แปะ แปะ!
หยาดฝนตกกระทบหน้าต่างไม้สีทองแดงของวังหลวง อากาศที่สดใสแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มอย่างกะทันหัน
ขันทีที่รับหน้าที่เดินยามกำลังเดินไปรอบห้องโถงด้านข้างพลางเคาะไม้บอกเวลาไปด้วย เสียงนั้นดังยาวนานและก้องกังวาน ทุกอย่างดูทึมทึบและชวนให้รู้สึกหดหู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่เข้านอนแต่หัวค่ำรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก แม้กระทั่งบริเวณหน้าผากของนางก็ยังมีเหงื่อบางๆ ผุดออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ นางส่ายหน้าไปมาราวกับกำลังพยายามที่จะขับไล่ความฝันของตนให้หายไป
ท่ามกลางความมืดมิด นางเดินเข้าไปในห้องร้างแห่งหนึ่ง ห้องแห่งนั้นเต็มไปด้วยโคมไฟสีแดง
เป็นเพราะว่ามีโคมไฟสีแดงอยู่มากมาย ห้องห้องนี้จึงถูกปกคลุมไปด้วยแสงไฟสีแดงราวกับเลือด ห้องร้างอันเย็นเยียบและเงียบเหงาดูน่าขนลุกเมื่อตกอยู่ภายใต้แสงนั้น
เอี๊ยด!
นางได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น จากนั้นนางจึงพบว่ามันไม่ใช่คฤหาสน์อื่นใด แต่มันเป็นที่ที่มารดาของนางเคยอาศัยอยู่ก่อนที่จะเสียชีวิตลง
จากนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเดินเข้าไปข้างในราวกับไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้
นางรู้สึกเหมือนความสูงของตัวเองลดลง ศีรษะของนางสูงเพียงแค่โต๊ะที่ทำมาจากไม้จันทน์ตัวนี้เท่านั้น
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยค่อยๆ ก้าวต่อไปข้างหน้า จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก
นางคลานเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะตามสัญชาตญาณ กำลังคิดว่านางอยากเล่นซ่อนหากับผู้เป็นมารดาตอนที่อีกฝ่ายเข้ามา
เล่นซ่อนหาหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วให้กับความคิดราวกับเด็กเล็กๆ นั้น… เดี๋ยวสิ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง!
เพราะนางเห็นเฮ่อเหลียนน่าเยว่เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน และวางอะไรบางอย่างลงในกล่องไม้
นั่นมันกล่องไม้ที่ใช้สำหรับเก็บหนังสือโบราณเล่มนั้นไม่ใช่หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วมุ่น
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนน่าเยว่ซีดเผือด มีร่องรอยสีม่วงคล้ำอยู่ นี่เป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดว่านางถูกวางยาพิษ
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะยืนขึ้นแล้วช่วยพยุงเฮ่อเหลียนน่าเยว่
แต่นางกลับพบว่าร่างเล็กๆ ของนางนั้นไม่ฟังคำสั่งของนางเลย
นางดูจะพอใจที่มารดาของตนยังไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่ใช่ความฝัน มันเป็นความทรงจำที่นางสูญเสียไปในช่วงวัยเด็ก
ทันทีที่นางตระหนักได้ ประตูไม้ก็ถูกถีบเปิดออก
เฮ่อเหลียนกวงเย่าเดินเข้ามาด้านในด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วเอ่ยว่า ”ข้าจะช่วยชีวิตเจ้าหากเจ้าส่งมันมา!”
เฮ่อเหลียนน่าเยว่ใช้มือข้างหนึ่งยันโต๊ะไม้จันทน์เอาไว้ ร่างกายของนางสั่นระริกราวกับกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดอย่างมาก แต่นางก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่คำเดียว นางปฏิเสธที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็น
ตึง!
เฮ่อเหลียนน่าเยว่กระเด็นออกไปหลายชุ่นหลังจากถูกเฮ่อเหลียนกวงเย่าถีบ
ศีรษะของนางกระแทกกับชั้นหนังสือ หน้าผากของนางเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา
“เจ้าจะพูดหรือไม่พูด” เฮ่อเหลียนกวงเย่ายกขาขึ้น แล้วเหยียบลงบนหลังมือของนางอย่างแรง
เฮ่อเหลียนน่าเยว่เหยียดยิ้มออกมาอย่างดูถูก ดวงตาของนางเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
เมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้น เฮ่อเหลียนกวงเย่าก็พ่นลมหายใจออกมา ”ทำไมเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้เล่า เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่หรือ อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หลังจากตาแก่นั่นตาย เจ้าก็เป็นได้เพียงคนที่ไร้ตัวตนเท่านั้น!” เขาบีบปลายคางของเฮ่อเหลียนน่าเยว่ แล้วเอ่ยว่า ”สายตาของเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าเกลียดชังที่สุด มันเหมือนกับว่าข้ามีทุกอย่างในวันนี้ได้ก็เพราะได้รับมาจากตระกูลเจ้า ดีชะมัดที่ในที่สุดตาแก่นั่นก็ตายได้เสียที ข้าจะได้ไม่ต้องถูกปฏิบัติเหมือนเป็นผู้ชายกลัวเมียอีกต่อไป!”
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนน่าเยว่เย็นชาราวกับดอกกุหลาบขาว นางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า ”สุดท้ายแล้วความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของท่านพ่อที่มีให้กับเจ้าก็กลับกลายเป็นความเกลียดชัง เขาปฏิบัติต่อเจ้าดียิ่งนัก แต่เจ้ากลับหวังให้เขาตายในเร็ววัน! เฮ่อเหลียนกวงเย่า เจ้าไม่มีค่าพอที่จะเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ!”
ตึง!
เฮ่อเหลียนกวงเย่าถีบนางอีกครั้งอย่างโหดเหี้ยม
ใบหน้าของเฮ่อเหลียนน่าเยว่เต็มไปด้วยเลือด นางล้มลงข้างโต๊ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวน้อยซ่อนตัวอยู่ที่นั่น นิ้วของนางแข็งทื่อ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ตาสีดำของเฮ่อเหลียนน่าเยว่เครียดขึงเมื่อนางเห็นบุตรสาว จากนั้นนางก็หันกลับไปมองเฮ่อเหลียนกวงเย่า
นางยื่นมือออกไป แล้วกระชากชั้นหนังสืออย่างแรง นางกำลังสู้โดยไม่คิดถอย
ตึง ตึง ตึง หนังสือบนชั้นร่วงลงมาทีละเล่ม เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกฝังอยู่ภายใต้หนังสือเหล่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวน้อยคู้ตัวอยู่อย่างนั้น นางอยากจะเอ่ยปากพูด แต่เฮ่อเหลียนน่าเยว่ใช้สายตาปรามนางเอาไว้ ดังนั้น นางจึงใช้สองมือปิดปาก น้ำตาไหลลงอาบแก้ม
ท่านแม่…
“พี่เยว่ ทำไมท่านถึงอยู่ในสภาพน่าอดสูเช่นนี้ได้เล่า ท่านดูไม่เหมือนราชินีแห่งเมืองหลวงเอาเสียเลย”
ใครกัน
ใครกำลังพูดอยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากจะเข้าไปมองให้ใกล้ขึ้นอีกสักนิด แต่นางก็ถูกความมืดโอบล้อมเอาไว้ ดังนั้นนางจึงมองไม่เห็นอะไรเลย
“แม้ท่านจะมีนิสัยกระโดกกระเดกเหมือนผู้ชาย แต่ท่านก็มีใบหน้าที่งดงามทีเดียว แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยลืมท่าน พี่เยว่ ท่านมีความสามารถยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่ท่านไม่รู้จักการเป็นภรรยาที่ดี เอาล่ะ น้องซู ข้าจะยกเรื่องที่นี่ให้เจ้าดูแลต่อ จัดการนางให้เรียบร้อยล่ะ”
จากนั้น คนคนนั้นก็จากไป
ซูเหยียนโม่ย่อตัวลงแล้วเริ่มหัวเราะราวกับคนเสียสติ ”เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้แพ้ เจ้ามันมั่นใจในตัวเองเกินไป เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะมีผู้ชายตกหลุมรักคนที่เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งอย่างเจ้า เขาแค่หลอกใช้เจ้าเท่านั้นล่ะ ข้าพูดถูกหรือเปล่าท่านพี่”
“ถูกต้องแล้ว นางก็เป็นแค่ซุงท่อนหนึ่งเท่านั้น เทียบกับความน่าตื่นเต้นของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ” เฮ่อเหลียนกวงเย่าว่า แล้วดึงซูเหยียนโม่เข้าสู่อ้อมกอดของตน
น้ำเสียงที่ไพเราะของซูเหยียนโม่ก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฮ่อเหลียนน่าเยว่ทำเพียงแค่นอนนิ่งและมองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ
แสงสว่างในดวงตาของนางค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ ราวกับดาวหางอันงดงามที่ผ่านไปในชั่วพริบตา
ตอนนั้นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเฮ่อเหลียนน่าเยว่ร้องไห้
ริมฝีปากของนางซีดราวกับกระดาษขาว นางมองมาทางเฮ่อเหลียนเวยเวยเล็กน้อย แล้วอ้าปากโดยไร้เสียง
นางบอกให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมีชีวิตอยู่ต่อไป เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อ
ราวกับนางสามารถรู้สึกถึงผู้เป็นมารดาได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดมือของตนเอง นางกัดมืออย่างแรงราวกับว่ามันเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะช่วยเก็บความเกลียดชังเอาไว้ในใจได้
“เดี๋ยวสิเจ้าคะ ท่านพี่! ดูเหมือนนางจะตายแล้วนะเจ้าคะ!” ซูเหยียนโม่ที่กำลังนอนอยู่ใต้ร่างเฮ่อเหลียนกวงเย่าตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเฮ่อเหลียนน่าเยว่หยุดเคลื่อนไหว
เฮ่อเหลียนกวงเย่ารีบสวมผ้าคาดเอวตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาแตกตื่นและหวาดกลัว ”ถึงแม้ตาแก่เฮ่อเหลียนจะตายไปแล้ว แต่องครักษ์ประจำตระกูลเฮ่อเหลียนก็ยังอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อสู้กับข้าแน่หากพวกเขารู้ว่าข้าฆ่าเฮ่อเหลียนน่าเยว่ตาย เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะบอกพวกเขาว่าอย่างไร บัดซบ นางตายง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ท่านพี่” ซูเหยียนโม่จับมือของเฮ่อเหลียนกวงเย่าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”ดีแล้วล่ะที่นางตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ตระกูลเฮ่อเหลียนก็จะได้ตกเป็นของพวกเราจริงๆ เสียที”
“แต่อดีตฮ่องเต้จะต้องสอบสวนอย่างแน่นอน ข้าคงได้จบสิ้นแน่ถ้าคนที่อดีตฮ่องเต้ส่งมารู้ว่าใครเป็นคนที่ฆ่านาง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูเหยียนโม่ก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย ”เรื่องนั้นง่ายจะตายไป พวกเราก็เพียงแค่บอกไปว่านางตายเช่นไร ในเมื่อนางยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บเมื่อคราวก่อน และอาการนั้นก็กินเวลามาเนิ่นนานแล้ว จึงย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วที่นางจะตายจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของตัวเอง ตราบใดที่พวกเราปล่อยข่าวออกไปเช่นนั้น ก็ย่อมสามารถปกปิดการตายของนางได้อย่างแน่นอน”
“เจ็บป่วยเรื้อรังหรือ” เฮ่อเหลียนกวงเย่าขมวดคิ้วแล้วเอ่ยต่อ ”ผู้หญิงคนนี้เป็นคนชอบเอาชนะมาตลอด นางสามารถรอดตายจากอาการบาดเจ็บมาได้นับครั้งไม่ถ้วน ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อคำพูดนี้น่ะสิ”