ตอนที่ 297 ชายหญิงวัยกลางคนผู้น่าสงสัย
ไม่นานรถไฟก็แล่นไปอีกสองสถานี จนมาถึงสถานีจั่งซา
ที่นี่เป็นอีกสถานีใหญ่ จึงมีผู้โดยสารขึ้นรถไฟเป็นจำนวนมาก
เสียงจอแจภายในโบกี้ดังมาก จนทำให้ผู้คนรู้สึกวิงเวียน
หลินม่ายถือแอปเปิลลูกใหญ่ไว้ในมือแล้วกัดฟันแทะไปพลาง ๆ ระหว่างนั้นบังเอิญเหลือบไปเห็นชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ลักษณะการแต่งกายค่อนข้างดี หน้าตาใจดี กำลังอุ้มประคองหญิงสาวหน้าตาดีท่าทางอ่อนแอคนหนึ่งขึ้นมาบนรถไฟ
พอสังเกตนานเข้า เหมือนหญิงสาวคนนั้นถูกจับอุ้มขึ้นมาบนรถไฟมากกว่า
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลินม่ายอดนึกถึงเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาเสียได้
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นบนรถประจำทาง นอกจากคนขับแล้ว ยังมีผู้โดยสารอีกสองคนบนรถบัสคือหญิงชราคนหนึ่งและหญิงสาวที่เรียนอยู่ประมาณชั้นมัธยมต้น
พอนั่งรถไปได้ครึ่งทาง ชายท่าทางเหมือนขี้เมาสามคนก็ขึ้นรถมา
ผู้ชายคนหนึ่งตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนมึนเมาไม่ได้สติ ศีรษะโงนเงนไร้ทิศทาง ผู้ชายอีกสองคนที่ยืนขนาบข้างช่วยกันหามเขา
ทันใดนั้นหญิงชราก็ตะโกนใส่นักเรียนหญิงอีกคนเสียงดังลั่นว่าหล่อนขโมยเงินตัวเองไป
เสียงโต้เถียงกันดังลั่นรถ จนคนขับรถบัสต้องจอด แล้วเชิญผู้โดยสารหญิงทั้งสองไปเคลียร์กันต่อที่โรงพัก
หลังจากทั้งสองลงจากรถมาแล้ว นักเรียนหญิงก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
หญิงชรามองหล่อนด้วยความหงุดหงิด “เธอจะร้องไห้ทำไม ถ้าฉันไม่ช่วยเธอไว้ เธอคงถูกพวกนั้นฆ่าจนกลายเป็นศพไปแล้ว”
นักเรียนหญิงไม่เข้าใจ “คุณช่วยหนูยังไงกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณพยายามใส่ร้ายหนู!”
หญิงชราอธิบายว่า “เธอไม่สังเกตเหรอว่าสองเท้าของผู้ชายคนที่ถูกหามขึ้นรถเมื่อกี้นี้ไม่แตะพื้นด้วยซ้ำ หมายความว่าเขาตายแล้ว ส่วนผู้ชายอีกสองคนที่อุ้มเขาอยู่ก็คือฆาตกร!”
พอนึกย้อนไปถึงเรื่องนี้ หลินม่ายก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกสองสามครั้ง โดยมุ่งความสนใจไปที่เท้าของหล่อนเป็นพิเศษ
ไม่ผิดคาด หลินม่ายเห็นว่าสองเท้าของหล่อนก็ลอยอยู่กลางอากาศเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันนั้นเอง หญิงสาวก็พยายามใช้เท้าเตะผู้โดยสารที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างแรงราวกับชักกระตุก
ผู้โดยสารคนนั้นตำหนิด้วยความไม่พอใจ “เดี๋ยวเถอะ เธอมาเตะฉันทำไม?”
หลินม่ายสังเกตเห็นว่าสายตาของหญิงสาวที่มองผู้โดยสารคนนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังและต้องการขอความช่วยเหลือ
เธออดขมวดคิ้วไม่ได้ หล่อนกำลังขอความช่วยเหลือเรื่องอะไรกัน?
เป็นไปได้ไหมว่าคนที่อุ้มหล่อนอยู่นั้นเป็นคนเลว?
หญิงวัยกลางคนที่อุ้มหญิงสาวไว้รีบหันกลับมากล่าวขอโทษผู้โดยสารคนนั้นทันที “ลูกสาวฉันป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูค่ะ บางครั้งหล่อนเลยไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้ ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะ”
โชคดีว่าผู้โดยสารคนนั้นไม่ใช่ผู้ชายที่ไร้เหตุผล
หลังจากได้ยินคำอธิบายจากหญิงวัยกลางคน สีหน้าถมึงทึงของเขาก็อ่อนโยนลง ก่อนจะพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจ “การเลี้ยงดูลูกที่มีโรคประจำตัวคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ”
หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มเศร้า ๆ “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ!”
ผู้ชายอีกคนที่ขึ้นรถมาพร้อมกับพวกหล่อนหยิบตั๋วรถไฟออกมา แล้วเริ่มตรวจสอบหมายเลขเพื่อหาที่นั่ง
ไม่นานนักก็พบว่าเลขที่ระบุบนตั๋ว อยู่ตรงข้ามกับที่นั่งของหลินม่าย
พวกเขาทั้งสามรีบนั่งเบียดกันอยู่บนที่นั่งที่นั่งได้แค่สองคน หญิงสาวคนนั้นถูกประกบให้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างชายหญิงวัยกลางคนทั้งสองราวกับแซนด์วิช
หลินม่ายแสร้งทำเป็นงง ถามว่า “คุณลุง คุณป้า ทำไมถึงไม่ซื้อตั๋วรถไฟแบบพิเศษล่ะคะ จะได้มีที่นั่งเพียงพอต่อสามคน แถมยังนั่งสบายกว่าเยอะ สภาพอากาศร้อนอบอ้าวจะตายไป คงไม่เหมาะที่จะนั่งเบียดเสียดกันแบบนี้”
หญิงวัยกลางคนถอนหายใจ “พวกเราต้องเก็บเงินไว้เพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลของยัยหนูน่ะสิ มีใครบังคับว่าต้องซื้อที่นั่งแบบพิเศษซะที่ไหนล่ะ? ถึงจะเป็นเงินไม่เท่าไหร่แต่ก็ประหยัดไปได้มากโข”
หญิงวัยกลางคนนี้อาจเคยชินกับการใช้วาทศิลป์เพื่อเรียกร้องความน่าสงสารจากคนอื่น แต่การกระทำพวกนั้นไม่สามารถหลอกลวงหลินม่ายได้ง่าย ๆ
ถ้าอยากประหยัดเงินจริง ๆ แค่ซื้อที่นั่งชั้นปกติให้ลูกสาวเพิ่มอีกหนึ่งที่ก็ได้แล้ว ไม่เห็นต้องนั่งเบียดกันบนที่นั่งสำหรับสองคนเลย!
หลินม่ายจึงสวมบทบาทเป็นคนมีน้ำใจ ตบที่นั่งว่างข้างตัว “ข้าง ๆ ฉันยังมีที่นั่งว่างอยู่ค่ะ คุณป้าย้ายมานั่งฝั่งนี้ก็ได้นะคะ”
หญิงวัยกลางคนโบกมือปฏิเสธ “ไม่จำเป็นหรอก ที่นั่งตรงนั้นคงมีเจ้าของแล้ว”
“แต่ผู้โดยสารคนนั้นยังไม่มานี่คะ คุณป้านั่งไปสักระยะหนึ่งก่อน รอจนเขามาแล้วค่อยคืนที่นั่งให้”
หญิงวัยกลางคนยังคงยืนกรานปฏิเสธ “ฉันต้องคอยดูแลยัยหนูอย่างใกล้ชิด เผื่ออาการเธอกำเริบขึ้นมาเมื่อไหร่ จะได้ช่วยเหลือกันทันเวลา”
เหตุผลของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก หลินม่ายไม่มีทางอื่นนอกจากยอมแพ้
พอเห็นว่าหญิงสาวที่กำลังเอนตัวพิงไหล่หญิงวัยกลางคนจ้องมองเธอตาไม่กะพริบ หลินม่ายก็จ้องหน้าหล่อนกลับทำเป็นแสดงความอยากรู้อยากเห็น
หญิงวัยกลางคนสังเกตเห็นสายตาของหลินม่าย จึงส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร
“ลมบ้าหมูที่ลูกสาวฉันเป็นอยู่เริ่มแสดงอาการหนักข้อและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เราตั้งใจจะพาเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนในกว่างโจว ได้ยินมาว่าหมอของที่นั่นรักษาโรคนี้เก่งมาก”
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจ ราวกับว่าเขาแบกรับความโศกเศร้าไว้อย่างมหาศาล
หลินม่ายส่งยิ้มให้ ก่อนจะหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านต่อในขณะที่กัดแอปเปิลไปด้วย และยังคงเหลือบมองท่าทางของอีกฝ่ายผ่านทางหางตา
หญิงวัยกลางคนกะพริบตา ถามหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “คุณเดินทางคนเดียวหรือว่ามากับครอบครัวคะ?”
หลินม่ายตอบโดยไม่เงยหน้ามอง “คนเดียวค่ะ”
ทันทีที่หญิงวัยกลางคนได้ยินแบบนั้น ดวงตาของหล่อนก็สว่างวาบขึ้นมา หันไปสบตาชายอีกคนอย่างใจเย็นโดยมองผ่านหญิงสาวท่าทางอ่อนแอไป
จากนั้นก็หยิบน้ำส้มขวดหนึ่งออกมาจากถุงผ้า ยื่นมันให้กับหลินม่าย “อากาศร้อนเกินไป ดื่มน้ำส้มดับกระหายสักหน่อยเถอะ”
น้ำส้มขวดนี้ราคาประมาณขวดละหนึ่งเหมาห้าเฟิน
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหาอีกฝ่ายดูเหมือนเป็นคนที่รักสุขภาพ แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว พวกเขาไม่มีทางควักเงินซื้อน้ำส้มขวดนี้ให้ลูกหลานตัวเองดื่มง่าย ๆ แน่นอน
เหตุผลหลักเป็นเพราะอัตราค่าจ้างต่ำเกินไป ทำให้ไม่กล้าใช้เงินฟุ่มเฟือย
ผู้หญิงคนนี้บอกว่าตัวเองมีฐานะยากจนแท้ ๆ แต่กลับหยิบขวดน้ำส้มออกมาแบ่งปันให้เธอหน้าตาเฉย
ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะปฏิเสธ ก็รู้สึกเหมือนมีคนยื่นขามาเตะใต้พนักที่นั่งของเธอหลายครั้ง
หลินม่ายแกล้งทำเป็นก้มอ่านนิตยสาร แต่พอมองต่ำลงไป ถึงเห็นว่าคนที่กำลังเตะที่นั่งของเธอคือหญิงสาวคนนั้น
หญิงสาวอ่อนแรงมาก ยิ่งเตะบ่อยครั้งเข้าแรงกำลังก็ดูเหมือนจะแผ่วล้าลงไปเรื่อย ๆ
หลินม่ายเงยหน้ามองหล่อน เห็นว่าสายตาของหญิงสาวดูเป็นกังวลมาก แถมยังพยายามส่ายหน้า
ราวกับต้องการส่งสัญญาณเตือนไม่ให้เธอดื่มน้ำส้มขวดนั้น
หลินม่ายหันไปยิ้มพลางพูดกับหญิงวัยกลางคน “ฉันแพ้น้ำส้มค่ะ ขอโทษที่รับน้ำใจไว้ไม่ได้”
หญิงวัยกลางคนบ่นพึมพำกับตัวเอง “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินว่ามีคนแพ้น้ำส้ม” หลังจากนั้นหล่อนก็เก็บขวดน้ำส้มกลับเข้าไปในถุงผ้าของตัวเอง
หลินม่ายฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายเผลอยืดคอไปดู พบว่าในถุงผ้านั้นไม่ได้มีน้ำส้มแค่ขวดนี้ขวดเดียว แต่ยังมีอีกอย่างน้อยสิบขวด
แค่เดินทางข้ามเมือง ทำไมถึงต้องพกน้ำส้มมากมายขนาดนั้น?
หลินม่ายยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
เธอชำเลืองมองหญิงสาวอีกครั้ง พอเห็นแววตาโล่งใจของอีกฝ่าย ก็ยิ่งแน่ใจว่าขวดน้ำส้มพวกนั้นต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ๆ
ไม่อย่างนั้นหญิงสาวจะห้ามไม่ให้เธอดื่มน้ำส้มขวดนั้นไปเพื่ออะไรกัน
ในเมื่อหล่อนอุตส่าห์พยายามช่วยทางอ้อม ดังนั้นเธอควรเป็นฝ่ายช่วยเหลืออีกฝ่ายบ้าง
แต่จะช่วยอย่างไรดีล่ะ?
หลินม่ายคาดเดาว่าอีกฝ่ายดูเหมือนเป็นคนที่ได้รับการศึกษา อายุอานามประมาณยี่สิบปี หวังว่าหล่อนคงพอเข้าใจภาษาอังกฤษบ้าง
เธอรีบเขียนประโยคภาษาอังกฤษลงบนกระดาษความว่า “Are you being kidnapped? Blink, if you are.” (คุณโดนลักพาตัวใช่ไหม? ถ้าใช่ ให้กะพริบตา)
หลังจากเขียนเสร็จ เธอก็วางกระดาษแผ่นนั้นลงบนที่นั่งข้างตัวอย่างโจ่งแจ้ง แล้วรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
ทันทีที่หญิงสาวชำเลืองมองประโยคภาษาอังกฤษบนกระดาษแผ่นนั้น หล่อนก็กะพริบตาถี่ ๆ ในขณะที่สบตากับหลินม่าย
หลินม่ายโล่งใจมาก เธอวางเดิมพันได้อย่างถูกต้อง หญิงสาวคนนี้รู้ภาษาอังกฤษจริง ๆ ด้วย
จากนั้นหลินม่ายก็หยิบกระดาษมาเขียนประโยคภาษาอังกฤษต่ออีกบรรทัดหนึ่ง “Don’t act rashly. I’ll save you.” (อย่ากระโตกกระตากไป ฉันจะช่วยคุณเอง)
หญิงสาวส่งสายตาแสดงความขอบคุณ
ขณะนั้นเอง เจ้าพนักงานรถไฟกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เดินลาดตระเวนผ่านมาพอดี
หลินม่ายยกมือขึ้น “สหายรปภ.คะ มีคนถูกลักพาตัวค่ะ”
คำพูดของเธอมีอิทธิพลพอจะเขย่าท้องฟ้าให้สั่นสะเทือน ดึงดูดความสนใจจากผู้โดยสารจำนวนมาก
ร่องรอยความตื่นตระหนกฉายวาบในดวงตาของชายหญิงวัยกลางคน แต่แล้วก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่รปภ.ถามอย่างจริงจัง “ใครถูกลักพาตัวครับ?”
หลินม่ายชี้ไปที่หญิงสาวท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “หล่อนค่ะ”
ทุกคนหันขวับมองไปที่ชายหญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งขนาบสองข้างหญิงสาวคนนั้นอยู่ จากนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังเซ็งแซ่
“คุณลุงคุณป้าสองคนนั้นดูท่าทางใจดีออก ไม่เห็นเหมือนคนร้ายเลยสักนิด หล่อนเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”
“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับเธอคนนั้นกันนะ ทำไมเนื้อตัวถึงได้อ่อนปวกเปียกแบบนี้?”
ท่าทางของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนไปจากเดิม ตอนนี้หล่อนจ้องเขม็งมองหลินม่ายด้วยความโกรธ
“ฉันว่าแล้วเชียว ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจจริง ๆ! หล่อนแอบขโมยเงินฉันไป พอฉันจับได้ก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายอย่างน่าสมเพช ฉันก็เลยยอมปล่อยหล่อนไป ไม่นึกเลยว่าหล่อนจะสร้างเรื่องใส่ร้ายฉัน!”
ทันใดนั้นผู้โดยสารหลายคนก็เริ่มเอะอะโวยวาย “เรื่องเป็นอย่างนี้เองเหรอ! ไม่น่าเชื่อเลย ผู้หญิงคนนี้ออกจะสวย แต่จิตใจกลับร้ายกาจมากกว่าที่คิด!”
“ตายแล้ว มีขโมยอยู่บนรถไฟ ทุกคนรีบตรวจสอบทรัพย์สินของตัวเองเร็วเข้า ดูว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า”
ไม่นานใครคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา “กระเป๋าสตางค์ของฉันหายไป!”
“เงินที่ฉันซ่อนไว้ในเสื้อโค้ตก็หายไปเหมือนกัน นั่นมันเงินก้อนสุดท้ายของฉันเลยนะ!”
หลายคนเริ่มร้องไห้ด้วยความวิตก บางคนก็พุ่งตัวเข้ามาหมายจะค้นตัวหลินม่าย “เอาเงินฉันคืนมาเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นฉันจะทุบเธอให้ตาย!”
โชคดีที่เจ้าหน้าที่ช่วยกันระงับสถานการณ์เอาไว้ได้ ทำให้ผู้โดยสารเหล่านั้นไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบ
หลินม่ายมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามพวกคุณหน่อย ก่อนหน้านี้ฉันเคยเฉียดเข้าไปใกล้พวกคุณหรือเปล่า?”
ผู้โดยสารเหล่านั้นหยุดร้องโวยวายทันที จริงอยู่ที่หลินม่ายไม่เคยพูดคุยหรือเฉียดเข้าใกล้พวกเขา
หลินม่ายเหยียดยิ้ม “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ สามารถฉกฉวยข้าวของของคนอื่นจากกลางอากาศได้ ใครจะรู้ เงินของพวกคุณอาจถูกขโมยไปตั้งแต่ก่อนจะขึ้นรถไฟแล้วก็ได้ ทำไมพวกคุณถึงคิดว่าเป็นฝีมือฉันล่ะ!”
เจ้าพนักงานรถไฟที่ขอสลับตู้นอนของหลินม่ายกับสองสามีภรรยาที่ป่วยเป็นโรคไตวายเข็นรถที่เต็มไปด้วยของว่างและเครื่องดื่มผ่านมาพอดี
เขาถามเจ้าหน้าที่รปภ.กับเพื่อนร่วมงาน “มีเรื่องอะไรกันเหรอ?”
เพื่อนร่วมงานของเขาชี้ไปที่หลินม่าย “ผู้โดยสารหลายคนสงสัยว่าหล่อนเป็นขโมย”
เจ้าพนักงานรถไฟหันมองหลินม่าย ก่อนจะยิ้มเป็นเชิงประชดประชัน “หล่อนเนี่ยนะเป็นขโมย? หล่อนเป็นพลเมืองดีที่มีน้ำใจประเสริฐต่างหาก ก่อนหน้านี้เพิ่งจะเสียสละที่นั่งตู้นอนให้กับคนป่วยด้วยซ้ำ”
หญิงวัยกลางคนโต้เถียงด้วยความไม่เชื่อ “แค่หล่อนมีเงินซื้อที่นั่งตู้นอน ไม่ได้แปลว่าหล่อนไม่ใช่หัวขโมยซะหน่อย”
เจ้าหน้าที่รปภ.เป็นชายวัยกลางคนที่ทำงานรักษาความปลอดภัยมานานกว่าสิบปี แน่นอนว่ามีประสบการณ์อย่างโชกโชน
เขาส่งสายตาเฉียบคมจ้องมองไปที่หญิงวัยกลางคน “ในเมื่อคุณยืนยันว่าผู้หญิงคนนี้เป็นขโมย งั้นคุณมีหลักฐานหรือเปล่า?”
หญิงวัยกลางคนตอบกลับเสียงอ่อย “ฉันเพิ่งบอกไปว่าฉันอภัยให้หล่อนแล้ว ก็เลยไม่มีหลักฐาน…”
เจ้าหน้าที่รปภ.มองไปทางหลินม่ายอีกครั้ง “คุณมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ถูกพวกเขาทั้งสองลักพาตัวไหม?”
“มีค่ะ!”
หลินม่ายยื่นกระดาษที่เขียนประโยคภาษาอังกฤษให้อีกฝ่ายดู
“ฉันพยายามสื่อสารกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นภาษาอังกฤษ ถามว่าหล่อนถูกลักพาตัวมาใช่ไหม พอได้รับคำตอบยืนยันแน่ชัดแล้ว ฉันถึงได้เรียกให้พวกคุณมาตรวจสอบ”
หางตาของชายหญิงวัยกลางคนกระตุกทันที
พวกเขาคาดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะหาทางสื่อสารกับหญิงสาวด้วยวิธีนี้
เจ้าหน้าที่รปภ.ชี้ไปที่ประโยคภาษาอังกฤษสองบรรทัดบนกระดาษ ถามหลินม่ายว่ามันแปลว่าอะไรบ้าง
หลินม่ายอธิบายให้พวกเขาฟัง
เจ้าหน้าที่หันไปพูดกับชายหญิงวัยกลางคนทันที “พวกคุณสามคน ตามผมมา ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ม่ายจื่อสุดยอด ใช้ความไม่รู้ภาษาต่างประเทศให้เป็นประโยชน์ เห็นถึงประโยชน์ของการรู้ภาษาต่างประเทศก็ตอนนี้เอง
ไหหม่า(海馬)