แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 305 หัวขโมยถูกรุมประชาทัณฑ์

ตอนที่ 305 หัวขโมยถูกรุมประชาทัณฑ์

ตอนที่ 305 หัวขโมยถูกรุมประชาทัณฑ์

หญิงอวบอ้วนชี้ไปทางหลินเพ่ยพลางพูดว่า “ร้อยละเก้าสิบต้องเป็นหล่อนแน่ อย่าปล่อยให้หล่อนหนีไปได้เด็ดขาด!”

ทันใดนั้น แรงงานต่างถิ่นทั้งหมดในเพิงพักที่รู้ตัวว่าทรัพย์สินของตัวเองโดนขโมย ก็วิ่งไล่ตามและล้อมหลินเพ่ยไว้ตรงกลางทันที

แม้แต่คนงานที่พยายามห้ามปรามพี่เฉากับสามีของหล่อนไม่ให้ทะเลาะกัน ก็ยังวิ่งตามไปจับผู้หญิงคนที่หญิงอวบอ้วนบอก ตอนนี้หลินเพ่ยถูกปิดล้อมจนหนีไปทางไหนไม่ได้

คนงานก่อสร้างจริงจังเรื่องหัวขโมยมากกว่าปัญหาจุกจิกระหว่างสามีภรรยาเสียอีก

เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นหัวขโมย สิ่งที่อีกฝ่ายขโมยไปคงหนีไม่พ้นข้าวของมีค่าของพวกเขา

ต่อให้ผู้ชายบ้านอื่นมีชู้ การกระทำของเขาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากมายนัก อย่างมากก็แค่ได้ดูความตื่นเต้นฟรี ๆ

หลินเพ่ยตื่นตระหนก “ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้ทำ ปล่อยฉันออกไปนะ!”

หล่อนแอบจ้องเขม็งกลับไปที่หญิงอวบอ้วนด้วยความเกลียดชัง

สาเหตุที่หล่อนโกหกว่าหล่อนถูกสามีของพี่เฉาสั่งให้เข้าไปอยู่ในเพิงพักของตัวเอง ก็เพราะต้องการให้พี่เฉาคิดมากไปในเชิงชู้สาว จนเข้าใจสามีของตัวเองผิดไป

พอสองสามีภรรยาเริ่มมีปากเสียงกัน หล่อนจะได้อาศัยประโยชน์จากความวุ่นวายเพื่อหลบหนี

พี่เฉากับสามีของหล่อนต่อสู้พัวพันกันจริง ๆ ความโกลาหลโดยรอบเกิดขึ้นตามที่หล่อนตั้งใจให้เป็น และหล่อนเกือบจะเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว

ท้ายที่สุดโอกาสหนึ่งเดียวของหล่อนก็พังทลายลงด้วยน้ำมือของหญิงอ้วนคนนี้

ก่อนหน้านี้หล่อนไม่เคยเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย เมื่อกี้ก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางอะไรต่อกัน แล้วทำไมถึงเอาแต่กัดกันไม่ปล่อยแบบนี้!

หลินเพ่ยแค้นใจมากจนอยากคว้ามีดมาแทงหญิงอ้วนให้ตายไปเสีย

ที่หญิงอวบอ้วนกัดหลินเพ่ยไม่ยอมปล่อย หล่อนก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง

หล่อนเคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อครั้งที่ยังแต่งงานอยู่กินกับสามีเก่า

ทั้งผู้ชายคนนั้น ทั้งครอบครัวของเขาไม่เคยรู้สึกผิดกับสิ่งที่กระทำลงไปเลย แถมยังขอให้หล่อนทำเป็นเมินเฉยหรือปล่อยวางเรื่องนี้ไปซะ โดยให้สามีสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก

แต่ปัญหาก็คือ นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่สามีของหล่อนมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น

ทุกครั้งที่ถูกจับได้ เขามักให้สัญญาว่าจะไม่ทำอีก แต่ก็ละเมิดมันทุกครั้งไป

จนในที่สุดหญิงอ้วนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ยืนกรานว่าจะแจ้งความเรื่องนี้กับทางตำรวจให้ได้

แม้ในสมัยนั้นกระบวนการยุติธรรมและการปราบปรามอันธพาลจะยังไม่รุนแรงเหมือนในปัจจุบันก็ตาม

บทลงโทษส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นยิงเป้า แค่ถูกจับกุมขังคุกเท่านั้น แต่โทษจำคุกนั้นไม่ใช่เบา ๆ เลย เพราะผู้กระทำความผิดจะถูกจำคุกแปดถึงสิบปี โดยที่ไม่สามารถหลบหนีได้

เพื่อป้องกันไม่ให้หญิงอ้วนขึ้นโรงพักไปแจ้งความ ชายคนนั้นกับครอบครัวของเขาพยายามข่มขู่หล่อนทุกวิถีทาง

ตราบใดที่หล่อนคิดจะไปโรงพักเพื่อแจ้งความจับสามีตัวเอง ไม่ว่าชู้รักหรือสามีของหล่อนมักจะชิงวิ่งโร่ไปแจ้งความเท็จก่อนว่าน้องชายคนเดียวของหล่อนกระทำอันธพาล ให้น้องชายถูกจับเข้าคุกพร้อมกับพี่เขย

เพราะไม่อยากให้น้องชายแท้ ๆ ของตัวเองต้องหมดอนาคต หญิงอ้วนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมปล่อยสุนัขชายหญิงคู่นั้นให้ลอยหน้าลอยตาอีกครั้ง

ทว่าหล่อนไม่อยากใช้ชีวิตร่วมกับชายแพศยาคนนั้นอีกต่อไป จึงตัดสินใจหย่าขาดกับเขาเสีย

ยุคสมัยนี้ แม้กระทั่งในตัวเมือง ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่มีสถานะหย่าร้างย่อมเสื่อมเสียชื่อเสียงกันทั้งนั้น นับประสาอะไรกับในชนบท

หญิงอ้วนถูกผู้คนแถวบ้านเยาะเย้ยถากถางจนอยู่ไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงต้องจากบ้านเกิดเข้ามาทำงานในเมือง

ขณะเดียวกัน อดีตสามีของหล่อนกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งนั้น หลังจากทั้งสองหย่าขาดจากกัน ชายแพศยาคนนั้นก็แต่งงานใหม่กับชู้รัก พาหล่อนเข้ามาอยู่ในบ้านจนกลายเป็นข่าวใหญ่

หญิงอ้วนทั้งโกรธทั้งเกลียดจนแทบบ้า แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทัศนคติของหล่อนที่มีต่อผู้หญิงคนอื่นก็เริ่มเลวร้าย หล่อนเกลียดผู้หญิงทุกคนที่ยั่วยวนสามีคนอื่นอย่างหน้าไม่อาย

ด้วยเหตุนี้ตอนที่ออกไปซื้อของกับพี่เฉา แล้วได้ยินพี่เฉาบ่นว่าสามีของตัวเองทำดีกับผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งอย่างผิดสังเกต หล่อนก็รู้สึกระแวงขึ้นมาทันที

เพราะสงสัยว่าสามีของเพื่อนอาจวางแผนลักลอบเล่นชู้กับผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น หล่อนจึงลากอีกฝ่ายกลับบ้านเพื่อให้ความจริงกระจ่าง

ถึงจับไม่ได้คาหนังคาเขาว่าสามีของพี่เฉาทำเรื่องที่น่าอับอายกับหลินเพ่ย แต่หลินเพ่ยก็ยังถูกคนงานล้อมจับในฐานะที่หล่อนเป็นหัวขโมย

หญิงอ้วนดุด่าหลินเพ่ยด้วยความโกรธ “เธอบอกว่าเธอไม่ได้ทำ งั้นเธอวิ่งหนีทำไม?”

คนงานหลายคนสนับสนุนคำพูดของหญิงอ้วนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “จริงด้วย เธอวิ่งหนีทำไมล่ะ?”

หลินเพ่ยงัดมารยาเรียกร้องความสงสารออกมาใช้ “ฉัน… ฉันแค่กลัวว่าจะถูกเข้าใจผิด ฮือๆๆ”

ผู้หญิงสวยร้องไห้อาจดูน่าเห็นใจ แต่พอผู้หญิงขี้เหร่ร้องไห้กลับดูน่าสมเพช

หญิงอ้วนยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางตะคอกใส่ด้วยความรังเกียจ “กลัวว่าตัวเองจะถูกเข้าใจผิดเรอะ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงไม่ยอมให้ความร่วมมือในการสืบหาความจริงล่ะ? ถ้าเธอไม่วิ่งหนี พวกเราจะเข้าใจเธอผิดไหม?”

“แต่ถ้า… แต่ถ้า… ถ้าฉันบอกว่าของในเพิงพักที่หายไปไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉัน แล้วเธอจะเชื่อฉันไหมล่ะ?”

หลินเพ่ยนึกเสียใจในความสะเพร่าของตัวเองขึ้นมา

ทำไมตอนที่หล่อนเข้าไปขโมยของในเพิงพัก ถึงไม่ยอมกลบร่องรอยให้มันแนบเนียนสักหน่อย

ตราบใดที่ไม่มีร่องรอยน่าสงสัย แรงงานต่างถิ่นพวกนั้นคงไม่มีทางรู้ตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ แน่ว่าของในเพิงพักของตัวเองโดนขโมยไป

หล่อนโทษตัวเองที่ทำแผนเดิมล่มไม่เป็นท่า ถ้าหล่อนขโมยเงินเสร็จแล้วรีบวิ่งหนีออกไป คงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนคนอื่นจับได้ เพราะถึงตอนนั้นหล่อนคงหนีไปไกลมากแล้ว

ตอนนั้นหล่อนกลับหน้ามืดตามัวจนไม่รีบหนีไป ยืนกรานว่าจะแก้แค้นผู้หญิงแซ่เฉา โดยการเข้าไปในเพิงพักของอีกฝ่ายกับสามีเพื่อขโมยเงินไปให้หมดเกลี้ยง

นึกเสียดายไปก็เท่านั้น ตอนนี้หล่อนถูกล้อมไว้ทุกทาง ไม่รู้ว่าจะหนีออกไปอย่างไร…

แรงงานต่างถิ่นทุกคนต่างหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเพ่ย

ถ้าพวกเขาไม่ค้นตามร่างกายของผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียดคนนี้ เห็นทีคงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหล่อนขโมยจริงหรือเปล่า

ขณะเดียวกันนั้นเอง คนงานคนอื่น ๆ ก็ทยอยรู้ตัวว่าของที่ซ่อนไว้ในเพิงพักของตัวเองถูกขโมยไป พวกเขาต่างตะโกนขึ้นมาทีละคน

หลินเพ่ยยิ่งกลัวความผิดจนแข้งขาอ่อนแรง

แรงงานต่างถิ่นคนที่เห็นหลินเพ่ยเดินเข้ามาในไซต์งานก่อสร้างด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เดินเข้ามาสมทบ

เขาพูดกับทุกคนว่า “ถ้าพวกนายอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับของในเพิงพักพวกนั้นหรือเปล่า วิธีพิสูจน์ง่ายมาก ต้องเรียกสามีของพี่เฉามาเผชิญหน้ากับหล่อนซะ ความจริงจะถูกเปิดเผยเอง ฉันบังเอิญเดินสวนกับผู้หญิงคนนี้ตอนที่หล่อนเดินเข้ามาในไซต์งาน พอถามว่ามาหาใคร หล่อนตอบว่ามาหาสามีของพี่เฉา งั้นก็ไปถามสามีพี่เฉาเถอะว่าผู้หญิงคนนี้เข้ามาตามหาเขาทำไม”

ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งก็ลากพี่เฉากับสามีของหล่อนที่ยังคงทะเลาะกันให้เดินมาทางนี้

พี่เฉาชี้หน้าหลินเพ่ย ก่อนจะหันกลับมาพูดกับสามีตัวเอง “นังสารเลวนี่บอกว่าคุณบอกให้หล่อนเข้าไปรออยู่ในเพิงของเราเป็นการส่วนตัว คุณยังไม่ยอมรับอีกเหรอ!”

สามีของพี่เฉารู้สึกผิดในความใจดีของตัวเอง หันไปตะคอกหลินเพ่ยด้วยความโกรธจัด “สาวน้อย เธอนี่ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีเอาซะเลย ฉันบอกให้เธอเข้าไปรออยู่ในเพิงของฉันกับเมียตั้งแต่เมื่อไหร่? ฉันอุตส่าห์ช่วยไม่ให้เธอต้องอดตาย แต่เธอกลับตอบแทนความเมตตาของฉันแบบนี้เหรอ!”

หลินเพ่ยขึ้นขี่เสือแล้วลงไม่ได้

ถ้าหล่อนไม่ใส่ร้ายสามีของพี่เฉา หล่อนต้องถูกทุกคนสงสัยว่าหล่อนเป็นหัวขโมยแน่

และถ้าหล่อนโดนตำรวจจับอีกครั้ง คงไม่พ้นเข้าไปอยู่ในศูนย์กักกันอีกตามเคย

หล่อนไม่อยากกลับเข้าไปอยู่ในที่แบบนั้นแล้ว

หลินเพ่ยแกล้งทำเป็นโกรธ ยังคงปั้นเรื่องใส่ร้ายสามีของพี่เฉา แล้วร้องไห้อย่างขมขื่น “ลุงเป็นคนบอกให้ฉันเข้าไปรออยู่ในเพิงที่ตัวเองอาศัยอยู่แท้ ๆ ตอนนี้กลับเฉไฉไม่ยอมรับล่ะ…”

สามีของพี่เฉาช่วยเหลือหลินเพ่ยโดยที่ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง เขาแค่รู้สึกสงสารหล่อนก็เท่านั้น

ความจริงแล้ว คุณลุงคนนี้มีนิสัยชอบเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีแต่เพียงเปลือกนอก เพราะเขารู้สึกอิ่มเอมใจทุกครั้งคนอื่นกล่าวขอบคุณเขา

แต่สำหรับสมาชิกในครอบครัวตัวเองแล้ว เขาไม่เคยมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แถมยังใจร้อนเอามาก ๆ

เขาพยายามสร้างภาพว่าตัวเองเป็นคนดีมาโดยตลอด แต่เมื่อครู่กลับถูกภรรยาใส่ความว่าตัวเองแอบมีความสัมพันธ์สวาทกับหลินเพ่ย ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้า

ตอนนี้หลินเพ่ยก็ใส่ร้ายเขาอีกคน ภาพลักษณ์อันแสนดีที่อุตส่าห์สั่งสมมาพังทลายต่อหน้าเพื่อนร่วมงานในที่สุด

เขาอดทนระงับโทสะไม่ไหวอีกต่อไป พุ่งตัวเข้าไปตบหน้าหลินเพ่ยหลายครั้งโดยไม่ยั้งแรง “ถ้าฉันรู้ว่าเธอเลวขนาดนี้ ฉันคงไม่ช่วยเธอไว้ตั้งแต่แรก!”

เขาเป็นแรงงานต่างถิ่นที่อดทนทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี แน่นอนว่าพละกำลังของเขาแข็งแรงมาก ทันทีที่ตบหน้าหลินเพ่ย หล่อนก็ร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าบวมเป่งจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครสนใจเลยว่าใบหน้าของหลินเพ่ยจะบวมช้ำขนาดไหน

พวกเขาจ้องมองธนบัตรหลายใบที่ร่วงลงมาจากตัวหล่อน ตามด้วยวิทยุเครื่องน้อย และไฟฉาย

ทันใดนั้นใครสักคนในหมู่พวกเขาก็จำวิทยุเครื่องนั้นได้ “นั่นมันวิทยุของเจียเป่าไม่ใช่เหรอ ไปอยู่ที่ผู้หญิงคนนี้ได้ยังไงกัน?”

เจียเป่าคือชื่อเล่นของคนงานคนหนึ่งในไซต์งานก่อสร้าง

อีกคนหนึ่งสวนกลับทันที “ยังต้องถามอีกเหรอ? ผู้หญิงคนนี้ต้องขโมยไปแน่ วิทยุคงไม่มีขาเดินดุ่ม ๆ เข้าไปอยู่กับหล่อนด้วยตัวเองหรอกมั้ง?”

เจ้าของไฟฉายจำไฟฉายของตัวเองได้ทันที “นั่นมันไฟฉายของฉันนี่!”

“ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขโมยไปแน่ ทุบตีหล่อนซะ!” ใครอีกคนตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ

พอเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว หลินเพ่ยก็ข่มความเจ็บปวดเหมือนถูกไฟเผาบนใบหน้า หยัดตัวลุกขึ้นเหมือนสัตว์ที่หลุดออกจากกรงแล้วอาละวาดไปทั่ว พยายามฝ่าฝูงชนเพื่อหลบหนีไปให้ได้

แต่คนงานเหล่านี้จะยอมให้หล่อนทำแบบนั้นหรือ?

ด้วยความโกรธแค้นอย่างสุดซึ้งที่มีต่อหัวขโมย ทุกคนที่ไหวตัวทันก็รีบวิ่งไล่ตาม ทั้งทุบตีทั้งกระทืบ ก่อนจะโยนร่างหล่อนออกไปจากเขตไซต์งานก่อสร้าง

ใครบางคนเขียนคำว่า ‘ขี้ขโมย’ ลงบนแก้มทั้งสองข้างของหล่อนที่บวมฉึ่ง

คนงานเหล่านี้รู้แค่ว่าต้องรุมประชาทัณฑ์เพื่อทำให้หัวขโมยได้รับความอับอาย แต่ไม่คิดส่งตัวให้ตำรวจ

เหตุผลหลัก ๆ คือพวกเขาเองก็กลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจเหมือนกัน หลินเพ่ยจึงรอดคุกไปได้อย่างหวุดหวิด

หล่อนยอมโดนคนงานพวกนี้ทุบตี ดีกว่าโดนพวกเขาจับตัวส่งตำรวจจนต้องกลับเข้าไปอยู่ในศูนย์กักกัน

หล่อนพยายามลุกขึ้นจากพื้น ลักลอบเข้าไปในหน่วยงานเล็ก ๆ ของรัฐแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล พอเจอก๊อกน้ำก็รีบเปิดล้างคำประจานสองคำอันน่าอัปยศบนใบหน้าอย่างสิ้นหวัง

ถ้าสีบนใบหน้ายังเปียกหมาด ๆ คำว่า ‘ขี้ขโมย’ คงถูกน้ำชะล้างออกโดยง่าย แต่พอสีเริ่มแห้งสนิท ผลลัพธ์จึงออกมาในทางกลับกัน

หล่อนขัดถูผิวหน้าของตัวเองจนหนังแทบถลอก แต่สองคำนั้นก็แทบไม่หลุดลอกออกไปจากใบหน้า

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หล่อนก็อึดเหมือนกันนะเนี่ยหลินเพ่ย โดนรุมยำขนาดนั้นแต่ยังไม่ตาย

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท