สาวใช้ร่างเล็กเดินออกมาจากห้องบรรทมของวังหลวงพร้อมถ้วยกับตะเกียบในมือ และเดินสวนกับเฮยจูที่ไม่ได้เจอกันมานานเข้า อีกฝ่ายอยู่ในชุดกี่เพ้าเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอกวังหลวง ดวงตาของเฮยจูเป็นประกายเมื่อนางเห็นสาวใช้ร่างเล็ก ”ชิงจ้าน เจ้ากลับมาแล้ว!”
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเรียกนางด้วยชื่อนี้มาเป็นเวลานานแล้ว สาวใช้ร่างเล็กผ่อนฝีเท้าลงครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงพยักหน้าให้
เฮยจูถูมือ แล้วขมวดคิ้วได้รูปของตนเข้าหากัน ”ทำไมเจ้าถึงต้องมาทำอะไรเช่นนี้ด้วยเล่า คงไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังรับใช้ผู้หญิงที่ชื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นอยู่อย่างที่พวกสาวใช้พูดกันหรอกใช่ไหม”
ชิงจ้านมองนาง แล้วแก้คำพูดให้นางเบาๆ ว่า ”เรียกนางว่าพระชายา”
เฮยจูแค่นหัวเราะใส่นาง ”พระชายาหรือ อีกไม่นานนางก็จะเสียตำแหน่งนั้นไปแล้ว”
มือของชิงจ้านที่กำลังถือถ้วยชามและตะเกียบอยู่ถึงกับชะงักไป นางรู้ว่าเฮยจูจะไม่พูดเช่นนั้นออกมาหากนางไม่มั่นใจเต็มที่ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น
เฮยจูเอ่ยต่อ ”นางก็มีดีแค่ยั่วยวนเท่านั้น ฝ่าบาทไม่เคยพบเจอคนเช่นนั้นมาก่อน จึงตกหลุมพรางของนางเข้า”
ชิงจ้านมองถ้วยชามและตะเกียบในมือโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เฮยจูเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ”ข้าแนะนำให้เจ้ารีบไปจากนางโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า เจ้าชอบนายน้อยเลี่ยมิใช่หรือ ก็แค่ขอให้นายน้อยเลี่ยช่วยพาเจ้าไปจากที่นี่เสียสิ”
ชิงจ้านเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเครียดขึง ”ข้าไม่เคยคิดที่จะขอให้เขาช่วยข้าไปจากที่นี่เลย”
“ข้ารู้ ข้ารู้แล้วน่า” เฮยจูไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์แบบไหน นางจึงตบหลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ
ชิงจ้านคิดในใจว่า ‘เจ้าไม่รู้หรอก ใช่ว่าเพียงเพราะข้าชอบใครสักคน แล้วข้าจะลดตัวลงไปเป็นอนุภรรยาของคนคนนั้นได้’
นางเผลอนึกถึงสิ่งที่พระชายาเคยพูดกับนางขึ้นมา
คำพูดนั้นเป็นคำพูดที่ทั้งสง่างาม ตรงไปตรงมา และแหกขนบยิ่งนัก
เป็นสิ่งที่นางไม่เคยนึกถึงมันมาก่อนเลย
ตั้งแต่ที่นางเข้ามาในวังหลวงเพื่อเป็นองครักษ์ของวังปีศาจ นางก็มีเพียงแค่คนคนเดียวอยู่ในสายตา ในเวลานั้น นางไม่มีความคิดอื่นอยู่เลยแม้แต่น้อย ทั้งนางและเขาต่างก็ยังเด็ก ตอนที่นางฝึกเสร็จแล้ว นางจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเฝ้ามองเด็กชายตัวเล็กหน้านิ่วคิ้วขมวดกับการทำนาย นางรู้ว่าเขาไม่ได้รักนาง ทุกครั้งที่เขาออกไปข้างนอก นางจะออกไปกับเขาพร้อมกับถืออะไรใหม่ๆ ติดมือไปด้วยเพียงเพื่อทำให้เขามีความสุข มันเหมือนกับว่าตราบใดที่เขามีความสุข ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนแต่คุ้มค่าที่จะทำทั้งสิ้น ที่สำคัญกว่านั้น นางไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าทั่วทั้งร่างของนางจะเต็มไปด้วยบาดแผลหรือรอยฟกช้ำเพื่อเขา
นางเองก็ลืมตัวตนของนางไปแล้วเหมือนกัน
นางเคยมีชีวิตที่ต่ำต้อย
อาจเป็นเพราะนางคุ้นเคยกับสถานะต่ำต้อยของตัวเองเป็นอย่างดี จึงทำให้นางมองเห็นเขาเป็นโลกทั้งใบของนางได้อย่างง่ายดาย
หากนางอยู่ข้างกายพระชายา ชีวิตของนางคงจะมีความหมายมากกว่าตอนนี้ และนางน่าจะสามารถลืมอดีตนั้นได้ง่ายขึ้น
นางไม่เคยเข้าเรียนในสำนักมาก่อน และพระชายาก็บอกว่าจะพานางไปดูที่นั่นด้วย
แล้วทำไมนางถึงต้องไปจากพระชายาด้วยล่ะ
ทันใดนั้นชิงจ้านก็ไม่เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าทำไมนางถึงได้นึกโกรธเฮยจู ”ต่อไปในอนาคต เจ้าควรทำตัวสุภาพกับพระชายาให้มากขึ้นด้วย”
เฮยจูมองนางแล้วยิ้ม ”ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่ฝ่าบาทสนใจเพียงแค่ท่านพี่คนเดียวเท่านั้น ตราบใดที่นางกลับมาที่วังหลวง เจ้าจะไปกลัวว่าจะทำให้ตัวแทนเช่นนางโกรธไปทำไมกัน”
ชิงจ้านชะงักไปราวกับว่านางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ”มิใช่ว่าท่านพี่…”
เฮยจูกระแอมออกมาสองครั้ง นางทำท่าเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไป ”ข้าหมายถึง ถ้าสมมติว่าเป็นอย่างนั้นขึ้นมา”
ชิงจ้านมองนาง หัวใจนางตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ”นี่พูดได้ยากจริงๆ ข้าบอกได้เพียงแค่ว่า พระชายาคงจะไม่ยอมเป็นตัวแทนของใครอย่างที่เจ้าคิดแน่”
เฮยจูชำเลืองมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ”กลอุบายของผู้หญิงคนนี้ไม่เลวทีเดียว หึ! แม้แต่เจ้าก็ยังช่วยพูดแทนนางรึ แต่ก็เหมือนอย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทจะมีคนคอยรับใช้หนึ่งหรือสองคนข้างกายก็หาได้เป็นปัญหาไม่ แต่ไม่ใช่คนที่ใช้กลอุบายชั่วช้าเช่นนั้น คนอย่างนางย่อมไม่ได้รับการยอมรับแน่ ข้าจะพูดกับเจ้าตรงๆ ก็แล้วกัน ข้ากับคนอื่นๆ กำลังวางแผนจะทำให้นางต้องอับอายอยู่”
“ไม่ต้องบอกข้าหรอกว่าพวกเจ้ากำลังวางแผนทำอะไรกันอยู่ ข้าไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย” ชิงจ้านเอ่ยเบาๆ อย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ”ข้าขอเตือนความจำเจ้าเอาไว้ ว่าพระชายาคือผู้ที่ได้รับเลือกมาจากฝ่าบาท นี่เป็นความจริงที่เจ้าต้องยอมรับมิใช่หรือ หากเจ้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป จะมีคนอื่นพลอยติดร่างแหไปด้วย!”
เฮยจูจับต้นชนปลายไม่ถูก นางไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เงียบขรึมอย่างชิงจ้านจะหัวเสียแทนคนอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยได้
อะไรกัน เดี๋ยวก่อนสิ!
ในไม่ช้านี้ท่านพี่ก็จะกลับมาแล้ว
ไม่ใช่แค่นั้น นางเองก็จะเข้าเรียนที่สำนักไท่ไป๋เช่นกัน
เวลานี้ในเมื่ออดีตฮ่องเต้ทรงอยู่ที่นี่ ท่านพี่ย่อมไม่ปรากฏตัวออกมาแน่
แต่สำนักไท่ไป๋นั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของอดีตฮ่องเต้
ฝ่าบาทจะยังไม่ได้พบกับท่านพี่จนกระทั่งถึงตอนนั้น
แล้วนังผู้หญิงอัปลักษณ์อย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยจะทำอะไรได้
เฮยจูเริ่มหัวเราะออกมา นางไม่ได้โทษชิงจ้าน เด็กคนนี้ยังเด็กนัก และไม่รู้ข่าวเรื่องที่ท่านพี่ยังมีชีวิตอยู่ หากนางรู้ นางคงไม่มีทางหลงกลอุบายของผู้หญิงอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยได้แน่
ระหว่างที่คิดเช่นนั้นอยู่ เฮยจูก็ชำเลืองมองไปทางห้องบรรทมอีกครั้ง นางเชื่อว่าในสายตาของฝ่าบาท อย่างไรท่านพี่ก็ยังเป็นคนที่สำคัญที่สุด
หากไม่ใช่อย่างนั้น สาเหตุที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงอื่นมาตลอดหลายปีจะเป็นอะไรไปได้อีก
ยิ่งกว่านั้น ผู้หญิงที่โตมามีหน้าตาอย่างนั้นจะคู่ควรกับฝ่าบาทได้อย่างไร
นางเป็นเหมือนคางคกที่อยากกินเนื้อห่านฟ้า[1]ไม่มีผิด!
หากไม่ใช่เพราะอดีตฮ่องเต้ ฝ่าบาทจะทนมองหน้าตาอย่างนั้นโดยที่ไม่ลงมือสังหารนางไปเสียก่อนได้อย่างไรกัน
เฮยจูลูบรอยแส้บนแขนของตน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย นางจะต้องทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนั้นเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้ได้!
พระอาทิตย์กำลังจะลาลับทางทิศตะวันตก ห้องบรรทมภายในวังหลวงให้ความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
“นี่ แม่นาง เจ้ามัวแต่เสพสุขจนลืมหน้าที่ตลอดสองวันนี้ไปแล้ว เมื่อไหร่เจ้าจะเอาพลังมาให้ข้าเสียที” หยวนหมิงที่อยู่ในมิติสวรรค์ไม่พอใจกับสถานะปัจจุบันของผู้เป็นนายยิ่งนัก
แน่ล่ะ รักหวานแหวว หึ!
มันเป็นหนึ่งในวิธีที่ทำให้มนุษย์โง่เขลายิ่งขึ้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาอย่างชั่วร้าย ทันใดนั้นริมฝีปากของนางก็โค้งขึ้น ”เจ้ารู้อยู่แล้วหรือ”
“รู้รึ… รู้อะไร” หยวนหมิงรู้สึกผิดขึ้นมาเมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับหนังสือโบราณในมือ แล้วเขย่ามันไปมา ”เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของข้าคือองค์ชายสาม”
“ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง” หยวนหมิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเรื่องพรรค์นั้นหรือ”
“แม่นาง ข้าจะบอกอะไรให้ ดีแล้วที่เจ้าแต่งงานกับเขา” หยวนหมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ”ข้ารู้อยู่ว่าลึกๆ แล้วในหัวใจเจ้านั้น เจ้ารักข้าที่สุด แต่ความรักระหว่างมนุษย์กับปีศาจนั้นมิอาจงอกเงยได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”เจ้าไปเอาความมั่นใจในตัวเองอย่างทรงพลังเช่นนี้มาจากไหนกัน”
“เอาไว้พวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกทีก็แล้วกัน ตอนนี้เรามาคุยเรื่องปัญหาระหว่างพวกเจ้าสองคนดีกว่า” หยวนหมิงยิ้ม อย่างชั่วร้าย ”ถ้าข้าเดาไม่ผิด ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะมีปราณอยู่หลายธาตุ เขามีปราณอยู่ทุกธาตุเลยก็ว่าได้ ถ้าเจ้าสามารถใช้วิธีนั้นควบคุมปราณ และทำเรื่องอย่างว่ากับเขาหลายๆ ครั้ง เจ้าก็จะสามารถควบคุมปราณได้ทั้งธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดินอย่างอิสระ ไม่ใช่เพียงแค่ธาตุลมอย่างที่เจ้ามีในเวลานี้”
มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”ทำเรื่องนั้นหลายๆ ครั้งหรือ หืม”
“เจ้าไม่ต้องกังวล หลังจากที่เจ้าปฏิบัติภารกิจเสร็จ ข้าจะคอยดูดซับสารอาหารให้อยู่ภายในมิติสวรรค์” หยวนหมิงขยิบตาอย่างมีเสน่ห์
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา แล้วจึงหยิบหนังสือโบราณขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม นางเขย่าหนังสืออย่างแรงอีกหลายครั้ง
จากนั้นหยวนหมิงก็รู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธ เขากลับไปซ่อนตัวอยู่ในมิติสวรรค์ บางครั้งเขาก็ไม่สามารถยั่วโมโหผู้เป็นนายได้จริงๆ แววตาที่อยู่ในดวงตาของนางสามารถทำให้คนกลัวหัวหดได้เลยทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยลงโทษหยวนหมิงจนสาแก่ใจแล้ว จากนั้นนางถึงได้นำเอาคำพูดของเขามาคิดอย่างจริงจัง
คาดไม่ถึงว่าคำพูดพวกนั้นจะควรค่าแก่การพิจารณาเช่นนี้ ถ้าจะพูดอีกอย่างก็คือ ในคืนนั้น ฝ่าบาทเพิ่งใช้นางเพื่อรวบรวมพลังหยางและเติมเต็มพลังหยินนี่เอง…
——————–
[1] คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า เป็นสำนวน หมายถึง คนที่ต่ำต้อยหมายปองคนที่สูงศักดิ์ ตรงกับสำนวนไทยว่า ดอกฟ้ากับหมาวัด