“แล้วถ้าอ้างว่านางอิจฉาข้าล่ะเจ้าคะ” ซูเหยียนโม่กระตุกยิ้ม ความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง ”ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ เดิมทีนางก็เข้ากับคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งเดียวที่นางรู้จักคือการจับอาวุธขึ้นกวัดแกว่งเท่านั้น บรรดาคุณหนูในเมืองหลวงต่างพากันเบื่อหน่ายนางกันแล้ว นอกจากนั้นนางก็ไม่ได้โผล่หน้ามาที่งานแต่งของพวกเราเลยด้วยซ้ำ ข้าเคยบอกพี่น้องของข้ามานานแล้วว่านางมีนิสัยประหลาด นางไม่เปิดใจยอมรับข้า ขี้ระแวง และขี้อิจฉายิ่งนัก หัวใจของนางเล็กเท่าปลายเข็ม การจะมีผู้หญิงสักคนอกตายแตกจากความอิจฉาริษยานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดเจ้าค่ะ ท่านพี่ไม่คิดเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“ทำไมข้าถึงจะไม่คิดเช่นนั้นเล่า” คำพูดนั้นเตือนสติของเฮ่อเหลียนกวงเย่าได้เป็นอย่างดี เขากอดซูเหยียนโม่อย่างรักใคร่ ”เจ้าเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ!”
ซูเหยียนโม่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
แต่เฮ่อเหลียนกวงเย่ายังคงกังวลอยู่เรื่องหนึ่ง ”แต่เฮ่อเหลียนน่าเยว่ตายไปแล้ว เช่นนั้นย่อมหมายความว่าตราทัพก็จะหายสาบสูญไปด้วย”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดนี่เจ้าคะ นังเด็กเหลือขอนั่นยังอยู่ที่นี่มิใช่หรือ” ซูเหยียนโม่ปลอบเฮ่อเหลียนกวงเย่าเสียงนุ่มนวล นางใช้มือเล็กๆ นั้นลูบแผ่นอกของเขา นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุซึ่งเป้าหมายของตน ”ตราบใดที่นางอยู่ที่นี่ ท่านย่อมสามารถใช้ตำแหน่งของนางควบคุมกองกำลังของตระกูลเฮ่อเหลียนได้ นางเป็นบุตรสาวของท่าน การที่ผู้เป็นพ่อเข้ากุมอำนาจแทนบุตรสาวนั้นย่อมเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
ใช่แล้ว! นั่นเป็นสิ่งที่พวกมันวางแผนเอาไว้!
ในเวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยคล้ายกับถูกดึงออกจากร่าง นางมองร่างเล็กๆ ที่แทบจะไม่ได้สติเพราะไข้ขึ้นสูงนั้น อย่างไรเสียนางก็ยังเด็กอยู่ ดังนั้นคงจะรู้สึกตกใจกลัวมากทีเดียว
แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่นางก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งผ่านหูของเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงนั้นทุ้มลึก ราวกับเสียงร้องของนกเค้าแมว ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจในยามที่ได้ยิน ”เลือดของสมาชิกตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นสามารถใช้บำรุงกำลังของคนคนหนึ่งได้ดีกว่ายาอายุวัฒนะ สูบเลือดทุกหยดออกมาจากผู้หญิงคนนี้ แล้วเอาให้บุตรสาวของเจ้าดื่มเสีย ในอนาคต มันจะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน”
“เจ้าค่ะ” ซูเหยียนโม่ตอบอย่างยินดี
แขนทั้งสองข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวยอ่อนแรง นางเอนกายพิงร่างของตนเข้ากับกองหนังสือที่ว่างเปล่า และเมื่อนางลืมตาตื่นขึ้น นางก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
เด็กอายุห้าหกขวบย่อมปิดกั้นความทรงจำของตนเอาไว้ หลังจากที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจ และแทนที่มันด้วยความทรงจำอันเลือนรางอย่างอื่นแทน
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับคิดว่า หากเป็นนาง นางจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด
นางจะจดจำมันไปตลอดกาล!
ใบหน้าของคนพวกนี้!
น้ำเสียงของคนพวกนี้!
จากนั้น เลือดจะต้องชำระด้วยเลือด!
เหมือนกับตอนที่ผู้อาวุโสถังเคยถามนางว่าเหตุผลที่นางต้องการเข้าร่วมกับสำนักถังนั้นคืออะไร
นางตอบไปว่า เพื่อแก้แค้น
ผู้อาวุโสถังมองนาง แล้วส่ายศีรษะ
แต่ถังเส่ากลับยอมให้นางอยู่ที่นั่น
ในตอนที่นางมองไม่เห็นแสงสว่าง และเกือบจะยอมแพ้ เขาคือคนที่มอบความหวังเดียวให้กับนาง
นางเคยตั้งคำถามกับนายน้อยผู้สูงศักดิ์ที่เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัว มือข้างหนึ่งของเขาเคาะสมุด ส่วนมืออีกข้างกำลังต่อตัวต่อของเล่นอยู่ ”ทำไมนายถึงอนุญาตให้ฉันอยู่ที่นี่ล่ะ คนที่เข้าสำนักถังมาเพราะต้องการแก้แค้นอย่างฉันคงไม่มีประโยชน์ในอนาคตหรอก”
เขายังคงจดจ่ออยู่กับตัวต่อของเล่นในมือ จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าตัวเองช่างน่าขันนักที่มาถามคำถามพรรค์นี้กับเด็กออทิสติกที่ปีหนึ่งยังพูดออกมาไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ
“เธอคงมีใครสักคนที่เธอรักอย่างสุดหัวใจอยู่ในใจ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่สามารถปล่อยให้ใครทำร้ายคนคนนั้นได้” ถังเส่าวางตัวต่อของเล่นในมือลง เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ”การทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องนั้นตรงกับคติของสำนักถัง”
การทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้อง…
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้นมาได้สักพักหนึ่ง นางกลับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน นางมองเพดานหรูหราด้วยสายตาว่างเปล่า ดวงตาของนางแห้งผาก
“เจ้าคิดอะไรอยู่” น้ำเสียงทุ้มลึกดังขึ้นข้างหูของนาง
ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกายราวกับนางได้เห็นครอบครัวของตัวเอง ”ถัง…”
พอนางหันหน้าไป คำพูดของนางก็ค้างอยู่ในลำคอ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังเช็ดมือตัวเองอยู่ก็ชะงักไปเช่นกัน แล้วทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา มุมปากของเขากระตุกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มเย็นชาดุจน้ำแข็ง ”ถังหรือ ถังอะไรกัน หืม”
“ไม่มีอะไร ก็แค่เพื่อนคนหนึ่ง” เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดศีรษะที่ปวดหนึบของตน ”ข้าคิดว่าท่านเป็นเขา เสียงของท่านสองคนฟังดูคล้ายกันมาก”
“โอ้ เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือของตนออกไปเชยคางของนางขึ้น ประกายแสงเย็นยะเยือกวาบผ่านแหวนหยกสีดำบนนิ้วก้อยของเขา ”ทำไมข้าถึงไม่รู้เลยล่ะว่าเจ้ามีเพื่อนสกุลถังด้วย ดูเหมือนพระชายาจะมีความลับที่ข้าไม่รู้อยู่มากทีเดียว”
หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยตกไปอยู่ตาตุ่ม นางกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้แล้วว่านางเป็นวิญญาณจากที่อื่น นางยิ้มออกมาเล็กน้อย ”เป็นเพื่อนสมัยเด็กน่ะ แน่นอนว่าท่านไม่รู้จักหรอก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่พูดอะไรอีก สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ทั่วร่างของเขาแผ่บรรยากาศเย็นเยียบสุดจะพรรณาออกมา ดวงตาของเขาลึกล้ำและเงียบสงบราวกับขุมนรกไร้ก้นบึ้งมากด้วยอันตรายที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่ นางจึงทำเพียงแค่กะพริบตา จากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าผมของเขาเปียกอยู่ จึงยื่นมือไปหยิบผ้าขนหนูสีขาวที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา แล้วเริ่มเช็ดผมให้เขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับนิ้วเล็กน้อย บรรยากาศตึงเครียดของเขาเริ่มผ่อนคลายลง แต่น้ำเสียงของเขายังคงไร้ซึ่งอารมณ์อยู่เช่นเดิม ”เจ้ากำลังรู้สึกผิดเรื่องอะไรอยู่หรือ”
“ข้าจะรู้สึกผิดเรื่องอะไรได้หรือ” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยราบเรียบ ”ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นหวัดเหมือนกับข้าต่างหาก”
ขันทีซุนยืนมองภาพนี้อยู่ข้างๆ เขาไพล่มือเอาไว้ด้านหลังด้วยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยขัดจังหวะได้ถูกเวลาพอดี ”องค์ชายทราบว่าพระชายามีอาการประชวร ดังนั้นองค์ชายจึงรีบรุดมาที่นี่ท่ามกลางสายฝนโดยมิได้ใช้ร่มเลยพ่ะย่ะค่ะ ในฐานะบ่าวรับใช้แล้ว กระหม่อมกังวลว่าองค์ชายอาจจะเป็นหวัดเอาได้ แต่เมื่อเห็นว่าพระชายาทรงดูแลองค์ชายดีเช่นนี้ กระหม่อมก็สบายใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตามองเขาทันทีที่ได้ยินดังนั้น
ขันทีซุนยังคงรักษาสีหน้าเอาไว้ได้
เสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นแผ่วเบา ”ข้าเคยใช้ร่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“อะแฮ่มๆๆ!” ขันทีซุนเริ่มอยู่ไม่สุข องค์ชายไม่เข้าใจที่เขาต้องการจะสื่อได้อย่างไรกัน! มีแต่พูดเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความประทับใจให้พระชายาได้! มันเป็นกลยุทธ์สำคัญในเกมความรักนะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจการขยิบตานั้นแม้แต่น้อย เขายิ้มเย็นชาเหมือนกำลังพูดว่า - เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องให้เจ้ามาสั่งสอนด้วยหรือ
หนังศีรษะของขันทีซุนชาวาบกับรอยยิ้มของอีกฝ่าย เขาคว้าเสื้อคลุมที่องค์ชายถอดเอาไว้ขึ้น จากนั้นจึงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว!
เมื่อไม่มีใครอยู่ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงยื่นมือออกไปจับข้อมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยักริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม ”ถ้าเจ้าจะช่วยข้าเช็ดผม เช่นนั้นก็เช็ดให้ดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : … ตอนนี้นางก็เช็ดให้เขาดีแล้วมิใช่หรือ
และแล้วในวินาทีต่อมา
ชายหนุ่มก็เอนตัวลงไปนอนบนตักของนาง รอยยิ้มของเขาดูเย็นชาเล็กน้อย แต่บนใบหน้าของเขากลับมีสีหน้าราบเรียบ และสูงศักดิ์อย่างที่สุด ”เจ้าหยุดทำไมล่ะ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม นางรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังลูบขนของแมวเปอร์เซียอยู่ไม่มีผิด ตราบใดที่นางลูบขนของมันดีๆ ก็จะไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าสุขภาพผมขององค์ชายนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด สัมผัสจากเส้นผมของเขานั้นเหมือนกับสัมผัสของผ้าไหมชั้นดีก็ไม่ปาน มันทั้งนุ่มและลื่นมือ
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมพวกประธานจอมเผด็จการถึงได้ชอบลูบผมยาวๆ ของคนที่อยู่รอบข้างนัก
แม้ว่าในเวลานี้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะกำลังประสบกับความรู้สึกอันรุนแรงนั้นอยู่ แต่เพราะบรรยากาศขององค์ชายนั้นทรงอำนาจจนเกินไป จึงทำให้ภาพที่ออกมาในปัจจุบันดูไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าใดนัก
“เฮ่อเหลียนเวยเวย” ระหว่างที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยเรียก ดวงตาของเขาก็ปิดสนิทและทิ้งแพขนตาสีดำลง ภาพนี้ทำให้เขาดูเหมือนชายสูงศักดิ์ที่กำลังหลับใหลอยู่ในปราสาท น้ำเสียงของเขาเนิบนาบ และฟังดูไม่เป็นมิตร ”เจ้าอย่าได้โกหกข้าจะดีกว่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบรับในลำคอ นอกจากความจริงที่ว่านางมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว นางก็ไม่เคยโกหกเขาเลย
แต่เขาฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะสังเกตเห็นได้เมื่อไร…