รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 288 คำเตือนก่อนหน้านี้ของท่านเซียนมีความหมายลึกซึ้งเช่นนี้นี่เอง!

บทที่ 288 คำเตือนก่อนหน้านี้ของท่านเซียนมีความหมายลึกซึ้งเช่นนี้นี่เอง!

บทที่ 288 คำเตือนก่อนหน้านี้ของท่านเซียนมีความหมายลึกซึ้งเช่นนี้นี่เอง!

บนยอดเขาหยงหมิง พวกหลี่จิ่วเต้าเข้าไปในพระราชวัง

หลี่จิ่วเต้าไม่รู้ว่าการมาของพวกเขาสร้างความฮือฮาต่อสิ่งมีชีวิตบนเขาหยงหมิงมากมายเพียงนี้

“เข้าไปไม่ได้!”

เขาหยงหมิงมีสิ่งมีชีวิตเกลื่อนกลาดไปหมด ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนและสือเฟิงอุตส่าห์เบียดขึ้นมาอยู่ข้างบนได้ กลับพบว่าอีกฟากของเขามีม่านพลัง กีดขวางมิให้สิ่งมีชีวิตตนใดเข้าไปได้

พวกเขาเองก็โดนสกัด เข้าไปไม่ได้

แน่นอนว่าสำหรับพวกเขา ม่านพลังในที่แห่งนี้มิใช่ปัญหา

สือเฟิงมีภาพหยินหยางที่ท่านเซียนประทานให้ สามารถทลายม่านพลังในพื้นที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายโดยมิต้องเปลืองแรง แต่ท่านเซียนอยู่ที่นี่ พวกเขามิกล้าผลีผลาม

“ไม่ต้องร้อนใจ รอไปแล้วกัน” ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าว

“คุณชายมาหรือนี่ ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ!”

สือเฟิงเอ่ยอย่างสะท้อนใจ

ท่านเซียนเร้นกายอยู่ในเมืองชิงซานด้วยฐานะปุถุชน เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้พบท่านเซียนในงานชุมนุมของโลกแห่งการฝึกตนนี้

“เจ้าคิดไม่ถึง ข้าเองก็เหมือนกัน!”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคิดไม่ถึงเช่นกัน และเดาจุดประสงค์ของท่านเซียนไม่ออก

“สิ่งที่ท่านเซียนทำอยู่ย่อมมีความหมายลึกซึ้ง เจ้ากับข้าต้องระวังให้มากกว่านี้ จำไว้ว่าอย่าทำให้คุณชายต้องเสียเรื่อง และอย่าฝ่าฝืนข้อห้ามของคุณชาย!”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าวต่อสือเฟิง

“อืม ข้าเข้าใจ”

สือเฟิงพยักหน้าหนักหน่วง จากนั้นถึงเอ่ยด้วยแววตาแฝงความนัย “เห็นได้ชัดว่างานชุมนุมนี้ไม่ธรรมดา…”

สิ่งมีชีวิตระดับโอรสและธิดาสวรรค์ผู้โดดเด่นในเหยียนโจวล้วนได้รับเทียบเชิญ งานชุมนุมนี้เป็นเพียงการชุมนุมธรรมดาจริงหรือ

เขาไม่คิดอย่างนั้น…

เบื้องหลังของงานชุมนุมนี้เกรงว่ามีความลับยิ่งกว่านี้ซ่อนอยู่

หลี่จิ่วเต้าเดินเข้าไปในพระราชวัง พระราชวังนี้กว้างขวางใหญ่โต การตกแต่งภายในเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายโบราณ งดงามประณีตเป็นอย่างยิ่ง เดิมเขาคิดว่าที่นี่คือพระราชวังไว้พำนัก เมื่อเข้าไปแล้วเขาถึงพบว่าตัวเองคิดผิด

ที่นี่เป็นเพียงห้องโถงด้านหน้าเท่านั้น

เมื่อทะลุผ่านโถงด้านหน้าไป ยังมีลานอยู่ด้านหลัง

ภายในลานมีสายน้ำพร้อมสะพานขนาดเล็ก พืชพรรณเขียวชอุ่มมากมายแต่งแต้มอยู่ภายใน ทั้งยังมีศาลาไม้แดงหลังหนึ่ง มีโต๊ะหินเก้าอี้หินตั้งวางอยู่ด้านใน เป็นลานที่พิถีพิถันยิ่ง

ได้พักอยู่ที่นี่ต้องอภิรมย์มากแน่ ๆ หลี่จิ่วเต้าพึงพอใจสุด ๆ

ผู้อาวุโสเก้าเดินตามอยู่ด้านหลัง ในใจประหม่าเหลือล้น

ท่านนี้คือท่านเซียนหรือ!?

สูงส่งเกินหยั่งอย่างที่คิด!

เขาเป็นถึงราชันเทวา ซ้ำยังเป็นมหาราชันเทวา เหนือกว่าราชันเทวาผู้อื่นไปมาก ทว่ากลับสัมผัสร่องรอยบำเพ็ญจากตัวท่านเซียนไม่ได้เลย ไร้ซึ่งคลื่นพลังปราณใด ๆ ท่านเซียนเสมือนปุถุชนคนหนึ่งจริง ๆ

หากมิใช่ว่าซางเหิงเล่าทุกอย่างให้เขาฟังแล้ว เขาย่อมมิกล้าเชื่อว่านี่คือท่านเซียน เพียงคิดว่านี่คือปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

“ปุถุชนอย่างข้าพำนักอยู่ที่นี่ไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่”

หลี่จิ่วเต้าถาม

เขาคิดว่าในเขาหยงหมิงเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนและสัตว์อสูร ปุถุชนธรรมดาอย่างเขาพำนักอยู่ที่นี่ดูไม่ค่อยดีหรือไม่

ถึงอย่างไรที่พักนั้นก็มีจำกัด ในเขาคงมีผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรมากมายยังไร้ที่อยู่

ประโยคนี้ของท่านเซียนหมายความว่าอย่างไร?

ท่านเซียนพำนักที่นี่ ผู้ใดกล้าบอกว่าเป็นปัญหา

เหตุใดท่านเซียนต้องเอ่ยวาจาเช่นนี้…

ผู้อาวุโสเก้าใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว ไตร่ตรองว่าเหตุใดท่านเซียนถึงพูดเช่นนี้

ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่คนธรรมดา ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ความคิดแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านเซียนถึงเอ่ยเช่นนี้

ประเด็นมิได้อยู่ที่เป็นปัญหาหรือไม่ แต่เป็นคำกล่าวของท่านเซียนที่ว่า ‘ปุถุชนอย่างข้า’!

ปุถุชนอย่างข้า…

ท่านเซียนกำลังเตือนเขาให้รู้ว่า อย่าเปิดเผยตัวตนของท่านเซียนเด็ดขาด!

เข้าใจแล้ว!

หลังตระหนักได้ เขารีบเอ่ยขึ้น “คุณชายคิดมากไปแล้ว บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่คับฟ้า พำนักที่นี่หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ไม่มีเรื่องใดใหญ่หลวงไปกว่าบุญคุณช่วยชีวิต!”

หลี่จิ่วเต้าคิดแล้ว เป็นเช่นนั้นจริง

สิ่งใดเล่าจะเทียบได้กับบุญคุณช่วยชีวิต?

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็อยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ

“เข้าใจแล้ว เช่นนั้นต้องรบกวนด้วย”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยยิ้ม ๆ

พวกเขาพำนักอยู่ที่นี่ ทุกคนต่างมีลานพระราชวังแบบนี้กันหมด

หลังจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย ผู้อาวุโสเก้าอยู่เป็นเพื่อนต่ออีกพักหนึ่ง

สุดท้าย เขาพาคนของตระกูลซางออกไป ทั้งยังสั่งให้คนตระกูลซางดูแลทุกคนที่นี่ให้ดี

ผู้ที่ล่วงรู้ตัวตนของท่านเซียนมีไม่มาก มีเพียงเขาและผู้อาวุโสอีกสามคน รวมถึงซางเหิงกับซางเจี๋ย ผู้อาวุโสอื่น ๆ ล้วนไม่รู้

เขาได้รับคำเตือนจากท่านเซียนแล้ว ยิ่งมิกล้าเปิดเผยตัวตนของท่านเซียน แม้แต่ผู้อาวุโสท่านอื่นก็ไม่ได้บอก บอกเพียงว่าคนที่อยู่ที่นี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ห้ามเสียมารยาทแม้แต่น้อย

แม้ผู้อาวุโสท่านอื่นไม่เข้าใจ แต่พวกเขามิกล้าขัดคำสั่งของผู้อาวุโสเก้า ต่างพากันอารักขาอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง มิกล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย

“ตระกูลซางนี่สุดยอด ถึงขั้นกระชับสัมพันธ์ไมตรีกับยอดนิกายระดับนี้ได้!”

ทันทีที่ออกมา ก็พบกับแม่เฒ่าตระกูลหาน พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนา และยอดฝีมือตระกูลโบราณจำนวนหนึ่ง

พวกเขามารอกันที่นี่อยู่นานแล้ว รอให้ผู้อาวุโสเก้าออกมา

เพราะที่นี่มีม่านพลังอยู่ พวกเขาจึงเข้าไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะฝืนทลายม่ายพลัง

“ยอดนิกายอันใด?”

ผู้อาวุโสเก้าขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมาย

“สหาย ไม่จำเป็นต้องแสดงละครต่อไปแล้วกระมัง หากเบื้องหลังพวกเขาไร้ซึ่งยอดนิกายหนุนหลัง ไยสหายต้องเกรงอกเกรงใจกับพวกเขาถึงปานนี้”

ผู้อาวุโสหูแห่งลัทธิเจี๋ยเทียนเอ่ย

อย่างนี้นี่เอง…

ผู้อาวุโสเก้าถึงบางอ้อ คนเหล่านี้ต่างเข้าใจว่าท่านเซียนและคนอื่น ๆ มาจากยอดนิกายสักแห่ง

ทว่าเขาเพียงหัวเราะ มิได้ยอมรับ “ยอดนิกายที่ไหนกัน สหายทั้งหลายคิดมากเกินไปแล้ว”

ท่านเซียนอยู่ในฐานะปุถุชน!

เมื่อครู่ท่านเซียนเพิ่งเอ่ยเตือนเขา เขาไฉนเลยจะกล้ายอมรับว่ามียอดนิกาย

แม้ว่าเรื่องยอดนิกายไม่เป็นการเปิดเผยตัวตนเซียนของท่านเซียนโดยตรง แต่หากยอมรับ ฐานะปุถุชนของท่านเซียนจักไม่สมเหตุสมผล…

เขาย่อมไม่กล้าทำเช่นนั้น

“สหายปิดบังไปก็ไร้ความหมาย”

แม่เฒ่าตระกูลหานส่ายหน้า “พวกเราสืบสวนมาแล้ว เด็กทั้งแปดคนล้วนมีพรสวรรค์สะท้านฟ้า เคยเรียกปรากฏการณ์ประหลาดจากฟ้าลงมา สรรพวิถีร่วมสรรเสริญ จากนั้นพวกเขาก็เข้าร่วมสำนักฝึกตนระดับปานกลางแห่งหนึ่งที่แดนบูรพาทิศของเหยียนโจว พรรคจื่อเสีย”

นางกล่าวต่อ “ครานั้น เคยมีกลุ่มอำนาจลับจำนวนหนึ่งหมายตาเด็กกลุ่มนี้ ทว่ายอดฝีมือที่กลุ่มอำนาจลับเหล่านี้ส่งไปล้วนไม่มีโอกาสได้กลับ ตายด้วยน้ำมือยอดฝีมือนิรนาม อาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปก็ต้องสูญสิ้นไปด้วย”

“นอกจากนี้ พรรคจื่อเสียที่ว่าไร้ซึ่งรากฐานใด ๆ ทว่าเด็กแปดคนนี้กลับพัฒนาฝีมือได้อย่างก้าวกระโดด ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็บำเพ็ญจากปุถุชนคนหนึ่งจนถึงขอบเขตพรตเต๋า ซ้ำยังมีวิชาอภินิหารอันน่าทึ่งสืบสานกันทุกคน!”

“เท่านี้ก็สะท้อนแล้วว่าเด็กแปดคนนี้เกี่ยวข้องกับยอดนิกาย!”

“หากไม่เกี่ยวข้องกับยอดนิกาย เช่นนั้นเหตุใดยอดฝีมือจากกลุ่มอำนาจลับต่าง ๆ ถึงจบชีวิตลง แล้วเด็กแปดคนพัฒนาอย่างรวดเร็วปานนี้ได้อย่างไร ซ้ำยังมีวิชาอภินิหารอันน่าทึ่งสืบสานกันทุกคน”

นางมองผู้อาวุโสเก้า เอ่ยด้วยสายตาลุกวาว “หลังจากเด็กแปดคนแสดงพรสวรรค์สะท้านนภาออกมา ย่อมเป็นที่จับตามองของยอดนิกาย จนถูกยอดนิกายดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง และยอดฝีมือที่กลุ่มอำนาจลับส่งไปก็ถูกฆ่าโดยยอดนิกายอย่างแน่นอน”

“น่าสนใจ แล้วผู้อื่นเล่า”

ผู้อาวุโสเก้าถาม เขาอยากได้ยินความคิดทั้งหมดของยอดฝีมืออย่างพวกแม่เฒ่าตระกูลหาน

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจไม่พูดสิ่งใดเลยสักคำ ต้องมีคำอธิบายบางอย่างให้พวกเขา

“คนอื่นไม่เท่าไร ปุถุชนสองคนนั้นเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา คนหนึ่งชื่อหลี่จิ่วเต้า คนหนึ่งชื่อหลิงอิน พวกเขากับเด็กแปดคนนั้นอาศัยในเมืองปุถุชนเดียวกัน ต่อมา เด็กแปดคนได้รับเทียบเชิญ จึงตั้งใจกลับเมืองไปเยี่ยมปุถุชนนามหลี่จิ่วเต้า”

แม่เฒ่ากล่าว “หลี่จิ่วเต้าเชี่ยวชาญด้านศิลปศาสตร์ ฝีมือการรักษาก็ดีเยี่ยม ในอดีตเคยดูแลเด็กแปดคนนี้เป็นอย่างดี ทั้งยังเคยช่วยรักษาบุพการีของพวกเขา พวกเขาจึงเคารพนับถือหลี่จิ่วเต้าเป็นอย่างมาก คิดแล้วคงเป็นพวกเขาที่พาหลี่จิ่วเต้ามาที่นี่”

กลุ่มอำนาจของพวกเขาล้วนเป็นตระกูลโบราณ สำนักโบราณที่สืบสานกันมาอย่างยาวนาน และมีสมาชิกอยู่ในตาข่ายข่าวกรองเทียนตี้เช่นกัน

ก่อนหน้านี้ พวกเขาส่งคนไปสืบเสาะปูมหลังของพวกหลี่จิ่วเต้า และได้รับผลการสืบสวนอย่างรวดเร็ว

หลี่จิ่วเต้า…ปุถุชน!

ฟังมาถึงนี่ ผู้อาวุโสเก้ากระจ่างแจ้งขึ้นมาในบัดดล!

ท่านเซียนสมเป็นท่านเซียน!

เห็นได้ชัดว่าท่านเซียนคาดการณ์ไว้แล้วทุกอย่าง ถึงได้ตักเตือนเขาก่อนล่วงหน้า!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

  1. Nanthiya พูดว่า:

    เป็นตุเป็นตะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท