อืม เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็รู้สึกสบายใจ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองสัญญาที่วางอยู่ในจุดที่สามารถเห็นได้ชัดเจนนั้นอย่างอารมณ์ดี แล้วจึงยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
นางคิดขึ้นมาได้ว่าประธานจอมเผด็จการทั้งหลายในยุคปัจจุบันจะเอาใจใครสักคนก็หลังจากที่ใช้คนคนนั้นจนหมดประโยชน์แล้วทั้งนั้น
นางก็คงต้องนำวิธีนั้นมาประยุกต์ใช้เหมือนกัน
“ชิงจ้าน” เฮ่อเหลียนเวยเวยออกคำสั่ง ”คืนนี้เรามาย่างเนื้อกันดีกว่า”
ชิงจ้านชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า ”อาการไม่อยากอาหารของพระชายาดีขึ้นแล้วหรือเพคะ”
“อืม ดีขึ้นแล้วล่ะ ข้าแค่อยากทำเพราะองค์ชายชอบเนื้อสัตว์ก็เท่านั้น” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบยิ้มๆ พลางคิดกับตัวเองในใจว่า ข้าใส่ใจถึงเพียงนี้เชียวนะ สมกับเป็นประธานจอมเผด็จการที่เก่งกาจเสียจริง!
ชิงจ้านหันหน้าไปอีกทางอย่างเงียบๆ นางเป็นองครักษ์ของวังปีศาจมาก็หลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินว่าฝ่าบาทชอบเนื้อสัตว์
ขันทีซุนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ”เจ้าไปเตรียมของเถอะ สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่ากระเพาะเป็นหนทางสู่ใจชายหนุ่ม ในที่สุดพระชายาก็เข้าใจแล้ว”
ชิงจ้านมองเขา แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า ”ขันทีซุน ท่านแน่ใจหรือว่าพระชายามิได้เพียงแค่อยากเสวยเองเท่านั้น”
ขันทีซุนถึงกับพูดไม่ออก
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยต่ำอยู่ทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจากตะวันโพล้เพล้ อาทิตย์สีทองสาดแสงผ่านหมู่เมฆ ปกคลุมทั่วทั้งวังหลวงด้วยแสงเป็นประกาย
แสงอาทิตต์ระเรื่อนั้นลอดผ่านม่านของหน้าต่างบานหนึ่งเข้ามา เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังง่วนอยู่กับตะแกรงเหล็กซึ่งใช้สำหรับแขวนเนื้อแกะย่าง
ชิงจ้านยืนมองอยู่ข้างกายนาง นางสงสัยว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนใช้ชีวิตตลอดสิบกว่าปีของตนมาอย่างไร ทำไมนางถึงได้ดูเจ้าเล่ห์มากถึงเพียงนี้
อืม… บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้พระชายาแตกต่างออกไป
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังไม่กลับมา เขาคงจะยุ่งอยู่กับงานในราชสำนัก
ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบถูกรบกวน
ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ที่นี่มีสาวใช้และขันทีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยสบายใจกับสถานการณ์ในเวลานี้ยิ่งนัก
เดิมที นางคิดจะไปทำความเคารพฮองเฮา แต่ขันทีซุนกลับห้ามนางเอาไว้ แล้วเอ่ยว่า ”ไม่จำเป็นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะพาท่านไปที่นั่นเองหากมีเวลา อดีตฮ่องเต้เองก็ไม่ว่างเท่าใดนัก ช่วงนี้พระองค์เองก็ค่อนข้างยุ่งทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
เขากรองคำว่าฮองเฮาออกไปโดยอัตโนมัติ
คนฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้เป็นธรรมดา ในเมื่อองค์ชายบอกว่านางไม่จำเป็นต้องไปทำความเคารพฮองเฮา นางก็จะทำตามนั้น อย่างไรเสียฮองเฮาก็ไม่ใช่พันธมิตรของพวกนาง นางเองก็ไม่ได้สมัครใจที่จะสร้างความสำราญให้กับอีกฝ่ายอยู่แล้วเหมือนกัน นางไม่อยากเห็นหน้าคนจากจวนอ๋องมู่หรงแม้แต่คนเดียว
หากดูตามสถานการณ์ปัจจุบันในราชสำนัก มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่ในเวลานี้ มู่หรงฮองเฮาน่าจะกำลังต่อสู้กับองค์ชายเพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทให้กับบุตรชายอายุสี่ขวบที่นางคลอดออกมาอยู่
แต่ถ้าหากองค์ชายต้องการสู้กับเจ้าหนูนั่นจริงๆ เขาก็สามารถที่จะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายให้ถึงแก่ความตายได้เลยทีเดียว
ป่านนี้องค์ชายตัวน้อยนั่นคงได้ตายไปแล้วด้วยซ้ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางสูดหายใจเข้า และบิดตัวยืดเส้นยืดสาย นางค่อยๆ เดินไปที่ครัวชั่วคราวที่จัดเตรียมไว้ แล้วเริ่มลงมือทำความสะอาดเนื้อแกะในมือ
เนื้อแกะนั้นควรต้องหมักเพื่อดึงเอารสชาติที่ดีที่สุดของมันออกมาก่อนนำไปย่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนพิถีพิถันกับเรื่องอาหารการกินของตัวเองมาโดยตลอด นางไม่เคยปล่อยให้ตัวเองกินอาหารไม่ดีเลยแม้แต่มื้อเดียว และแน่นอนว่านางยังเป็นคนที่ทำอาหารได้อร่อยมากอีกด้วย นอกจากนั้นหากนางต้องการอะไร ขันทีซุนก็สามารถจัดหาทุกสิ่งที่นางต้องการในวังหลวงมาให้กับนางได้
ปัญหาเดียวที่มีคือขันทีซุนดูจะกระตือรือร้นจนเกินเหตุไปเสียหน่อย เขาแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาทุกครั้งที่ส่งของพวกนั้นให้กับนาง
เรื่องนี้ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยงุนงงยิ่งนัก แต่นางก็ตัดสินใจที่จะเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พราะนางทนรอที่จะกินอาหารเลิศรสต่อจากนี้ไม่ไหวแล้ว นางยังเตรียมกุ้งผัดพริกเอาไว้เป็นอาหารอีกจานหนึ่งด้วย นางไม่รู้ว่าองค์ชายจะชอบกินกุ้งหรือเปล่า แต่ตอนนางอยู่ที่สำนัก สิ่งเดียวที่นางรู้คือเขาไม่ชอบกินมะเขือม่วง
“ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกินกุ้งหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยหันหน้าไปถามขันทีซุนที่เดินตามหลังนางอยู่
ขันทีซุนหยุดเดิน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยังจำไม่ได้ ”น่าจะเสวยนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสวยได้ทุกอย่าง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วถอนหายใจ ”เอาล่ะ ข้าจะสังเกตอาการเขาทีหลังก็แล้วกัน”
หลังจากที่บทสนทนาของทั้งสองสิ้นสุดลง ไม่นานร่างสูงเพรียวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ก็เดินเข้ามาในวังท่ามกลางความมืดยามตะวันใกล้ตกดิน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังออกคำสั่งกับเงาทมิฬอยู่ ขันทีที่อยู่ข้างเขาหอบสาส์นกองโตเอาไว้ในมือ พร้อมกับเดินตามหลังเขามาอย่างเงียบๆ
เขายกมือขึ้นปลดกระดุมที่คอเสื้อ แล้วจากนั้นเขาก็เห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับชามเหล็กใบเล็กๆ ในมือ นางเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้ม ”ท่านกลับมาแล้วหรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป แล้วมองเฮ่อเหลียนเวยเวย
บนใบหน้าที่เปรอะไปด้วยแป้งของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ สีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของนางนั้นเป็นของจริง ดวงตาของนางงดงาม มีเสน่ห์ และยากเกินจะต้านทาน
ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็รู้สึกว่า ผู้หญิงนั้นช่างเข้าใจได้ยากเสียจริง
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เลือกที่จะเออออไปกับนาง เขาส่งเสียงตอบรับ แล้วส่งสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองให้กับเงาทมิฬ
จากนั้นเงาทมิฬและขันทีจึงขอตัวกลับไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มลงหยิบขาแกะที่เตรียมไว้ขึ้นมาจากชามเหล็ก นางหมุนส้อมเหล็กในมือด้วยท่วงท่าอันงดงาม แล้วจัดแจงวางขาแกะขานั้นลงบนตะแกรงเหล็ก ใต้ตะแกรงมีไฟกำลังลุกโชติช่วง นางเคลือบเนื้อชิ้นนั้นด้วยน้ำมัน และพวกเขาก็ได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยตลบอยู่ในอากาศแทบจะทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงจ้องมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่วางตา
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนเป็นสีดำ นางหมุนขาแกะ แล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาให้ชัดๆ นอกจากองค์ชายแล้ว ก็คงไม่มีใครอื่นบนแผ่นดินนี้ที่จะยังสามารถคงความหล่อเหลาเอาไว้ได้แม้จะมีบาดแผลอยู่บนศีรษะเช่นนี้
หน้าผากของเขามีผ้าพันแผลสีขาวพันยาวไปจนถึงด้านหลังศีรษะ มันดูเหมือนการแต่งกายรูปแบบใหม่มากกว่าจะเป็นการได้รับบาดเจ็บเสียอีก ซึ่งภาพนี้ดูคล้ายคลึงกับตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บที่ดวงตายิ่งนัก นั่นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันกับนางคนนั้น นางกระแอมออกมา แล้วยื่นมือออกไปแตะผ้าผืนนั้นพร้อมกับเอ่ยว่า ”ถ้าท่านจับแค่ศีรษะหรือหน้าของข้า ข้าก็คงจะไม่ลงมือกับท่านรุนแรงถึงเพียงนี้”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็แอบชำเลืองมองด้านหลังต้นคอของเฮ่อเหลียนเวยเวยระหว่างที่นางเตรียมเนื้อแกะต่อ เส้นผมอันงดงามที่ด้านหลังคอของนางสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำมือของตัวเองเข้าหากัน และพยายามข่มความต้องการที่จะสัมผัสคอของนางอีกครั้ง เขาตอบรับคำพูดนั้นเบาๆ คงมีใครบางคนพูดอะไรกับนาง และทำให้นางสามารถปล่อยวางเรื่องในคืนนั้นได้อย่างแน่นอน
แม้กระทั่งเหยื่อตัวน้อยก็ยังรู้จักทำตัวเชื่อฟังเพื่อที่จะสงบศึกกับเขา
ดูเหมือนว่านางกำลังยิ้ม เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้นั่นก็หมายความว่านางกำลังเพิกเฉยต่อเรื่องก่อนหน้านี้
อา แต่สิ่งที่เขาต้องการคือให้นางยอมรับเขา ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นผ่านไปจนหมดสิ้นเช่นนี้
นางทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆ ได้เก่งกาจเสียจริง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มเย็นชาในใจ แต่ใบหน้าของเขากลับยังนิ่งเฉย ระหว่างนั้นเขาก็ตอบว่า ”ตอนที่เจ้าทำร้ายข้า เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่ามันอาจจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ก็ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยว่า ”ท่านเป็นบุรุษ แต่กลับกังวลเรื่องรอยแผลเป็นหรือ”
เจตนาที่แท้จริงของนางคือการทำให้เขาหยุดพูด
แต่แล้วนางก็กลับต้องประหลาดใจ เพราะอีกฝ่ายตอบกลับมาหน้าตาเฉยว่า ”แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าการเป็นชายที่หล่อเหลาที่สุดในโลกนี้เป็นเรื่องง่ายหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ก็ได้ ความไร้ยางอายของนางเทียบชั้นกับองค์ชายบางองค์ไม่ติดฝุ่นเลยจริงๆ