ยามค่ำคืนเริ่มมืดมิด
นอกจากเงาทมิฬแล้ว ภายในห้องทรงอักษรนั้นก็ไม่มีใครอื่นอยู่อีก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดสายตาลงมองเงาทมิฬที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ดวงตาของเขาหรี่ลงจนเป็นเส้น ”เจออะไรบ้าง”
“เบื้องต้นแล้วตรงกับสิ่งที่พระภิกษุเหล่านั้นกล่าวเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬหลุบตาลง ”จากการตรวจสอบของกระหม่อม ต่อให้มีจิตใจเข้มแข็งเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงนิสัยได้ กระนั้นพระชายากลับเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนได้ภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ไม่ใช่แค่เรื่องธรรมดาอย่างการมีพลังปราณ แม้แต่นิสัยประจำตัวก็ยังเปลี่ยนไปด้วย แต่ที่แปลกก็คือกระหม่อมได้ตรวจสอบแล้วว่านางเป็นพระชายาตัวจริง เพราะตอนที่นางตกน้ำ แม่นมของนางก็อยู่ข้างกาย ดังนั้นจึงย่อมไม่มีเวลามากพอสำหรับสับเปลี่ยนตัวนางกับใครได้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระชายา เรื่องนี้เองก็เป็นอีกเรื่องที่อยู่เหนือความเข้าใจของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร แต่กลับทำเพียงหมุนถ้วยชาในมือ ใบหน้าด้านข้างอันงดงามของเขาไม่มีอารมณ์ใดแสดงออกมา
เงาทมิฬเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นนาย แล้วเอ่ยต่อ ”กระหม่อมมั่นใจเกินเจ็ดส่วนพ่ะย่ะค่ะว่าพระชายาถูกวิญญาณสิง”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ละสายตาจากเงาทมิฬ และกล่าวอย่างไม่ไยดีว่า ”ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องนี้อีกแล้ว”
ทีแรกเงาทมิฬชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่จากนั้นเขาก็ขานรับด้วยความเคารพว่า ”พ่ะย่ะค่ะ”
เขามองภาพแผ่นหลังที่เหยียดตรงและสูงสง่าของผู้เป็นนายที่กำลังเลิกม่านขึ้น แล้วเดินเข้าไปยังอีกห้องหนึ่ง เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรหากพระชายาถูกวิญญาณสิงจริง เพราะราชวงศ์ย่อมไม่อนุญาตให้คนที่ถูกวิญญาณสิงเข้ามาภายในวังหลวงอย่างแน่นอน…
“ฮัดเช้ย!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสถานการณ์อันโหดร้ายที่นางเผชิญมาตลอดสองวัน หรือเป็นเพราะการแช่น้ำในคืนวันอภิเษกสมรสกันแน่ ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจวนจะผล็อยหลับ นางก็รู้สึกคันยุบยิบในลำคอ และจมูกก็เริ่มมีน้ำมูก แต่นางกลับรู้สึกเกียจคร้านอย่างมาก ทั้งยังไม่ต้องการที่จะขยับตัวอีกด้วย
จากนั้นนางก็ก้มหน้าลงมองหนังเสือที่อยู่ข้างตัว พรมผืนนั้นเย็นยะเยือก คิ้วใบหลิวของเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดเข้าหากัน
เดิมทีทั้งสองต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้น นางก็เห็นสัญญาฉบับนั้นอยู่ในมือ ดูเหมือนกระดาษแผ่นนั้นจะถูกนำกลับมาติดกาวเอาไว้ แต่ฝีมือการติดค่อนข้างแย่ทีเดียว คนที่ติดมันจะต้องเป็นคนที่ไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อนแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง ในใจของนางมีภาพขององค์ชายนั่งอยู่ในห้องทรงอักษร หน้านิ่วคิ้วขมวด และพยายามนำเศษกระดาษเหล่านี้มาติดกาวเข้าด้วยกันปรากฏขึ้นมา นางส่ายหน้าแล้วหยิบสัญญาขึ้นมา
ขันทีซุนที่เข้ามารับใช้นางคิดว่านางกำลังจะฉีกมันทิ้ง จึงรีบคว้ามือของนางเอาไว้ ”ไอ้หยา พระชายา กระหม่อมขอร้องล่ะพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดอย่าก่อเรื่องเลย!”
“ท่านเป็นคนนำมันมาติดกาวหรือ ขันทีซุน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ขันทีซุนงุนงงกับคำถามนี้ ”กระหม่อมมิได้ทำพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นใครเป็นคนนำสิ่งนี้มาติดกาวหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน
ขันทีซุนตอบว่า ”กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์ชายกล่าวว่าหากท่านฉีกสัญญาอีก เขาจะฉีกร่างของท่านเป็นการเอาคืน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองขันทีซุน แล้วกระโดดลงจากเตียงพร้อมเสียงหัวเราะ ”เขาไม่พูดเช่นนั้นกับข้าหรอก คนที่เขาตั้งใจจะพูดเช่นนั้นคือท่านต่างหาก ขันทีซุน”
ขันทีซุนถามออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า ”ท่านรู้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็เห็นดวงตาพราวไปด้วยรอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาอยากจะกัดลิ้นตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น
“เพราะมันยังชั่วร้ายไม่พอ” เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสกระดาษแผ่นนั้นเบาๆ ”หากเป็นเขา เขาจะต้องพูดว่า เชิญเจ้าฉีกกระดาษทิ้งต่อไปได้เลย ข้ายังมีสำเนาของมันอยู่ในห้องทรงอักษรอีกหลายกอง”
ขันทีซุนชะงักไปอีกครั้ง เขายกมือขึ้นกุมหน้าผากพร้อมกับพูดว่า ”กระหม่อมยอมรับแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าตัวเองเดาถูก มุมปากของนางกระตุกขึ้น จากนั้นนางก็บ้วนปากของตัวเองด้วยน้ำผสมป๋อเหอ[1] คาดไม่ถึงเลยว่าพอเป็นเรื่องการจัดการกับผู้คน นางและองค์ชายกลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี
“แต่ฝ่าบาทได้มอบหมายภารกิจให้กับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนพูดด้วยรอยยิ้ม
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ”ภารกิจอะไรหรือ” เป็นการจัดการกับสามพระตำหนักและหกหมู่เรือนในวังหลวงหรือ
“องค์ชายกล่าวว่าท่านจำเป็นต้องกลับไปที่สำนักในอีกสองวัน ท่านไม่สามารถลาออกจากสำนักได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนกล่าวพร้อมกับส่งอาหารเช้าให้นาง ”ดังนั้นขอให้กระหม่อมได้เฝ้าดูพระชายาฝึกเขียนพู่กันทุกวันเป็นเวลาครึ่งชั่วยามด้วยพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดวางใจเถิดว่าคำที่ท่านต้องคัดนั้นไม่ได้ยากจนเกินไป ท่านเพียงต้องคัดคำสามคำนั้นเป็นจำนวนสิบครั้งโดยไม่หยุดเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ นอกนั้นขออย่าได้ใส่ใจ”
ปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ถึงกับค้างไปทันที
คัดโดยไม่หยุดหรือ
“ข้าเข้าใจแล้ว” ระหว่างพูดเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รับผ้าขนหนูที่สาวใช้ร่างเล็กส่งมาให้ ท่าทางของนางสงบเป็นธรรมชาติราวกับว่านางเกิดมาเพื่อให้คนอื่นรับใช้ เห็นได้ชัดว่าค่าใช้จ่ายประจำวันของนางก็จัดอยู่ในประเภทฟุ่มเฟือยเช่นกัน
ขันทีซุนคาดไม่ถึงว่าพระชายาจะยอมทำตามอย่างง่ายดายขนาดนี้ เขานำอุปกรณ์ทุกชิ้นมาจัดเรียงอย่างมีความสุข ทั้งพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และหินฝนหมึก
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ปกติแล้วองค์ชายทรงเป็นผู้ใช้ของพวกนี้ ลองใช้ดูเถิดว่ามันเหมาะกับท่านหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบรับในลำคอ ”เหมาะดี”
หลังจากนั้น…
นางก็จับพวกมันยัดลงในถุงผ้าของตัวเอง!!?
นี่มันอะไรกัน!
“ฮัดเช้ย!” เฮ่อเหลียนเวยเวยจามออกมาอีกครั้ง นางรีบนั่งลงบนเก้าอี้ พลางมองไปยังห้องทรงอักษร แล้วเริ่มหลับตาลง
ขันทีซุน : … ท่านเพิ่งพูดไปเมื่อครู่เองมิใช่หรือว่าท่านจะคัดลายมือ!!
ผ่านไปได้ราวหนึ่งก้านธูป เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงตื่นขึ้นมาด้วยตัวเอง นางลูบท้องแล้วถามว่า ”อาหารเที่ยงเป็นอะไร”
ขันทีซุน : … ท่านจะตื่นขึ้นมาได้เวลาเกินไปแล้ว!
สาวใช้ร่างเล็กเกิดมาเพื่อเป็นองครักษ์ของวังปีศาจ ก่อนหน้านี้ตอนที่ฝ่าบาทมอบหมายหน้าที่ให้กับนาง นางก็มักจะเห็นขันทีซุนอยู่ข้างกายเขาเสมอ ความประทับใจที่นางมีให้กับเขาคือเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และเอาตัวรอดเก่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ตอนนี้เขากลับดูหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย
แต่พระชายาดูเหมือนจะรู้วิธีที่สามารถทำให้ขันทีซุนสงบลงได้ นางเอ่ยว่า ”ข้ามียาอายุวัฒนะอยู่ เอาไปกินสิ ท่านจะได้ดูอ่อนเยาว์ลง”
ขันทีซุนรับมาด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าของเขาเปล่งประกายด้วยความสุข เขาไล่ข้ารับใช้ของตนออกไปทานข้าว และไม่ได้จ้องจับผิดใครเหมือนก่อนหน้านี้
ตอนนั้นนั่นเองที่สาวใช้ร่างเล็กตระหนักได้ว่าขันทีซุนยอมรับในตัวของพระชายาแล้ว
คนที่ขันทีซุนยอมรับนั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากอดีตฮ่องเต้อย่างแน่นอน
อันที่จริงแล้ว นี่ไม่ใช่การปฏิบัติอย่างเดียวกันกับที่ท่านพี่เคยได้รับในเวลานั้น
เพียงแต่ว่าฝ่าบาท…
ราวกับสังเกตได้ถึงสายตาที่สาวใช้ร่างเล็กจ้องมองมา เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหันไปมองนาง ”เจ้าก็อยากได้สักเม็ดเหมือนกันหรือ”
“เอ๋” ปฏิกิริยาของสาวใช้ร่างเล็กช้าไปเล็กน้อย
เพราะยาอายุวัฒนะที่ว่าถูกยัดเข้าไปในปากของนางเสียแล้ว นางรู้ดีว่ามันมีราคาแพงเพียงใด แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครสักคนยอมมอบมันให้กับข้ารับใช้ด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดูไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย นางคว้าตะเกียบไม้ไผ่และจานบนโต๊ะขึ้น นางไม่ได้กินอะไรมากนัก แต่กลับทำเพียงหยิบตะเกียบขึ้นมา บางทีอาหารอาจจะไม่ถูกปากนางก็เป็นได้ ”ทำไมถึงไม่มีเนื้อสักชิ้นเลยล่ะ”
สาวใช้ร่างเล็กถึงกับงุนงง ”หม่อมฉันได้ยินมาว่าพระชายาเจ็บคออยู่ จึงไม่ควรกินอาหารที่มีน้ำมันเพคะ”
“เอาเถอะ สุขภาพสำคัญที่สุดนี่นะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบจานผักขึ้นมาเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นระหว่างที่เคี้ยว นางก็หยิบจานผักจานที่สองขึ้นมา
ท่าทางในการถือจานของนางนั้นช่างดูเกียจคร้าน สีหน้าของนางดูไร้เดียงสาราวกับเด็กตัวเล็กๆ
สาวใช้ร่างเล็กคิดว่านางไม่เคยเห็นผู้หญิงแบบนี้มาก่อน นี่ช่างเป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจยิ่งนัก
แต่ไม่มีใครรู้ว่าในท้ายที่สุดนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง
อย่างไรก็ตาม สาวใช้ร่างเล็กหวังว่าวันเวลาเช่นนี้จะเดินช้าลงแม้สักนิดก็ยังดี
—————-
[1] มินต์หรือสะระแหน่