างของประตูที่เปิดอ้า เป็นเด็กชายที่ถูกชกจนหน้าตาดูไม่ได้ และอยู่ในสภาพเครื่องแต่งกายท่อนล่างถูกดึงลงมา และโดนมือใหญ่ๆ ปิดปากเอาไว้
“เอ่อ คือ…นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
เฟร็ดดึงกางเกงที่ถกลงไปขึ้นพร้อมกับพูดติดอ่าง พอถูกสายตาของฟิลลิปจ้องมอง เฟร็ดก็ปล่อยมือออกจากปากของเด็กชายที่โดนปิดปากอย่างไม่เต็มใจ ตอนนั้นเองเสียงร้องที่เด็กชายกลั้นเอาไว้ก็ดังขึ้นพร้อมกับการหอบหายใจ เลือดกำเดาไหลลงมาตามคางของอีกฝ่าย
“ฮือ…แฮ่ก…ฮึก…”
ฟิลลิปก้มมองเด็กชายด้วยแววตาว่างเปล่าก่อนจะเบนสายตากลับไป
“ฮ่าฮ่า เปล่านะ จู่ๆ มันก็วิ่งเข้ามาหาฉัน แม่ง ไอ้เกย์นี่มันขอให้ฉันมีอะไรด้วยแล้วก็อ้าขาให้…”
เฟร็ดไม่สามารถพูดคำแก้ตัวที่ขี้ขลาดและสับสนยุ่งเหยิงได้อีกต่อไป ฟิลลิปจับหัวของเฟร็ดกระแทกเข้ากับอ่างล้างหน้า
“อ๊ากกก!”
เลือดกำเดากระเด็นออกไปทั่วสารทิศ เฟร็ดกุมจมูกพร้อมกับกรีดร้อง อ่างล้างหน้าเซรามิกสีขาวเต็มไปด้วยเลือดและกระจัดกระจายไปทั่ว เฟร็ดที่จมูกหักกลิ้งอยู่บนพื้นห้องน้ำพลางกุมใบหน้าไว้และพ่นคำสบถปนเสียงร้องไห้ออกมา
“ฮือ ไอ้บ้าเอ๊ย…โอ๊ย!”
เด็กชายหน้าซีดและยืนนิ่งอยู่กับที่ในสภาพที่ไม่สามารถหายใจได้ สีหน้าของฟิลลิปยังคงไม่เปลี่ยนเลยสักนิด เขาหยิบผ้าขนหนูมายัดใส่ปากของเฟร็ดที่กรีดร้องเหมือนหมูถูกตอน
“อื้อ…อุบ!”
เฟร็ดตกใจกลัวและพยายามจะถุยผ้าขนหนูออกมา พอเห็นดังนั้นฟิลลิปก็ตบแก้มของเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี เฟร็ดที่มีรูปร่างท้วมใหญ่กระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงดัง เพียะ!
“ฮ่า ฮ่าฮ่า”
ฟิลลิปหัวเราะสดใสก่อนจะสบถว่า “แม่ง” เขานั่งยองๆ ลงตรงหน้าเฟร็ดก่อนจะดึงผมของอีกฝ่ายให้ขึ้นมาสบตากัน จากนั้นก็เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ
“เฟร็ด”
“…”
“ถึงฉันจะชวนหมาหรือวัวมา แต่ฉันก็ไม่ได้อนุญาตให้ทำกันเหมือนหมูในห้องน้ำภายในห้องฉันได้นะ ว่าไง ไอ้กร๊วก”
เด็กชายกลั้นหายใจพร้อมกับห่อไหล่ลง เพราะคำว่าชวนหมาหรือวัวมา
ใบหน้าของฟิลลิปที่ยิ้มอย่างนุ่มนวลน่ากลัวมาก ทั้งนิ้วสวยได้รูปที่กำผมของเฟร็ดที่เลือดไหลไม่หยุด ทั้งใบหน้าราวกับเจ้าชายที่ยิ้มในสภาพที่เปื้อนไปด้วยเลือด ทั้งน้ำเสียงไพเราะที่พ่นคำด่าออกมาอย่างนุ่มนวล ไม่มีอะไรดูเป็นความจริงเลยสักอย่างเดียว
พอเฟร็ดพึมพำอะไรบางอย่าง ฟิลลิปก็ช่วยดึงผ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดออกมาจากปากของเฟร็ดให้
“…แม่ง ทำไมถึงทำแค่ฉันวะ…ไอ้นั่นมันเป็นฝ่าย…”
พอเฟร็ดชี้ไปที่เด็กชายพร้อมกับเอ่ยแก้ตัว ฟิลลิปก็หัวเราะราวกับเขาสนุกจริงๆ เสียงหัวเราะนั้นกังวานใส แต่บรรยากาศภายในห้องน้ำกลับเย็นยะเยือก ฟิลลิปก้มหน้าลง แล้วของที่ทำจากหินแกรนิตซึ่งวางอยู่บนชั้นภายในห้องน้ำก็เข้ามาในสายตา เขายิ้มอย่างสบายๆ และเอื้อมมือไปทางของสิ่งนั้นราวกับเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
ตอนนั้นเอง
“…อย่านะครับ”
เด็กชายรั้งแขนของฟิลลิปไว้ ตาของฟิลลิปกระตุกอย่างรุนแรง
“…เขาจะตายนะครับ…อย่าเลย…”
เด็กชายร้องไห้พร้อมกับห้ามฟิลลิปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฟิลลิปก้มมองเด็กชายที่เกาะเขาไว้ด้วยแรงที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
“ถ้าทำแบบนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่นะครับ”
“เรื่องใหญ่อะไร ฉันจะทำอะไรเหรอ”
ฟิลลิปเอ่ยถามด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก
“…อย่านะครับ…ฮึก”
เด็กชายใช้ดวงตากลมโตที่แดงจากการร้องไห้ห้ามฟิลลิปไว้สุดชีวิต เฟร็ดที่ตั้งสติได้ในระหว่างนั้นรีบหนีออกไปจากห้องน้ำเหมือนกับรออยู่แล้ว พอเฟร็ดออกไป เด็กชายก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นและร้องไห้ เพราะความตึงเครียดได้คลายลงแล้ว
“ฮึก ฮือ…อึก”
ฟิลลิปจับข้อมือของเด็กชายและลากออกมาจากห้องน้ำ เขาเดินไปล็อกประตูห้องและเดินกลับไปที่ตู้เก็บยา ในขณะที่เด็กชายกุมจมูกที่มีเลือดกำเดาไหลไว้และกำลังร้องไห้
“เงยหน้า”
แม้ฟิลลิปจะสั่งสั้นๆ แต่เด็กชายก็ไม่ขยับ
“ฉันสั่งให้เงยหน้า”
เสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยทำให้เด็กชายสะดุ้งพร้อมกับเงยหน้าขึ้น
ใบหน้าที่โดนต่อยจนปูดบวมกับแก้มที่เปียกไปด้วยน้ำตา และบาดแผลที่เกิดขึ้นทั่วทุกที่กับเสื้อผ้าที่ถูกฉีก
ต่อให้ไม่ถามก็สามารถเดาได้ว่าเป็นสถานการณ์แบบไหน ฟิลลิปสบถเบาๆ พร้อมกับเทเบตาดีนใส่สำลี ดวงตากลมโตของเด็กชายกระตุกและสั่นไหว พอฟิลลิปจะทายาให้ เด็กชายก็ส่ายหน้า
“ผะ ผม…จะกลับไปทำที่บ้านครับ”
“จะกลับไปด้วยสภาพนั้นเหรอ”
ฟิลลิปเอ่ยถาม เด็กชายพยักหน้าอย่างดื้อรั้น
“เดี๋ยวค่อยกลับ ถ้านายออกไปตอนนี้…”
“…ผมอยากกลับครับ”
น้ำตาที่หยุดไปแล้วไหลลงมาอีกครั้ง สภาพของอีกฝ่ายดูไม่ได้ ใบหน้าที่ถูกต่อยเปื้อนไปด้วยน้ำตา น้ำมูก และเลือด แต่นั่นกลับดูสวยอย่างมาก ฟิลลิปโมโห ทั้งความจริงที่ว่าเฟร็ดได้แตะต้องสิ่งนี้ ทั้งความจริงที่ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของของเขาตั้งแต่แรก และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความจริงที่ว่าสิ่งนี้กลายเป็นของใครสักคนไปแล้วทำให้ความโกรธของเขาพลุ่งพล่าน
“เพราะกลัวฉันเหรอ”
เด็กชายเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ด้วยเหตุนั้นน้ำตาที่คลออยู่ที่ดวงตากลมโตจึงไหลลงมาตามแก้ม
“ฉันถามว่าอยากกลับบ้านเพราะกลัวฉันเหรอ”
ฟิลลิปจับใบหน้าของเด็กชายไว้ ทุกครั้งที่แก้มถูกนิ้วที่เปื้อนเลือดเหนียวๆ ลูบ เด็กชายจะสะดุ้งและตัวสั่น เขารู้สึกเหมือนได้รู้คำตอบทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบ
จู่ๆ กระถางดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงก็โผล่เข้ามาในครรลองสายตา มันเป็นกระถางดอกไม้ที่เด็กชายเอามาให้เป็นของขวัญ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะเอากระถางดอกไม้มาวางไว้จึงเข้ามาที่นี่
ฟิลลิปคว้าลำต้นของดอกลาเวนเดอร์และฟาดลงกับโต๊ะ กระถางดอกไม้แตกเป็นเสี่ยงๆ และกระจายไปทั่วห้อง
“นั่นสิ ทำไมถึงเอาของแบบนี้มา”
เด็กชายหน้าซีดเผือดและเงยหน้ามองฟิลลิป
“ใครบอกว่าต้องการของแบบนี้เหรอ นายเป็นใครถึงได้มาสนใจว่าฉันจะนอนหลับหรือไม่ เพราะนายทำแบบนั้น ฉันถึงได้…”
ความอับอายขายหน้าถาโถมเข้ามา
ทั้งความอับอายขายหน้าในความอวดดีที่คิดว่าความอ่อนโยนของเด็กชายที่มีมาตั้งแต่เกิดเป็นความรักที่มีต่อตน ความอับอายขายหน้าในความจริงที่ว่าหัวใจของเด็กชายไปอยู่ที่คนอื่นเรียบร้อยแล้ว ความอับอายขายหน้าในสถานการณ์นี้ที่ไม่ว่าคนมากมายที่มาเพื่ออวยพรวันเกิดที่คฤหาสน์จะตามหาหรือไม่ เขาก็สนใจคนโง่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คนเดียว…และความอับอายขายหน้าในความจริงที่ว่าเด็กชายไม่ได้ชอบตนด้วยซ้ำ แต่กำลังกลัวต่างหาก
…เขารู้สึกถึงความอับอายขายหน้าที่มหาศาลเป็นครั้งแรกในชีวิต
เขารู้สึกตาลาย ฟิลลิปกำหมัด การกดความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาเอาไว้เพื่อที่จะไม่บีบคอของเด็กชายในตอนนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว