โจวเสวียนนอนคว่ำอยู่บนเตียง ทั้งสองด้านมีชั้นวางของ ผ้าห่มหนาถูกพาดขึ้นไป เช่นนี้สามารถทำให้ร่างกายอบอุ่นและไม่กดทับแผล
องค์หญิงจินเหยาเอื้อมมือไปยกผ้านวมขึ้น โจวเสวียนหันหน้ากลับมาด้วยความเจ็บปวด “เจ้าจะทำอันใด”
“ขอข้าดูหน่อย ตอนถูกตีข้าไปหลบอยู่ด้านข้าง มองไม่ชัด” องค์หญิงจินเหยาพูดพลางยกผ้านวมขึ้นครึ่งหนึ่ง เห็นหลังของโจวเสวียนเต็มไปด้วยยา ทั้งผงสีขาวสีดำ ทำให้บาดแผลยิ่งน่ากลัว…
องค์หญิงจินเหยาเห็นแผลเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่สามารถซ่อนความกลัวภายในดวงตาไว้ได้
“น่ากลัวเสียจริง” นางพึมพำ
โจวเสวียนหันกลับมาจ้องมองนาง เมื่อเห็นนางกำลังจะดึงผ้านวมลง จึงส่งเสียงขึ้น “ดูไม่ได้ พอแล้ว”
องค์หญิงจินเหยาเอ่ยขึ้น “อะไรกัน ใช่ว่าไม่เคยเห็น ตอนเด็กเจ้าอาบน้ำในตำหนักเสด็จแม่ข้า ข้าก็อยู่ด้านข้าง”
โจวเสวียนหงุดหงิด “ตอนนั้นเจ้าอายุแค่สามขวบ ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ”
องค์หญิงจินเหยาปิดปากหัวเราะ “เหลวไหล เด็กสามขวบลืมตานานแล้ว” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่นางก็ไม่ได้ดูต่อไป นำผ้าห่มวางกลับไปที่เดิม
โจวเสวียนนอนหนุนแขนเหมือนเดิม พูด “ไม่ต้องขอบคุณ” คำตอบสำหรับคำถามของนางก่อนหน้านี้ “ถึงเจ้าจะไม่ตกลง แต่เจ้าก็ไม่มีทางถูกลงโทษ สุดท้ายคนที่ต้องรับโทษก็เป็นข้า”
องค์หญิงจินเหยาเงียบ หากฮองเฮาพูดเรื่องแต่งงานกับนางก่อน นางคัดค้าน ประท้วง แต่คงไม่อาจปะทะกับฮองเฮาเหมือนโจวเสวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสด็จพ่อของนางเอ่ยปาก นางคงทำได้เพียงเงียบและอ้อนวอนร้องไห้ แต่คงไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนการตัดสินใจของเสด็จพ่อ นางไม่อาจปะทะกับเสด็จพ่อได้ ส่วนเสด็จพ่อก็ไม่อาจลงโทษนางได้ เฮ้อ เสด็จพ่อดีต่อนางเช่นนี้ นางจะไม่สนใจได้อย่างไร จะทำให้เสด็จพ่อเสียใจเพราะตนเองได้อย่างไร
สุดท้ายก็ต้องให้โจวเสวียนเป็นคนปฏิเสธ
องค์หญิงจินเหยายกมือขึ้นตีเขา แม้ว่าจะมีผ้าห่มกั้นเอาไว้ แต่ยังคงเจ็บปวดอย่างมาก โจวเสวียนร้องตะโกนเสียงดัง “เจ้าทำอันใดอีก”
องค์หญิงจินเหยาพูดด้วยความโกรธ “เจ้าควรถูกตี!”
…
แม้ว่าองค์หญิงจินเหยาจะบอกว่าไม่ให้เขาฟัง แต่องค์ชายสองรู้สึกว่าในฐานะพี่ชาย เขายังคงมีความรับผิดชอบที่จะต้องอยู่ตรงนี้ หลังจากองค์หญิงจินเหยาเข้าไป เสียงกระซิบกระซาบได้ยินไม่ชัดนัก จนกระทั่งโจวเสวียนตะโกนขึ้น เขาตกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเป็นเสียงขององค์หญิงจินเหยา “เจ้าควรถูกตี”
ดังนั้น นางก็ยังลงมือหรือ องค์ชายสองลังเลเล็กน้อย ถอยหลังไปหนึ่งก้าว หญิงสาวได้รับความอับอายเช่นนี้ ตีทีหนึ่งก็ตีทีหนึ่งเถิด
…
“ครั้งนี้ตีเพื่อเสด็จพ่อของข้า” องค์หญิงจินเหยากัดฟันพูดเสียงเบา “ถึงเจ้าต้องการปฏิเสธ เจ้าก็ควรบอกเสด็จพ่อดีๆ เจ้าไม่เหลือพื้นที่แม้แต่น้อยเช่นนี้ ทำท่าทางราวกับเสด็จพ่อเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เขาต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตายทันทีเช่นนี้ ทำให้เสด็จพ่อเสียใจเพียงใด”
หากมองฮ่องเต้เหมือนญาติเหมือนบิดาจริง ระหว่างพ่อลูกมีสิ่งใดคุยไม่ได้ เพียงแค่พูดคุย อ้อนวอน คุกเข่าและร้องไห้ สิ่งใดล้วนเป็นไปได้
“ข้าเชื่อว่าเสด็จพ่อจะเอ็นดูเจ้า” องค์หญิงจินเหยาพูดอย่างแผ่วเบา “แต่เวลานี้เจ้าทำเช่นนี้ เป็นการบอกเสด็จพ่อว่าเจ้าไม่เชื่อพระองค์”
โจวเสวียนนอนอยู่บนแขน พูดเสียงอู้อี้ “ฝ่าบาท เป็นโอรสแห่งสวรรค์จริงๆ”
องค์หญิงจินเหยากัดฟัน “โอรสแห่งสวรรค์ที่ใดปฏิบัติต่อข้าราชบริพารเช่นนี้ เจ้ามีใจหรือไม่”
โจวเสวียนหันหน้าเข้าด้านใน “เจ้าถือว่าข้าไม่มีแล้วกัน เรื่องนี้ต้องรีบจัดการให้เด็ดขาดดีกว่า”
นางเติบโตมากับโจวเสวียน เข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี รู้ว่าโจวเสวียนเป็นคนฉลาดแค่ไหน เหตุผลที่นางรู้ โจวเสวียนย่อมรู้เช่นกัน
เขายอมทำร้ายจิตใจของฮ่องเต้เพื่อปฏิเสธเรื่องนี้ ไม่เหลือพื้นที่แม้แต่น้อย
องค์หญิงจินเหยายกมือขึ้นตีเขาอย่างแรงอีกครั้ง โจวเสวียนร้องตะโกนอีกครั้ง “เหตุใดจึงตีอีกแล้ว”
“ครั้งนี้สำหรับข้า” องค์หญิงจินเหยากัดฟัน “ถึงข้าจะไม่อยากแต่งงานกับเจ้าเหมือนกัน แต่ข้าก็ยังโกรธมากที่เจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้ามากขนาดนี้!”
โจวเสวียนเหลือบไปมองนางแล้วกลอกตา “ได้ๆ เจ้าตีเถิด”
องค์หญิงจินเหยายกมือขึ้นตีเขาอีกสองสามครั้ง “ทำให้ข้าเสียหน้า ข้าจะจำความแค้นนี้เอาไว้! โจวเสวียนเจ้ารอก่อน ในอนาคตหากเจ้าแต่งงาน ข้าจะทำให้เจ้าเห็นดีอย่างแน่นอน!”
องค์ชายสองที่อยู่นอกประตูกังวลกับเสียงตะโกนสองครั้งติดกัน เขาเคาะประตูข้างนอกเพื่อเรียกจินเหยา “กลับไปเถิด หากเจ้าโกรธจริง รอเขาหายก่อนค่อยตี”
หลังจากสิ้นเสียง องค์หญิงจินเหยาเดินมาเปิดประตูเสียงตึงตัง
“พี่สอง” นางพูดอย่างโกรธเคือง “เมื่อเขาหายดี ข้าจะยังตีเขาได้อีกหรือ”
โจวเสวียนไม่เคยเกรงกลัวเหล่าองค์ชายองค์หญิง ยิ่งไม่ปล่อยให้พวกเขารังแกเขาได้ ตอนเด็กองค์ชายห้าเคยอยากตีโจวเสวียน แต่เขากลับถูกโจวเสวียนตีกลับทุกครั้ง จากนั้นถูกฮ่องเต้ตีซ้ำ
องค์ชายสองครุ่นคิด เศร้าหมองเล็กน้อย บัดนี้เสด็จพ่อตีโจวเสวียนในที่สุด เห็นได้ชัดว่าเขาเสียใจมาก
องค์หญิงจินเหยาจากไปด้วยความโกรธ
องค์ชายสองส่ายหน้า มองไปในห้องอีกครั้ง ถามด้วยความเป็นห่วง “อาเสวียน เจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่”
โจวเสวียนส่งเสียงอู้อี้อยู่ข้างใน “ข้ายังไม่ตาย”
องค์ชายสองส่ายหัว โบกมือให้หมอหลวงเข้าไปเฝ้า ส่วนตนเองปิดประตู ไม่เดินเข้าไป “อาเสวียน เจ้าพักผ่อนเถิด”
องค์หญิงจินเหยากลับวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
ฮ่องเต้ให้นางเข้ามา องค์หญิงจินเหยาเดินเข้ามาเห็นฮ่องเต้นอนอยู่บนเตียงมังกรเอาแขนเสื้อปิดหน้า
“เสด็จพ่อ พระองค์กำลังทำอันใดอยู่เพคะ” อารมณ์ที่บูดบึ้งขององค์หญิงจินเหยาสลายหายไป นางถามอย่างติดขบขันเล็กน้อย
ฮ่องเต้ส่งเสียงอู้อี้มาจากด้านหลังแขนเสื้อ “ข้าไม่มีหน้าพบเจ้า ข้าทำให้เจ้าได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้”
องค์หญิงจินเหยาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม คุกเข่าลงข้างเตียง ร้องเรียกเสด็จพ่อ “เสด็จพ่อ อันที่จริงหม่อมฉันไม่ต้องการแต่งงานกับโจวเสวียน หม่อมฉันไม่ได้กำลังปลอบใจเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ปิดหน้าถอนหายใจ “เจ้าไม่ชอบอาเสวียนได้อย่างไร พวกเจ้าสนิทสนมกันมาตลอด ข้าเห็นกับตา”
องค์หญิงจินเหยายิ้ม “ชอบไม่ได้แปลว่าหม่อมฉันอยากแต่งงานกับเขา หม่อมฉันชอบคนมากมาย พี่ชาย น้องสาว และคุณหนูตันจู…หม่อมฉันชอบคุณหนูตันจูมาก หรือว่าหม่อมฉันต้องแต่งงานกับนางหรือ”
เมื่อได้ยินชื่อคุณหนูตันจู ฮ่องเต้ดึงแขนเสื้อออกแล้วหัวเราะอย่างโกรธจัด “พูดเหลวไหล!”
เมื่อเห็นเขาลดแขนเสื้อลง องค์หญิงจินเหยาก็เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของเขา เรียกขานเสียงเบา “หม่อมฉันไม่ได้พูดเหลวไหล สิ่งใดคือชอบ สิ่งใดคือการแต่งงาน หม่อมฉันชอบโจวเสวียนแบบพี่ชาย ไม่ใช่คนที่หม่อมฉันอยากแต่งงานด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้มองไปที่นาง ราวกับเห็นมารดาของนางอีกครั้ง หญิงสาวที่บอบบางและงดงามผู้นั้น ตอนนั้นนางใช้ดวงตากลมโตคู่หนึ่งจ้องมองเขา “ฝ่าบาท ฝ่าบาทเป็นคนที่หม่อมฉันอยากแต่งงาน อยากอยู่เคียงคู่ไปตลอด…” เฮ้อ เสียดาย เขาไม่อาจปกป้องนางให้เคียงคู่กับตนเองไปตลอดได้
เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยากใช้ชีวิตกับผู้ใด ในฐานะฮ่องเต้ มีหลายสิ่งหลายอย่างให้เขาคิด เคียงคู่กับผู้ใดตลอดชีวิตไม่ได้อยู่ในความคิดของเขา
“จินเหยา” เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “เจ้าอยากแต่งงานกับคนแบบใด”
องค์หญิงจินเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เวลานี้หม่อมฉันยังไม่รู้ แต่เมื่อหม่อมฉันได้พบคนผู้นั้น หม่อมฉันจะรู้เองเพคะ”
คนหนุ่มสาวนี่นะ ฮ่องเต้ยิ้มกริ่ม
“เสด็จพ่อ” องค์หญิงจินเหยาเขย่าแขนเสื้อของเขา “เสด็จพ่อรับปากหม่อมฉัน หากตอนที่หม่อมฉันพบเขา พระองค์ต้องตามใจหม่อมฉัน ให้หม่อมฉันแต่งงานกับคนที่หม่อมฉันอยากแต่งงานด้วย”
ฮ่องเต้แสร้งไม่พอใจ “องค์หญิงของข้า เห็นเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องน่าขันได้อย่างไร”
องค์หญิงจินเหยาแสร้งทำเป็นเศร้า “เสด็จพ่อ องค์หญิงของพระองค์จะเห็นเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องน่าขันได้อย่างไร คนที่องค์หญิงของพระองค์เลือก พระองค์จะไม่พอพระทัยหรือ”
ฮ่องเต้หัวเราะร่า
ขันทีจิ้นจงและคนอื่นที่รออยู่ข้างนอกถอนหายใจโล่งอก พวกเขาต่างยิ้มให้กัน
“ดีแล้ว ดีแล้ว” เขาพูดเสียงต่ำ “ฝ่าบาทดีไปกว่าครึ่งแล้ว”
ขันทีที่อยู่ข้างๆ รีบยกกล่องอาหารขึ้นมา “กงกงรีบทูลให้ฝ่าบาทเสวยเถิด ไม่ได้เสวยมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว”
ขันทีจิ้นจงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงก็เหนื่อยแล้ว เสวยพระกายาหารร่วมกับฝ่าบาทเถิด”
องค์หญิงจินเหยาตอบอย่างรู้ทัน นางแสร้งทำเป็นหิว “รีบจัดเตรียมเถิด ข้าหิวมากแล้ว”
ฮ่องเต้มองด้วยรอยยิ้ม ไม่ปฏิเสธเจตนาของบุตรสาว เพียงแต่เมื่อนึกถึงโจวเสวียน เขายังคงเศร้าใจเล็กน้อย บุตรสาวของเขาดีเช่นนี้ เจตนาที่ดีของเขาเช่นนี้ ความอยากทดแทนของเขาเช่นนี้ โจวเสวียนกลับไม่ต้องการ…
“ฝ่าบาท” ขันทีเดินเข้ามาทูล “องค์ชายสามเสด็จไปจวนโหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
…
“ข้าเคยบอกแล้วว่าพี่สามเป็นคนร้ายกาจ” องค์ชายห้าเดินออกไปอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าเยาะเย้ย “ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าทุกคนว่าไม่ควรไปจวนโหวหรือไปรบกวนเสด็จพ่อ แต่พอหันหลังเขากลับไปจวนโหวสั่งสอนโจวเสวียนแทนจินเหยาและเสด็จพ่อเอง”
องค์ชายสี่ก็โกรธเช่นกัน “ใช่ หากจะไปทุกคนต้องไปด้วยกัน พวกเราทั้งหมดเป็นพี่ชายของจินเหยา เหตุใดเขาต้องทำคนเดียว”
องค์ชายทั้งสองไม่แม้แต่จะนั่งรถ พวกเขาควบม้าออกไปนอกพระราชวังทันที
เวลานี้องค์ชายสามอยู่ที่หน้าประตูห้องของโจวเสวียนแล้ว
องค์ชายสองไม่ได้ห้าม หากแต่เกลี้ยกล่อม “แค่ตำหนิเขาสองสามคำก็พอ อย่าลงมืออีก จินเหยาตีเขาไปแล้ว หากเขาเจ็บขึ้นมา เสด็จพ่อคงเสียใจยิ่งนัก”
องค์ชายสามตอบรับ “ขอบพระทัยพี่สอง”
องค์ชายสองพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไปเถิด ไปเถิด ข้าแก่กว่าพวกเจ้าไม่กี่ปี อีกทั้งเสด็จพ่อให้ข้ามาดูแล ไม่อาจตำหนิเขาได้ มีเพียงให้พวกเจ้ามา”
องค์ชายสามยิ้ม เดินเข้าไปโดยไม่พูดสิ่งใด เหล่าขันทีและหมอหลวงถอยออกมาอีกครั้ง องค์ชายสองให้คนปิดประตูลง เดินออกห่าง อย่างไรเมื่อถึงเวลา เหล่าพี่น้องจะจดจำความเมตตาของเขา เสด็จพ่อจะโทษเขาไม่ได้
โจวเสวียนยังคงนอนคว่ำอยู่บนเตียง มองดูองค์ชายสามที่เดินเข้ามาใกล้ “ข้าว่า พวกเจ้าให้ข้านอนก่อนได้หรือไม่”
องค์ชายสามนั่งลงข้างเตียง เมินเฉยต่อความรำคาญใจของเขา จ้องมองเขา “เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ แม้ว่าเจ้ารับปากเรื่องนี้ แต่เจ้าก็ไม่มีทางถูกยึดอำนาจทางการทหารทันที”