เมื่อถึงช่วงสิ้นปี บรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาสก็อบอวลไปทั่วถนนด้วยอุปกรณ์ตกแต่งหลากหลายชนิด คริสต์มาสที่จะถึงนี้เป็นวันหยุดยาวครั้งแรกที่พวกเขาทั้งคู่จะบินไปใช้เวลาด้วยกันที่อเมริกา แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในวันหยุดบนปฏิทินที่เหมาะกับการมีเซ็กซ์สำหรับอีอูยอน แต่เพราะรู้ว่าอินซอบให้ความสำคัญกับวันคริสต์มาสมาก เขาจึงเปลี่ยนใจให้เพลิดเพลินกับวันนั้นด้วยความยินดี
วันนั้นเป็นวันที่พวกเขาตัดสินไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้ออุปกรณ์ตกแต่งต้นคริสต์มาส แต่ในระหว่างที่จอดรถที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าและกำลังจะออกไป โทรศัพท์มือถือของอินซอบก็ดังขึ้น พอเห็นว่าคนที่โทรมาเป็นแม่ อินซอบก็คิดว่าคงจะโทรศัพท์มาอวยพรวันคริสต์มาสตามธรรมเนียม และรับโทรศัพท์อย่างไม่คิดอะไร
แต่ยิ่งคุยโทรศัพท์ สีหน้าของอินซอบก็ค่อยๆ หมองลง และในตอนที่วางสาย ดวงตากลมโตก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
‘เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ’
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
‘…ดูเหมือนว่าคุณยายจะอาการไม่ดีแล้วล่ะครับ โรงพยาบาลโทรศัพท์มาบอก’
คุณยายของอินซอบใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลเกินครึ่งปีแล้ว แค่จุดวิกฤติที่ต้องเผชิญในระหว่างนั้นก็เกินกว่าที่สิบนิ้วจะนับได้
‘ทางนั้นบอกว่าอาจจะผ่านสัปดาห์นี้ไปได้ยากครับ’
อินซอบรักและติดคุณยายที่อบอุ่นและมีความเป็นแม่สูงเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล อินซอบจะสลดและเศร้ามาก
‘คราวนี้ท่านต้องทนไหวและผ่านไปได้อย่างดีแน่นอนครับ’
อีอูยอนปลอบด้วยความจริงใจของตัวเอง
‘เขาบอกว่าอาจจะยากเพราะอายุมากแล้วน่ะครับ’
ดวงตากลมโตของอินซอบสั่นไหว อีอูยอนไม่ชอบเลย ถึงเขาจะชอบใบหน้าตอนร้องไห้ของอินซอบ เพราะสวย แต่เขาก็ไม่อยากเห็นในที่ที่ไม่ใช่เตียงนอน
‘อายุเท่าไรแล้วเหรอครับ’
‘ปีนี้ก็แปดสิบเก้าแล้วครับ’
ตามอายุเกาหลีก็คือเก้าสิบปี หากตายในอายุประมาณนั้น ที่เกาหลีจะเรียกว่าสิ้นอายุขัย
แต่อินซอบก็ยังทำตัวไม่ถูกและเสียใจเหมือนคนที่สูญเสียลูกที่ยังไม่ทันได้มอบความรักให้ สุดท้ายพอเห็นว่าอินซอบร้องไห้ อีอูยอนก็ได้แต่ไม่พอใจอยู่ข้างใน เขาหงุดหงิด และไม่อยากเห็นอินซอบกลุ้มใจทุกครั้งที่คนแก่ที่อยู่มามากพอแล้วเจ็บป่วย
ดังนั้นหากเป็นเวลาปกติ เขาคงจะเผลอแสดงนิสัยที่แท้จริงที่ถูกสร้างมาเป็นแบบนั้นออกไปแล้ว
‘อืม งั้นเหรอครับ’
‘…’
บรรยายกาศภายในรถเย็นวาบ อินซอบรู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคนั้นได้อย่างชัดเจน อีอูยอนเก็บคำด่าไว้ในใจ
‘…ขอโทษครับ ดูเหมือนว่าวันนี้ผมต้องไปที่โรงพยาบาล’
อินซอบพูดอย่างระมัดระวัง
‘ให้ผมไปส่งที่โรงพยาบาลไหมครับ’
‘ไม่ต้องครับ ผมจะไปที่บ้านของพ่อกับแม่ก่อน’
‘งั้นให้ผมไปส่งที่นั่นไหมครับ’
อินซอบส่ายหน้า
‘ผมขับรถไปดีกว่าครับ เพราะอาจจะกลับดึกก็ได้’
คำพูดของอินซอบถูกต้อง ก่อนอื่นเขาจะต้องกลับบ้าน และเอารถให้อินซอบ
อีอูยอนคาดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้งก่อนจะออกรถ ตลอดทางกลับบ้านพวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันเลย ในขณะที่จอดรถและปล่อยให้อินซอบลง อีอูยอนก็เอ่ยปากอย่างยากลำบาก
‘คุณอินซอบ เมื่อกี้…’
‘ไปก่อนนะครับ’
ไม่บ่อยนักที่อินซอบจะตัดบทกลางคัน อีอูยอนจึงปิดปากเงียบ
‘ถ้าถึงแล้วผมจะโทรหานะครับ’
‘…โอเคครับ’
‘ผมจะกลับมาตอนสุดสัปดาห์อย่างช้า ขอโทษนะครับ ในหลายๆ เรื่องเลย’
‘ไม่เป็นไรครับ ขับรถระวังๆ นะครับ’
อีอูยอนจูบหน้าผากอินซอบอย่างแผ่วเบาก่อนที่อินซอบจะขับรถหายลับตาไป
ผ่านไปแบบนั้นสี่วัน พออินซอบที่บอกว่าจะกลับมาตอนสุดสัปดาห์เป็นอย่างช้าไม่สามารถกลับมาได้จนกว่าจะผ่านช่วงสุดสัปดาห์ เขาก็เงียบไป อีอูยอนไม่พูดเร่งอะไรเลย
และวันนี้
“กลับมามีสติแล้วเหรอครับ”
[ครับ ตอนนี้ท่านหลับไปอีกแล้ว แต่ท่านตื่นในช่วงสายที่ผ่านมาครับ]
อีอูยอนถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งใจให้กับข่าวดีที่ไม่ได้ยินมาหลายวัน
“โล่งอกไปทีนะครับ”
อีอูยอนพูดอย่างจริงจังไปแบบนั้น
[ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ]
เขาไม่ได้เป็นห่วงยายของอินซอบ เขาแค่เป็นห่วงว่าถ้ายายเฒ่านั่นตายในเวลานี้ อินซอบจะจดจำการกระทำที่ตนทำก่อนที่จะแยกกันไปชั่วชีวิตต่างหาก เขากลัวว่าการกระทำของตนจะทำให้อีกฝ่ายหมดรักในสักวันต่อให้ไม่ใช่วันนี้ก็ตาม
“กินข้าวหรือยังครับ”
อีอูยอนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงอินซอบที่มักจะกินข้าวไม่ลงหากมีเรื่องกวนใจ
[ครับ เพิ่งกินกับแอรอนไปเมื่อกี้ครับ คุณอูยอนกินข้าวหรือยังครับ]
“กำลังจะกินครับ”
สี่วันที่ผ่านมาเขานอนไม่หลับเลย แม้จะไม่คิดถึงเรื่องอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่ว่าจะกินอะไรก็รู้สึกเหมือนเคี้ยวดิน แต่เขาก็ตอบออกไปแบบนั้น
[งั้นรีบกินนะครับ ผมจะวางสายแล้ว]
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนเรียกชื่ออินซอบเบาๆ
[ครับ]
“อย่าวาง ผมอยากได้ยินเสียง”
เขารู้สึกว่าอินซอบที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์ตื่นตระหนก บางทีอีกฝ่ายน่าจะเกร็งมือที่ถือโทรศัพท์ไว้พร้อมกับหน้าแดง
“ผมคิดถึงคุณอินซอบครับ”
[…ผมก็เหมือนกันครับ]
“ผมคิดถึงมากเลย”
[ผมก็คิดถึงมากเหมือนกันครับ]
อีอูยอนยิ้มโดยไม่พูดอะไร แค่ไม่ได้เจอกันสี่วัน เขาก็คิดถึงชเวอินซอบมากเสียจนไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรถึงได้ทำตัวแบบนี้
“เข้าบ้านไปเถอะครับ คุณน่าจะหนาวเพราะออกมาคุยโทรศัพท์ข้างนอก”
ด้วยนิสัยของอินซอบแล้ว เขาคงออกมาคุยโทรศัพท์ด้านนอกโรงพยาบาลอย่างแน่นอน
[ผมจะกลับบ้านพรุ่งนี้ครับ]
“ทำตามที่คุณอินซอบสะดวกเถอะครับ วันคริสต์มาสไม่ได้มีแค่ปีนี้ปีเดียว”
[ไม่ครับ ผมจะกลับพรุ่งนี้ ถ้าคุณยายได้สติแล้ว ผมจะไปทักทายก่อนกลับ คุณอูยอนตั้งตารอคริสต์มาสปีนี้มากเลยนี่ครับ]
พวกเขาทั้งคู่เตรียมอาหาร ซื้อต้นไม้ที่จะทำเป็นต้นคริสต์มาสด้วยตัวเองและวางไว้ตรงประตูบ้าน และซื้อการ์ดที่จะแลกกันสำหรับวันคริสต์มาสปีนี้ไว้แล้ว
ในขณะที่กำลังจะตอบว่า “ทั้งหมดนี้ผมทำเพื่อที่จะทำให้คุณดีใจ” อีอูยอนก็ตอบไปว่า “ครับ” และตอบกลับไปอย่างที่คนปกติควรจะตอบแทน
“ถึงผมจะตั้งตารอ แต่ความสบายใจของคุณอินซอบสำคัญกว่าครับ”
[…ขอบคุณนะครับที่พูดแบบนั้น]
อินซอบรู้ข้อบกพร่องที่เขามีดี แม้จะได้รับคำขอบคุณ แต่อีอูยอนก็ยังรู้สึกขมขื่น
“งั้นผมวางนะครับ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ติดต่อมาได้ทุกเวลานะครับ”
[ครับ ฝันดีครับ]
หลังวางสาย อีอูยอนก็เอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่ครู่ใหญ่ เขารู้สึกว่าการคุยโทรศัพท์ประมาณห้านาทีช่วยเรื่องอาการปวดหัวของเขาได้ดีกว่ายาเม็ดที่กินเข้าไปทั้งวันอีก
แล้วหน้าต่างข้อความก็เด้งขึ้นมา
[ขอโทษนะครับ แต่ผมขอโทรก่อนนอนอีกครั้งได้ไหมครับ]
แม่งเอ๊ย กินอะไรเข้าไปถึงได้น่ารักขนาดนี้วะ
อีอูยอนกดความต้องการที่อยากจะขับรถไปโรงพยาบาลทันทีไว้ และส่งข้อความกลับไป
[โทรมาสิบรอบเลยก็ได้ครับ ^^]
ผ่านไปไม่นานข้อความว่า [เดี๋ยวผมจะโทรไป ขอบคุณครับ!] ก็ถูกส่งมาถึง
“เฮ้อ”
อีอูยอนลุกขึ้น สุดท้ายวันนั้นเขาก็หากุญแจรถยนต์ออกไปที่โรงจอดรถ และต้องกลับเข้ามาหลังจากที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับรถอยู่ถึงสามสิบนาที
***
[ขอโทษครับ]
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร”
อีอูยอนดับเทียนด้วยที่ดับเทียนพลางเอ่ยตอบ พอได้รับการติดต่อจากอินซอบในตอนเช้าว่ากำลังออกเดินทาง เขาก็จุดเทียนทิ้งไว้ทั่วทั้งบ้าน
[ขอโทษจริงๆ ครับ ผมไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้]
อาการของคุณยายที่ดีขึ้นแย่ลงอย่างกะทันหัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ป่วยโคม่า
“อย่าขอโทษสิครับ ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องขอโทษเลยนะครับ”
[…ผมผิดสัญญาอยู่เรื่อยเลย]
ผมจะกลับพรุ่งนี้ ผมจะกลับพรุ่งนี้แน่ๆ ผมอาจจะกลับพรุ่งนี้…พรุ่งนี้ผมจะกลับให้ได้…
พออีกฝ่ายเลื่อนวันที่จะกลับออกไปเรื่อยๆ อีอูยอนก็คิดว่าเด็กที่รอแม่ที่ออกจากบ้านไปจะรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า
“ไม่เป็นไรครับ เพราะผมไม่ได้สนใจจริงๆ”
อีอูยอนมองต้นคริสต์มาสที่ส่องแสงระยิบระยับอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับเอ่ยตอบ เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเขาเอาของขวัญที่ห่อไว้แล้วมากองไว้ใต้ต้นคริสต์มาสหลังจากที่ตกแต่งคนเดียวเสร็จ
“อาการของคุณยายเป็นยังไงบ้างครับ”
[…ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ]
ดูเหมือนว่าสติจะติดๆ ดับๆ
แม้อาจจะตายตอนไหนก็ได้ แต่เขาก็หวังว่าจะไม่ใช่ตอนนี้ อีอูยอนจึงปลอบอินซอบว่า “จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ”
[ตอนนี้คุณอูยอนอยู่คนเดียวใช่ไหมครับ]
“เปล่า อยู่กับจอห์นน่ะ”
อีอูยอนมองแมวที่ซ่อนอยู่ใต้ต้นคริสต์มาสและส่ายหางไปมาก่อนจะเอ่ยตอบ
[…นอกจากจอห์นสิครับ คุณจะอยู่คนเดียวในวันแบบนี้ได้ยังไง]
อีอูยอนเกือบจะหัวเราะออกมา แม้จะเจอเรื่องแบบนั้น แต่อินซอบก็ยังเห็นใจที่ตนต้องอยู่คนเดียวในวันแบบนี้
หากเป็นเวลาปกติ เขาคงจะแกล้งทำเป็นซึม และร้องขอความเห็นใจจากอินซอบแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ใช่สถานการณ์แบบนั้น
“งั้นคริสต์มาสปีหน้าต้องอยู่ด้วยกันนะครับ”
[ครับ ได้ครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะทำแบบนั้นครับ]
เขาสามารถวาดภาพของอินซอบที่ทำแววตาจริงจังพร้อมกับพยักหน้าในจินตนาการได้ไม่ยาก แค่คิด ช่วงล่างของเขาก็ตึงแน่นขึ้นมาแล้ว
“งั้นวางนะครับ”
[คุณอูยอน!]
อินซอบรีบเรียกอีอูยอนไว้
“ครับ พูดมาเลยครับ”
[มะ เมอร์รี่คริสต์มาส]
อีอูยอนหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าตัวเองที่ประหม่าในตอนที่ตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างที่สำคัญนั้นเหมือนคนโง่
“เข้าใจแล้วครับ เมอร์รี่คริสต์มาสครับ ฝันดีนะ”
หลังจากวางสาย อีอูยอนก็พบว่าตนถือกุญแจรถยนต์อยู่ในมือด้วยความเคยชิน และถอนหายใจ
เขาดึงปลั๊กไฟของต้นคริสต์มาสที่ส่องแสงระยิบระยับออก และเก็บอาหารที่วางเตรียมไว้บนโต๊ะกินข้าวเข้าตู้เย็น เนื่องจากไม่อยากอาหาร เขาจึงกินแซนด์วิชอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งชิ้นก่อนที่จะอาบน้ำ จากนั้นก็เก็บเทียนที่วางประดับห้องน้ำไว้และออกมาอ่านหนังสือ แต่ตัวหนังสือกลับไม่เข้าหัวเลย เขาจึงกินยานอนหลับตั้งแต่เนิ่นๆ และนอนลง