เฮ่อเหลียนเวยเวยกะพริบตาด้วยความสับสนเล็กน้อย
องค์ชายสามดูจะอารมณ์เสียอีกแล้ว แต่เกิดอะไรขึ้นกันล่ะ เฮ่อเหลียนเวยเวยยังนึกหาสาเหตุไม่ออก ดังนั้นนางจึงกะพริบตาอีกครั้งหนึ่ง ”ท่านอ่านตำราที่พวกอาจารย์สั่งมาแล้วใช่ไหม ข้าขอดูหน่อยสิ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ วางม้วนกระดาษเก่าๆ ในมือลง ”ทำไมข้าถึงต้องทำเช่นนั้นด้วย”
“เราเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันมิใช่หรือ เพื่อนร่วมโต๊ะย่อมต้องช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเล็กน้อย คำพูดของนางฟังดูสมเหตุสมผลทีเดียว
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับไม่เห็นด้วยกับนาง สีหน้าของเขาเย็นชาอย่างมาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจที่จะลงมือด้วยตัวเอง ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเสื้อผ้าดีๆ ก็ล้วนแต่หามาด้วยมือของนางเองทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไป หมายจะหยิบม้วนกระดาษนั่นออกมาจากกองที่อยู่ข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะพลิกตัวกลับมา แล้วกั้นนางเอาไว้ที่มุมหนึ่งของรถม้า จากนั้นเขาก็ยื่นมือทั้งสองข้างของตนออกไปขวางหน้าต่างเอาไว้ กักขังเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ในอ้อมแขนของตน
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำต้องแนบตัวเข้ากับรถม้าเพื่อหลบลมหายใจของเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำให้ดวงตาของเขาสบประสานกับเฮ่อเหลียนเวยเวย
ตอนนั้นเองเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงเพิ่งจะตระหนักได้ถึงนิสัยชั่วร้ายเหลือคณาของชายที่ชื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ที่ผ่านมานางไม่เคยสังเกตเห็นมันได้อย่างไรกัน
“เจ้าควรจะยอมรับก่อนมิใช่หรือว่าตัวเองเป็นผู้ผิด จากนั้นเราค่อยมาคุยเรื่องเพื่อนร่วมโต๊ะต้องช่วยเหลือกันนี่อีกที หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโคลงศีรษะ ริมฝีปากบางของเขาดูน่ามองเป็นอย่างยิ่ง ระยะห่างของทั้งสองใกล้ชิดกันเสียจนแทบจะจุมพิตกันได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดจะหลบเขา นางยอมรับความผิดของตนแต่โดยดี ท่าทางของนางนั้นมาจากใจจริง ”ข้าผิดไปแล้ว ตอนนี้ข้าขอลอกตำราของท่านได้หรือยัง”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางผละมือของตนออก แล้วไม่สนใจนางอีกต่อไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างชั่วร้าย นางคลี่ม้วนกระดาษเก่าๆ พวกนั้นออกทีละอัน แล้วเริ่มมองหาอันที่เป็นการบ้านที่อาจารย์มอบหมายให้ และหลังจากค้นหาอยู่ครู่ใหญ่…
นางก็เห็นว่าคนที่เอนตัวอยู่บนฟูกนั้นกำลังโบกมือข้างซ้ายให้นางอย่างไม่ใส่ใจนัก
เดิมทีนั้นนางคิดว่านางคงต้องใช้กำลังแย่งสิ่งที่อยู่ในมือของเขามา และการทำเช่นนั้นก็คจะงกินแรงไม่น้อยเลยทีเดียว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าคราวนี้องค์ชายสามจะใจกว้างยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยคลี่ม้วนกระดาษด้วยรอยยิ้ม
แต่มันกลับว่างเปล่า…
“เนื้อหาที่ท่านจดเอาไว้อยู่ที่ไหน” เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว ม้วนกระดาษเก่าๆ นี่ดูใหม่กว่าของนางได้อย่างไรกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลับตาลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ”ข้าเคยพูดตั้งแต่เมื่อไหร่หรือว่าข้าเคยจดบทเรียนเอาไว้”
“เช่นนั้นก็หมายความว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง ”ท่านก็ไม่ได้อ่านตำราที่อาจารย์มอบหมายมาให้เป็นการบ้านเหมือนกันละสิ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบถ้วยชาขึ้นมาเล่นในมือด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม ”ข้าไม่สนใจอ่านหนังสือที่ข้าอ่านจบไปตั้งแต่ห้าขวบหรอก”
เขารู้จักตัวอักษรจีนมากมายถึงเพียงนี้ตั้งแต่อายุแค่ห้าขวบเลยหรือ
แน่ล่ะ การเอาสายตาของคนปกติมาประเมินองค์ชายย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองม้วนกระดาษเก่าๆ ที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรนั้น นางรู้สึกเหมือนกับว่าฐานะจอมขี้เกียจของตัวเองกำลังถูกสบประมาทอย่างรุนแรง
องค์ชายเติบโตมาอย่างไรกันแน่
เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาเองก็เป็นเหมือนกับถังเส่า เป็นคนที่ถูกจัดให้อยู่ในประชากรกลุ่มพิเศษมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่คนอื่นๆ ต้องทุ่มเททั้งเวลาและความพยายามมหาศาลไปกับการเรียน แต่พวกเขากลับสามารถทำเรื่องพวกนั้นได้ในพริบตาเดียว
จะว่าไปแล้ว ทำไมบนโลกใบนี้ถึงต้องมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าสุดยอดอัจฉริยะอยู่ด้วยนะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเศร้าใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเอ่ยว่า ”ในเมื่อท่านเคยอ่านมันแล้ว ท่านก็น่าจะรู้ใช่หรือเปล่าว่าแก่นของเรื่องนี้คืออะไร บอกข้าหน่อยสิ ข้าจะได้จดเอาไว้”
“บอกเจ้าหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหลุบตาลงราวกับกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา ”บอกให้ก็ได้ แต่ข้าต้องการสิ่งตอบแทน”
เขาคว้าร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าหาตัวก่อนที่นางจะทันได้มีเวลาถามว่าสิ่งตอบแทนนั้นคืออะไรเสียอีก เขากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นจึงขยับขาเรียวยาวแสนน่าอิจฉาของตนขวางนางไว้ แล้วชี้ไปที่ม้วนกระดาษเก่าๆ ด้วยสีหน้าเฉยชา นิ้วของเขาขาวเพรียวราวกับหยก ”ขีดเส้นใต้ตรงนี้”
ด้วยท่านี้น่ะหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยพยายามปรับตัวให้คุ้นชินกับลมหายใจแผ่วเบาที่มาจากด้านหลังใบหูของตัวเอง นางหยิบพู่กันขึ้น แล้วเริ่มเขียนสรุปลงในตำแหน่งที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชี้
ชายหนุ่มไม่ได้เคลื่อนไหวมากเกินความจำเป็น เขาถือเหยือกแก้วสีขาวงาช้างไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นออกไปชี้ที่ม้วนกระดาษเก่าๆ ม้วนนั้น
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เริ่มชินกับการทำเช่นนี้ นางอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน ลืมไปเสียสนิทว่านางนั่งอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม เพราะมัวแต่คิดว่าครั้งสุดท้ายที่นางต้องทนลำบากกับการลอกการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนแบบนี้นั้นก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว
ท้ายที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขายื่นมือตัวเองออกไปจับพู่กันไว้พร้อมกับกุมมือของนางไปพร้อมกัน แล้วเริ่มเขียนข้อความลงบนหน้ากระดาษ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังพยายามปลอบใจตัวเองว่า ”ข้าว่าลายมือข้าก็ดูไม่เลวเลย มันแค่ต่างจากลายมือของท่านเท่านั้นเอง”
ทันที่ทีได้ยินดังนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นจนได้ เขากระตุกมุมปากขึ้นอย่างล้อเลียน สีหน้าของเขาดูสูงศักดิ์ เขาผละมือออกจากนาง แล้วปล่อยให้นางเขียนด้วยตัวเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังเตรียมตัวที่จะทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้เขาประทับใจ
แต่แล้วมือที่ติดจะเย็นของเขาก็พลันผลุบหายเข้าไปใต้เสื้อของนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไป พู่กันในมือของนางลื่นไถลเป็นเส้นโค้งจนดูแปลกตา
“ไม่ระวังตัวถึงเพียงนี้เชียว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว รอยยิ้มก่อตัวขึ้นบนริมฝีปากบางของเขา พลางมองคนอารมณ์ร้ายที่ยอมอยู่ในอ้อมกอดของตนแต่โดยดีคนนั้น สายตาของเขาลุ่มลึกยิ่งกว่าที่เคย เขาปัดเส้มผมนุ่มๆ ของนางออก เผยให้เห็นต้นคอสะอาดสะอ้านและเพรียวบาง เชิญชวนให้คนที่เห็นรู้สึกอยากรุกล้ำมากขึ้น ในเวลานี้นางดูบอบบางยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่นเล็กน้อย นางหรี่ตาลง พร้อมกับคิดที่จะชักมือตัวเองออกจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถคว้ามือข้างขวาของนางเอาไว้ได้ เขาจุ่มมันลงในน้ำหมึก
พร้อมๆ กับที่มืออีกข้างของเขายังคงทำการชั่วร้ายทุกประการอยู่…
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ลมหายใจของนางเริ่มผิดปกติ
อากาศในรถม้าร้อนมากทีเดียว นางจึงไม่ได้แต่งตัวเต็มยศอย่างไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงสวมเพียงเสื้อคลุมขนาดใหญ่กว่าตัวเพียงตัวเดียวเท่านั้น แม้คอเสื้อคลุมตัวนั้นจะไม่ได้กว้างนัก แต่ด้วยการกระทำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย กระดุมสองเม็ดบนที่ต้นคอก็ถูกปลดออกจนหมด เพียงแค่ก้มหน้าลง ผิงที่นุ่มนวลของนางก็ปรากฏสู่สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ทันใดนั้นสายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ลึกล้ำขึ้น เขาเผยอริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มรุกล้ำนาง
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสได้ถึงความร้อนอย่างกะทันหันที่ใบหู มือที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้นก็พลันเพิ่มแรงขึ้นอีกระดับ และภายในพริบตา ความรู้สึกวาบหวามอันยากจะอธิบายก็แผ่มาจากใบหูของนางไปทั่วทั้งกระดูกสันหลัง!
เสื้อคลุมบนร่างของนางถูกขยำจนหลุดลุ่ย
ใครๆ ต่างก็บอกกันว่าองค์ชายสามเป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์ไร้ซึ่งความปรารถนา
ไร้สาระสิ้นดี
จากที่นางเห็น เขาจะต้องเป็นหมาป่าอย่างแน่นอน และที่ร้ายกว่านั้น เขายังเป็นหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ที่กินมังสวิรัติมามากกว่าสิบปีเสียด้วย!
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ว่าร่างทั้งร่างของตัวเองกำลังร้อนและชาขึ้นทีละน้อย นางไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าบริเวณหางตาของดวงตาดอกท้อของตนจะเริ่มเจือไปด้วยสีชมพูระเรื่อ การมองเห็นของนางคล้ายกับถูกหมอกปกคลุมเอาไว้หลายต่อหลายชั้น จนนางไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ นัยน์ตาสีอ่อนของนางเริ่มพร่ามัวขึ้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนาง ช่วงล่างของเขาเริ่มปวดแปลบจากความรุ่มร้อน ทันใดนั้นเขาก็วางพู่กันลง แล้วดึงนางเข้ามาหาตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าแผ่นหลังของนางชนเข้ากับแผ่นอกของเขา นางอยากจะหนี แต่มือและขาก็ถูกเขากักขังเอาไว้ ใต้ขาเรียวยาวที่มีเสื้อคลุมกั้นเอาไว้มีคลื่นความร้อนแผ่ออกมา นางสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แทรกซึมเข้าไปทั่วทุกรูขุมขนของนางในตอนที่เขาหายใจรดนางได้เลยด้วยซ้ำ