ขณะพูด นางเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง น้ำเสียงคมกริบ “คุณหนูมั่ววางใจเถอะ คุณหนูเพิ่งได้รางวัลชนะเลิศในงานเลี้ยงดอกท้อ แม้จะมีคนอยากจะใส่ความคุณหนู ข้าก็ไม่ยอมให้คนเช่นนี้มีชีวิตรอด รอให้ข้าพิสูจน์ได้ว่าคนชั่วพูดจาเหลวไหล ข้าก็จะสังหารเจ้าคนชั่วนี้ทันที ทั้งยังจะกราบทูลเสด็จพ่อให้ลงโทษหัวหน้าทหารคนนี้”
สมกับที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม เพียงครู่หนึ่ง หลังจากโอบอ้อมและใจกว้างก็จัดการอย่างเด็ดขาด
น่าเสียดาย คู่ต่อสู้ของนางคือมั่วเชียนเสวี่ย
เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ดังและไม่เบา ไม่รีบร้อน “องค์หญิงย่อมมีสิทธิ์ดูแขนของหม่อมฉัน แต่ว่า หม่อมฉันไม่พอใจเพคะ!”
ประโยคสุดท้ายนางพูดเน้นเสียง จนองค์หญิงอวี้เหออดไม่ได้ที่จะเปิดม่าน “ไม่พอใจ?” นางลากเสียงยาว เคล้าไปด้วยความน่าเกรงขาม ที่มุมปากยังเปื้อนรอยยิ้ม
ให้เกียรติแล้วแต่กลับทิ้งขว้าง!
หากไม่ใช่เพราะต้องรักษาภาพพจน์ต่อหน้าสตรีชั้นสูงและบรรดาบัณฑิต หากไม่ใช่เพราะจะสังหารนาง ตนจะยอมไปดูแขนของหญิงโสมมคนนี้ได้อย่างไร
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นกะทันหัน จ้องมองไปที่องค์หญิงอวี้เหอ “กราบทูลองค์หญิง วันนี้บนท้องถนน มีคนโผล่ออกมาแล้วบอกว่าหม่อมฉันเป็นภรรยาของเขา องค์หญิงกลับฟังและเชื่อ เคลือบแคลงสงสัยในตัวหม่อมฉัน ต้องการจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์หม่อมฉัน หากวันพรุ่งนี้มีคนมาแต่งเรื่องแล้วเห็นเรือนร่างของหม่อมฉัน รู้ว่าหม่อมฉันมีไฝอยู่บริเวณใด องค์หญิงก็จะพิสูจน์อีกครั้งหรือเพคะ …เมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันไม่กลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงหรือเพคะ หม่อมฉันกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่หากองค์หญิงอวี้เหอกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงด้วย ทำให้ชื่อเสียงอันดีงามแปดเปื้อน แล้วจะให้หม่อมฉันชดใช้เช่นไรเพคะ”
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยพูดเช่นนี้ องค์หญิงอวี้เหอถึงกับพูดไม่ออก
ตามหลักการทั่วไป หากมีคนมาป้ายสีเรื่องความบริสุทธิ์ของสตรีชั้นสูง สิ่งแรกที่ต้องทำคือโบยคนที่ล่วงเกินยี่สิบที ดูสถานการณ์ แล้วจัดการ ไม่มีหลักการที่ว่าสตรีคนใดถูกใส่ความ แล้วต้องให้คนอื่นมาดูกิติพิรุณของตนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
นั่นเป็นการกระทำของหญิงชาวบ้านทั่วไป สตรีชั้นสูงมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง จะดูพร่ำเพรื่อได้อย่างไร แม้แต่นางที่เป็นองค์หญิงก็ไม่ควรพูดเรื่อยเปื่อยเช่นนี้
มั่วเชียนเสวี่ยพูดจบ หันไปมองบัณฑิตคนนั้น สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันที แววตาของนางคล้ายคมดาบที่ฉายลำแสงเยือกเย็น มีไอสังหารแผ่ซ่านอย่างแปลกพิกล บัณฑิตคนนั้นถึงกับตกใจ เกิดอาการหนาวสั่นขึ้นมาทันที
มีความกล้าเพียงเท่านี้ คู่ควรกับนางด้วยหรือ!
มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มความเย้ยหยันในใจ “หม่อมฉันคิดว่าคนคนนี้ไม่เพียงพูดจาเหลวไหลทั้งยังแฝงเจตนาร้ายเพคะ ล่วงเกินสตรีชั้นสูง ขณะเดียวกันก็มีเจตนาหลอกลวงองค์หญิง น่ารังเกียจ จิตใจต่ำทราม สมควรโบยให้ตาย”
บัณฑิตได้ยินคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย ทุกถ้อยคำล้วนกล่าวโทษ เขาถึงกับขาอ่อน หากไม่ใช่เพราะผู้บัญชาจางที่ยืนอยู่ข้างๆ ลอบพยุงเขาเอาไว้ เขาคงล้มพับลงตั้งนานแล้ว
คนคนนั้นพูดเอาไว้ไม่ใช่หรือ ขอเพียงเขายืนกรานหนักแน่น เขาก็จะเป็นสามีของบุตรีท่านกั๋วกง แล้วสามารถเข้าไปอยู่ในจวนกั๋วกง เป็นท่านกั๋วกง?
องค์หญิงอวี้เหอคิดไม่ถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะพูดจาฉะฉานเช่นนี้ เพียงครู่หนึ่งหมุนหัวลูกศรมาที่ตน ทั้งยังเรียกร้องด้วยความชอบธรรมขอให้สังหารบัณฑิตคนนั้น
นึกถึงชื่อเสียงอันดีงาม นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ นางจำต้องปรับเสียงให้อ่อนโยน “เสด็จพ่อปกครองใต้หล้าด้วยความเมตตาและคุณธรรม ให้ความสำคัญกับบัณฑิตมาโดยตลอด คนที่ร่ำเรียนหนังสือล้วนเข้าใจมารยาท ไม่พูดจาเหลวไหล หากเขาเป็นคนชั่วช้า เช่นนี้ข้าย่อมไม่เชื่อเขา ไม่รอคุณหนูมั่วร้องขอ ข้าก็จะสั่งสังหารเขา”
“องค์หญิงโปรดเมตตา!” บัณฑิตคุกเข่าลงบนพื้น
องค์หญิงอวี้เหอหันไปมอง ภายในใจของนางยิ้มเยือกเย็นด้วยความเสแสร้ง สีหน้ากลับฉายความยุติธรรม “เจ้าบอกว่าคุณหนูจวนกั๋วกงคือภรรยาที่แต่งงานแก้เคล็ดกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าเล่าเรื่องตั้งแต่แรกจนจบอีกหนึ่งรอบ หากโกหก ข้าจะสั่งประหารเจ้าทันที เจ้าต้องคิดให้ดี!”
เพื่อความฝันในการเป็นท่านกั๋วกงของตน บัณฑิตตัดสินใจหนักแน่นแล้วพูด “องค์หญิงโปรดตรวจสอบ กระหม่อมแซ่หนิงนามเซ่าชิง เป็นอาจารย์อยู่ในเมืองเทียนเซียง สอนหนังสือสำนักศึกษาปฐมวัยในหมู่บ้านหวังจยาซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเทียนเซียงสี่สิบกว่าลี้มาโดยตลอด วันหนึ่งกระหม่อมล้มป่วยกะทันหัน…พวกเราสองคนสามีภรรยากันและอยู่กินด้วยกันในหมู่บ้านหวังจยามานานครึ่งปีกว่า มั่วเชียนเสวี่ยเป็นภรรยาของกระหม่อมจริงๆ กระหม่อมพูดความจริงทุกอย่าง องค์หญิงได้โปรดคืนความบริสุทธิ์ให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ เกลี้ยกล่อมให้ภรรยากลับตัวกลับใจ ภรรยาฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ถูกหมัวมัวเสี้ยมสอนให้หลงผิด หน้ามืดตามัวไปชั่วขณะหนึ่ง กระหม่อมไม่โกรธเคือง ขอเพียงนางตั้งสติได้ก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงเซ่าชิง? ออกเสียงเหมือนกันต่างกันแต่เขียนต่างกัน มั่วเชียนเสวี่ยนับถือความหลักแหลมของคนเหล่านี้จริงๆ
ไม่ให้โอกาสนางในการอธิบายแม้แต่น้อย แต่กลับให้บัณฑิตที่โผล่มากะทันหันพล่ามยาว หึ! สร้างเรื่องระหว่างนางกับหนิงเซ่าชิงตอนรู้จักกัน…โยนความผิดทั้งหมดไปให้หมัวมัว ทำให้เรื่องมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น…ขณะพูดหนิงเซ่างชิงคนนี้พูดด้วยน้ำเสียง ‘เปี่ยมไปด้วยความรัก’ ทำให้คนยิ่งสงสารเขามากขึ้น…
เกินไปแล้ว!
มั่วเหนียงและชูอีเตรียมใจเอาไว้แล้ว สีหน้าของพวกนางจึงไม่ย่ำแย่เท่าใดนัก ทว่าสีหน้าของอาอู่กลับเคร่งขรึมและเยือกเย็น เยือกเย็นและเคร่งขรึม สลับกันเพียงสองสีหน้า มีหลายครั้งที่เขาอยากจะพุ่งตัวไปฉีกปากบัณฑิตคนนี้ ทว่าล้วนถูกชูอีห้ามเอาไว้ พูดเตือนเสียงเบา “คุณหนูไม่ได้พูดอะไร อย่าบุ่มบ่าม แล้วทำให้คุณหนูเดือดร้อน ทำลายแผนการของคุณหนู”
รอให้บัณฑิตที่ชื่อหนิงเซ่าชิงพูดจบ องค์หญิงอวี้เหอมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ย “คุณหนูมั่วมีอะไรจะพูดหรือไม่”
นางย่อมไม่มีอะไรจะพูด ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางไม่อาจหยิบยกหนิงเซ่าชิงมาพูดได้ ฟังจากน้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงแล้ว วันนี้เป็นวันสำคัญ นางอย่ารบกวนเขาจะเป็นการดีที่สุด
นอกจากนี้ ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน หากพูดถึงหนิงเซ่าชิงขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะตายเร็วขึ้น
หนิงเซ่าชิงทำงานรอบคอบ เขาบอกนางตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาสั่งให้คนทั้งหมู่บ้านหวังจยาเปลี่ยนคำพูดเรียบร้อยแล้ว
หากมีคนไปถามเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่หมู่บ้านหวังจยา เช่นนั้นความจริงของเรื่องก็คือ ‘หนิงเซ่าชิงเป็นอาจารย์ในสำนักปฐมวัยจริงๆ ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยเป็นหญิงกำพร้าที่คนในหมู่บ้านช่วยชีวิตเอาไว้แล้วคอยช่วยทำอาหารและดูแลหนิงเซ่าชิงเท่านั้น’
คนในหมู่บ้านหวังจยาได้ประโยชน์มากมายจากพวกเขาสองสามีภรรยา แต่งงานแก้เคล็ดในตอนนั้น ไม่มีการทำพิธีใหญ่โต ทั้งยังไม่มีการจัดงานเลี้ยง แค่เพียงบอกกล่าวกับพวกผู้อาวุโสของตระกูลเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างถูกต้อง ตอนนี้คนในหมู่บ้านล้วนซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเขา เมื่อได้ยินว่าท่านอาจารย์หนิงกลับเรือนแล้ว อยากจะยกเกี้ยวสู่ขอหนิงเหนียงจื่อให้ถูกต้อง แน่นอนว่าย่อมรับปาก
หัวหน้าหมู่บ้านถึงกับประกาศในศาลบรรพชนของหมู่บ้านหวังจยาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ผู้ใดกล้าพูดจาเหลวไหล จะขับไล่ออกจากหมู่บ้าน
หลังจากนี้ แม้มีคนพูด ก็ไม่มีพยาน
มั่วเชียนเสวี่ยมองคนที่คุกเข่าบนพื้นแล้วหัวเราะเย้ยหยัน “คนผู้นี้พูดจาเหลวไหล พูดถึงหมู่บ้านหวังจยาเต็มปากเต็มคำ เขาบอกว่าหม่อมฉันเป็นภรรยาของเขา เช่นนั้นมีพยานหรือหลักฐานหรือไม่!”
คนไร้ยางอายพูด “เหนียงจื่อ โบราณกล่าวเอาไว้สามีภรรยาหนึ่งวันความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยาวนาน เหตุใดเจ้าจึงไร้เยื่อใยเช่นนี้ ทุกคนในหมู่บ้านหวังจยาล้วนเป็นพยาน…”
พูดจาเหลวไหล แม้จะมีพยาน ก็มีเพียงพยานที่พิสูจน์ว่าหนิงเซ่าชิงเคยเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาปฐมวัย พิสูจน์ว่านางเป็นหญิงกำพร้าที่บรรดาผู้อาวุโสช่วยชีวิตแล้วให้มาช่วยดูแลท่านอาจารย์เท่านั้น ผู้ใดจะรู้จักบัณฑิตที่ไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยเช่นเจ้า!
แต่ว่า ในเมื่อบอกว่ามีพยาน ก็หมายความว่าอยากทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็ได้ เช่นนั้นนางจะใช้พวกนางเป็นเครื่องมือ ขณะเดียวกันที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเห็นนางใกล้ตาย ดูสิว่าฮ่องเต้จะอยู่เฉยหรือไม่ ไม่ว่าฮ่องเต้จะนิ่งเฉยหรือไม่ นางก็จะยืมมือฮ่องเต้ ให้ฮองเฮาได้เห็นดี!