“จริงสิ ท่านกินกุ้งหรือเปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างชาญฉลาด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจเพราะเขาไม่สนใจสิ่งที่ตัวเองกินมากนัก
ปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกเล็กน้อย ”แล้วมะเขือม่วงล่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่คิ้วสีน้ำตาลเข้มของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามข่มความอึดอัดใจเอาไว้ ก่อนจะพยักหน้า
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้วิธีแยกแยะระหว่างอาหารที่เขาชอบและไม่ชอบ การขมวดคิ้วนั่นหมายความว่าเขาไม่ชอบอาหารชนิดนั้น
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม แล้วจากนั้นนางก็กลับไปจัดการกับขาแกะต่อ กลิ่นหอมของเนื้อลอยแทรกอยู่ในอากาศ ทำให้นางรู้สึกหิวจนแสบท้อง
ตะแกรงที่มีเนื้อแกะเสียบเอาไว้แขวนอยู่ในลาน บนโต๊ะไม้มีกุ้งผัดพริกถ้วยโตวางอยู่ พริกสีแดงและอาหารเครื่องเคียงสีเขียวช่วยเสริมกันได้เป็นอย่างดี เห็นแล้วชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก
ขันทีซุนไม่เคยเห็นอาหารชนิดนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงห้ามตัวเองไม่ไหวจนต้องแอบมองดูมันสองสามครั้งด้วยความสงสัย
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้ตะเกียบไม้ไผ่แบ่งอาหารชนิดนั้นใส่จานอีกใบให้เขา นางไม่ได้บอกให้เขานั่งลงร่วมโต๊ะกับพวกนาง เพราะนางรู้ว่าขันทีซุนจะต้องไม่สบายใจที่จะนั่งลงอย่างแน่นอน
ขันทีซุนจัดแจงแบ่งอาหารจานนั้นออกครึ่งหนึ่งอย่างรู้งาน แล้วส่งให้กับข้ารับใช้คนอื่นๆ พร้อมบอกกับพวกเขาว่ามันเป็นรางวัลจากเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาจะได้ตระหนักถึงความใจกว้างของพระชายา
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วสั่งให้พวกเขาถอยออกไปกินได้ องค์ชายเริ่มแกะกุ้งแล้วตอนที่นางหันกลับมา
ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว นางคิดว่าเขาคงจะไม่เคยแตะต้องกุ้งด้วยตัวเองมาก่อน การกินกุ้งนั้นนับว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับคนที่เป็นโรคคลั่งความสะอาดเลยก็ว่าได้ เดิมที นางคิดที่จะแกะกุ้งให้เขา เพราะอย่างไรการดูแลคนอื่นก็เป็นทักษะอันเป็นเอกลักษณ์สำหรับประธานจอมเผด็จการอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้… ดูเหมือนว่าความช่วยเหลือของนางจะไม่จำเป็นสำหรับเขาเลย
ทำไมองค์ชายสามถึงได้รับมือยากนักนะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวของเขานั้นเชื่องช้า แต่เขาก็สามารถแกะเปลือกกุ้งออกมาได้อย่างหมดจดในชั่วพริบตา ส่วนหางยังคงติดอยู่กับกุ้งที่ถูกแกะอย่างประณีต ท่าทางที่เขาจับกุ้งด้วยมืออันงดงามนั้นดูมีศิลปะยิ่งนัก
แตกต่างจากเฮ่อเหลียนเวยเวย แม้ปกติแล้วนางจะเป็นคนที่สามารถทำอะไรได้อย่างรวดเร็ว แต่นางก็จะไม่ยอมแกะกุ้งเด็ดขาดหากไม่จำเป็นจริงๆ นางจะหักหัวกุ้งออก แล้วเอาส่วนที่เหลือเข้าปากแทน
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว คงเป็นเพราะเขาไม่อาจทนเห็นวิธีที่นางกินได้ ดังนั้นเขาจึงวางกุ้งที่แกะเปลือกแล้วเอาไว้บนจานของนาง ก่อนจะเริ่มแกะกุ้งอีกตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา ยิ้ม แล้วกล่าวขอบคุณเขา หลังจากนางกินกุ้งหมดไปกว่าสิบตัว นางจึงสังเกตเห็นว่าบนจานตรงหน้าขององค์ชายนั้นมีกุ้งที่แกะเปลือกแล้วจำนวนหกเจ็ดตัวถูกจัดวางเอาไว้อย่างประณีตงดงาม
ในตอนนั้นนั่นเอง ทันทีที่เขาเช็ดมือเรียวของตนเสร็จ เขาก็ใช้ตะเกียบคีบกุ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาพวกมันใส่ปากทีละตัว
เขาดูสง่างามเป็นอย่างมาก เฮ่อเหลียนเวยเวยดึงแขนขันทีซุน แล้วถามเสียงต่ำว่า ”นั่นมันนิสัยการกินอะไรของเขากัน”
“หืม” ขันทีซุนมองผู้เป็นนายของตน แล้วหัวเราะราวกับพระสังกัจจายน์ ”อ๋อ นี่เป็นนิสัยส่วนตัวขององค์ชายพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายชื่นชอบสิ่งสวยๆ งามๆ ดังนั้นเขาจึงต้องจัดหน้าตาอาหารของตนเองให้ดูดีที่สุดก่อนจะเสวยทุกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับพูดไม่ออก
ไม่แปลกใจเลยที่เขาซื้อเตียงประหลาดๆ แบบนั้นมา
องค์ชายมีนิสัยที่คนไม่รู้อยู่หลายอย่างทีเดียว
แต่นางก็สังเกตเห็นแล้วว่าเขาชอบกินกุ้ง
เพราะเขาไม่ได้แตะต้องอาหารชนิดอื่นมาตั้งแต่เมื่อครู่ ทั้งยังไม่คิดที่จะแตะต้องขาแกะย่างที่นางหั่นมาให้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หยิบกุ้งขึ้นมาอีกตัว แล้วแกะเปลือกของมันออก ก่อนจะวางมันลงในจานของเขา
เฮ้อ ในที่สุดก็สามารถเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องของการเป็นประธานจอมเผด็จการได้เสียที
ใบหน้าของขันทีซุนซีดเผือดทันทีหลังจากที่เขาเห็นสิ่งที่นางทำ โอ้ ไม่นะ องค์ชายจะต้องคว่ำโต๊ะอาหารด้วยความโกรธอย่างแน่นอน! พระชายากล้าใช้ตะเกียบของตัวเองคีบอาหาร แล้วส่งมันให้กับองค์ชายเชียวหรือ
แต่แล้วขันทีซุนก็ต้องประหลาดใจ เพราะผู้เป็นนายของเขากลับกินกุ้งตัวนั้นจริงๆ ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะพอใจมากอีกด้วย
อีกด้านหนึ่งนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเพียงว่าองค์ชายสามดูค่อนข้างเชื่อฟังเวลาที่นางทำสิ่งนี้เขา ดังนั้นนางจึงแกะกุ้งอีกตัวแล้ววางลงตรงหน้าเขา
เฮ้อ หากไม่ใช่เพราะฐานะพิเศษอย่างการเป็นองค์ชายของเขาล่ะก็ การได้เลี้ยงดูชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ก็นับว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“หลังทานข้าวเสร็จ เรามาคุยเรื่องหน้าที่ในฐานะสามีภรรยากันดีกว่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเช็ดมุมปากด้วยผ้าเช็ดปากอย่างไม่ใส่ใจนัก น้ำเสียงราบเรียบที่เขาใช้ในแต่ละคำนั้นไม่ได้เหมาะสมกับหัวข้อที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดเดียว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วขณะแกะกุ้งไปด้วย สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความสนใจ ”ได้สิ”
ขันทีซุน : …’ข้าเป็นคนเดียวหรือที่คิดว่าหัวข้อสนทนานี้ฟังดูแปลกพิกลไปหน่อย’
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบพร้อมรอยยิ้ม เขามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาหยอกเย้า
แต่สุดท้าย ทั้งสองก็ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องนั้นกัน
สาเหตุมาจากการที่อดีตฮ่องเต้ส่งคนมาเรียกตัวพวกเขาเข้าเฝ้า โดยเขาได้ยินมาว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเตรียมอาหารที่เขาไม่เคยเสวยในวังมาก่อนเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงอยากลองชิมดู
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น อดีตฮ่องเต้น่าจะอยากรู้ว่านางเข้ากับองค์ชายสามได้ดีหรือไม่มากกว่า อย่างไรเสียเมื่อเช้านี้เขากับนางก็เพิ่งจะมีปากเสียงกันไปยกใหญ่
เมื่ออยู่กันอย่างเป็นส่วนตัว อดีตฮ่องเต้นั้นดูเป็นกันเองมากกว่าปกติ บนใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มอันเด่นชัดออกมาทันทีที่เห็นพวกเขาเดินเข้ามา อดีตฮ่องเต้ก็ปฏิบัติต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นอย่างดี ทำให้หลายคนที่ตั้งใจจะหัวเราะเยาะนางต่างก็ผิดหวังไปตามๆ กัน
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้จากวังหลวง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
ใบหน้าของฮูหยินซูก็ไม่ได้ดูดี แต่นางใจเย็นกว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มากนัก เพราะนางเพิ่งได้รับข่าวจากมู่หรงฮองเฮามาว่าสาวใช้คนนั้นกลับมาแล้ว และในอีกสองวัน นางก็กำลังจะเข้าเรียนในสำนักไท่ไป๋
นางเคยได้ยินมู่หรงฮองเฮากล่าวถึงความงดงามของคนคนนั้นว่าสามารถเทียบกับความงามของเจียวเอ๋อร์ได้เลยทีเดียว และยิ่งประกอบกับความจริงที่ว่านางเคยเป็นองครักษ์ของวังปีศาจ ดังนั้นนางย่อมมีพลังปราณมหาศาล ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนนางจะอยู่ในระดับธาตุทองมาพักใหญ่แล้วด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีทางเทียบชั้นกับนางได้อย่างแน่นอน
แล้วนางยังคิดฝันว่าจะโค่นอีกฝ่ายได้หรือ
คาดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยคงได้ถูกถอดออกจากตำแหน่งพระชายาขององค์ชายสามในเร็ววันนี้แน่
แผนการขั้นต่อไปคือการหาทางให้สาวใช้คนนั้นได้พบกับองค์ชายสาม
หากไม่ใช่เพราะการจับตามองอย่างเข้มงวดของอดีตฮ่องเต้ละก็ การจะส่งใครสักคนเข้าไปในวังหลวงก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินมือนัก
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าอดีตฮ่องเต้จะคอยระวังสาวใช้คนนี้อยู่ นางไม่เข้าใจความคิดของเขาเอาเสียเลย!
มิฉะนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตแสนสุขสบายเช่นนั้นหรอก!
“เจ้าวางใจเถอะ เจียวเอ๋อร์ สิ่งใดที่จะเป็นของเจ้า อย่างไรมันก็ต้องเป็นของเจ้า อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นพระชายากลับชาติมาเกิด” ฮูหยินซูสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวางมือของตนลงบนศีรษะของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ ”ผู้อาวุโสทั้งสี่จะสนับสนุนเจ้า และผลักดันให้เจ้าได้ขึ้นไปนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดของแผ่นดินนี้ แม้จะไม่มีแม่ก็ตาม”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หยุดร้องไห้ แล้วเอ่ยขึ้น เสียงของนางสั่นเทา ”แต่การเลือกประมุขของตระกูลกำลังใกล้เข้ามาแล้วนะเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าท่านพ่อยอมให้นังแพศยานั่นกลับมาที่บ้าน ท่านแม่ ท่านต้องไม่ปล่อยให้นางกลับมาที่ตระกูลเฮ่อเหลียน และชิงเอาอำนาจของตัวเองกลับไปนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นคำพูดของพระอาจารย์ท่านนั้นคงได้เป็นจริงขึ้นทีละอย่างแน่แล้ว ข้ากลัวว่าสี่ผู้อาวุโสจะสงสัยในตัวตนพระชายาของข้าเจ้าค่ะ”
“อย่ากังวลไป นังเด็กนั่นไม่มีโอกาสได้กลับมาอย่างแน่นอน” ฮูหยินซูลูบมือของนาง แล้วกล่าวอย่างชั่วร้ายว่า ”นางยังขาดคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับการคัดเลือกอยู่หนึ่งข้อ”
“คุณสมบัติอะไรหรือเจ้าคะ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สงสัย