ตอนที่ 307 ซุนกุ้ยเซียงสร้างปัญหา
สองแม่ลูกกินอาหารเช้าง่าย ๆ ดื่มน้ำจากก๊อกน้ำสาธารณะ จากนั้นก็เดินมาจนถึงร้านของหลินม่าย
แต่คราวนี้พวกหล่อนไม่กล้าไปยืนจังก้าอยู่หน้าร้านเหมือนคราวก่อน ได้แต่แอบอยู่ในมุมมืดและทำตัวให้ลีบเล็กเหมือนหนูสองตัว
หลินเพ่ยชี้ไปที่ร้านของว่างเปาห่าวซือ แล้วชี้ไปที่ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่ว พูดกับซุนกุ้ยเซียงว่า “สองร้านนี้เป็นร้านของนังนั่น”
ซุนกุ้ยเซียงมองดูตึกทั้งสองหลังที่ตกแต่งภายนอกและภายในอย่างวิจิตรแล้วแทบไม่เชื่อสายตา
นังลูกเนรคุณนั่นมาอยู่ที่เจียงเฉิงได้ไม่ถึงหนึ่งปี แต่โชคลาภมากมายกลับหล่นทับขนาดนี้เลยหรือ?
นางเหลือบมองลูกสาวคนโตที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างสงสัย ถามอย่างเย็นชา “แกไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?”
คำพูดคำจาของลูกสาวคนนี้มีแต่คำโกหก แต่นางกลับไม่เคยคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าละอาย กลับคิดว่าเป็นพรสวรรค์
หล่อนเคยฉ้อโกงเงินแต่งงานจากครอบครัวของผู้ชายตัวเองได้สำเร็จ นั่นก็เป็นเพราะคารมล่อลวงของหล่อนมิใช่หรือ
ถึงแม้เงินทั้งหมดที่ได้มาจะใช้จ่ายไปกับการปรนเปรอลูกสาวคนโต แต่มันก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวไปได้มาก ถือเป็นการจุนเจือครอบครัวอย่างหนึ่ง
ทว่าเมื่อนิสัยขี้โกหกของหลินเพ่ยทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมาน นางจึงไม่ค่อยชอบใจหลินเพ่ยเท่าไรนัก
ซุนกุ้ยเซียงเชื่อว่าที่ตัวเองถูกตำรวจจับจากการเข้าไปพังร้านของเฮ่อเชิ่งเพราะความเข้าใจผิด นั่นก็เป็นความตั้งใจของหลินเพ่ยเช่นกัน
ซุนกุ้ยเซียงมีหรือจะไม่รู้ว่าลูกที่คลานออกมาจากท้องตัวเองมีธาตุแท้เป็นอย่างไร
นอกจากหลินเพ่ยจะมีนิสัยขี้โกหกแล้ว หล่อนยังเจ้าคิดเจ้าแค้น
หล่อนถูกผู้เป็นพ่อทุบตีเจียนตายเพราะจับได้ว่าขโมยเงินเก็บก้อนสุดท้ายของครอบครัว คนอย่างหล่อนไม่มีทางปล่อยผ่าน แต่เก็บเอาความแค้นนั้นมาขุดหลุมฝังพวกเขาในภายหลัง
หลินเพ่ยชูมือขึ้นฟ้าพร้อมสาบาน “ฉันไม่ได้โกหกจริง ๆ นะแม่! ถ้าฉันโกหกขอให้ฟ้าผ่าตายตรงนี้เลย!”
ซุนกุ้ยเซียงมีบทเรียนจากกับดักที่หล่อนขุดไว้มากพอแล้ว จึงผลักหลินเพ่ยออกไป “เอาล่ะ งั้นแกก็เดินเข้าไปถามคนพวกนั้นดูว่าเจ้านายของพวกเขาใช่นังแพศยานั่นจริงหรือเปล่า”
หลินเพ่ยลังเลไม่ยอมขยับเขยื้อน เพราะกลัวว่าถ้าเข้าไปแล้วอาจเจอหลี่หมิงเฉิง แล้วถูกเข้าไล่ตะเพิดออกมาอีก
ทันใดนั้นดวงตาของซุนกุ้ยเซียงแข็งกร้าวขึ้นทันที “ทำไม? ไม่กล้าเข้าไปงั้นเหรอ? นี่แกคิดจะโกหกฉันอีกแล้วใช่ไหม?!”
ว่าแล้วก็บิดเนื้อหน้าอกของหลินเพ่ยอย่างแรง เพราะรู้ดีว่าต้องหยิกตรงไหนถึงจะสร้างความเจ็บปวดได้มากกว่า
เมื่อก่อนนางเคยบิดเนื้อหน้าอกของหลินม่ายมาแล้ว ความเจ็บปวดนั้นทำให้เธอถึงกับน้ำตาไหล
แม้หลินเพ่ยกับหลินม่ายจะเป็นเด็กบ้านนอกกันทั้งคู่ แต่พวกเธอได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันตั้งแต่ยังเด็ก
เมื่อเปรียบเทียบกับหลินม่ายแล้ว หลินเพ่ยอดทนต่อความเจ็บปวดได้น้อยกว่า แรงหยิกของซุนกุ้ยเซียงทำให้หล่อนเจ็บมากจนแทบทนไม่ได้
หล่อนแก้ตัวเสียงต่ำ “ฉันเปล่านะ!”
“งั้นแกก็เข้าไปถามสิ!” ขณะที่ซุนกุ้ยเซียงพูด มือของนางก็ออกแรงหยิกมากกว่าเก่า
หลินเพ่ยทนเจ็บไม่ได้อีกต่อไป “ฉันเข้าไปถามก็ได้ แม่ หยุดหยิกฉันได้แล้ว”
ซุนกุ้ยเซียงชักมือออก จ้องเขม็งมองหล่อนด้วยสายตาดุเดือด
ภายใต้การจับจ้องของผู้เป็นแม่ หลินเพ่ยยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เช็ดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม ก่อนจะเดินเข้าไปในร้านเซาเข่าอย่างช้า ๆ
ร้านของว่างเปาห่าวซือมีลูกค้าและพนักงานเดินกันขวักไขว่เหมือนคราวก่อน หล่อนกลัวว่าพนักงานในร้านอาจจำตัวเองได้ เลยไม่กล้าเข้าไปในร้านเพื่อหลอกถาม
ดังนั้นหล่อนจึงเลือกเข้าไปที่ร้านเซาเข่า อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้จัก
พอเห็นแบบนั้น ซุนกุ้ยเซียงก็เดินตามเข้าไปในร้านเซาเข่า ขยิบตาส่งสัญญาณให้หลินเพ่ยเรียกใครสักคนมาถาม
หลินเพ่ยเลือกโต๊ะแล้วนั่งลง กวาดสายตามองไปรอบร้าน จากนั้นก็เลือกเรียกเสี่ยวหม่าน พนักงานคนเดียวในร้านที่ดูไร้เดียงสาและหลอกง่าย
เสี่ยวหม่านไม่รังเกียจใบหน้าที่บวมเหมือนหูหมูไหว้เจ้าของหลินเพ่ย หล่อนดีใจมากที่วันนี้มีลูกค้าเข้าร้านตั้งแต่หัววัน รีบเดินเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
พอมองไปทางซุนกุ้ยเซียงที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับหลินเพ่ย ก็พูดเชื้อเชิญ “คุณป้า เชิญนั่งก่อนค่ะ”
ซุนกุ้ยเซียงไม่กล้าหย่อนก้นลงนั่ง หากว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล นางจะได้วิ่งหนีออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอนั่งแล้วการเคลื่อนไหวไม่สะดวกเท่าตอนยืน
นางโบกมือ “ฉันไม่นั่ง”
เสี่ยวหม่านมองนางด้วยสายตาแปลก ๆ จากนั้นก็ไม่สนใจอีก หันไปถามหลินเพ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนสวย คุณอยากรับอะไรดีคะ?”
หลินเพ่ยแกล้งทำเป็นสั่งอาหารมาอย่างหนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ “เจ้านายของเธอใช่ผู้หญิงชื่อหลินม่ายที่มาจากชนบทหรือเปล่า?”
“ใช่ ทำไมเหรอคะ?” เสี่ยวหม่านก้มหน้าลงจดรายการอาหารที่หลินเพ่ยสั่งลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก ถามกลับอย่างสงสัย
หลินเพ่ยไม่รีบร้อนตอบ เพราะกลัวว่าตัวเองอาจทำพลาดเหมือนครั้งที่แล้ว หล่อนเฉไฉอธิบายลักษณะของหลินม่ายแล้วถามต่อ “เจ้านายของเธอหน้าตาเป็นแบบนี้ใช่ไหม?”
เสี่ยวหม่านพยักหน้า “ถูกต้องค่ะ คุณเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงเอาแต่ถามหาเถ้าแก่เนี้ยของเรา?”
หลินเพ่ยยิ้ม แต่รอยยิ้มยิ่งทำให้ความบวมช้ำบนใบหน้ายิ่งตึงเข้าไปใหญ่ จนอดพ่นลมหายใจออกมาเพราะความเจ็บปวดไม่ได้
หล่อนอ้างว่า “ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนมัธยมต้นกับเถ้าแก่เนี้ยของเธอน่ะ พอได้ยินว่าเธอมาเปิดร้านที่นี่ ก็เลยอยากแวะมาเยี่ยมเธอสักหน่อย แต่กลัวว่าจะจำคนผิด เลยถามย้ำสักสองสามรอบ”
เสี่ยวหม่านยิ้มอย่างไร้เดียงสา “อย่างนี้นี่เอง ฉันก็นึกว่าคุณมีเจตนาที่ไม่ดีแอบแฝงซะอีก ไม่ต้องกังวลนะคะ คุณตามหาถูกคนแล้วล่ะ”
หลังจากได้ยินคำตอบของเสี่ยวหม่าน ซุนกุ้ยเซียงก็กลายเป็นคนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาทันที ตบโต๊ะแล้วตะโกนลั่นร้าน “เรียกเถ้าแก่เนี้ยของเธอออกมาเดี๋ยวนี้ บอกว่าแม่ของมันอยู่ที่นี่!”
แต่ไม่ว่าจะโมโหแค่ไหน นางก็ไม่กล้าอาละวาดพังร้านอีก บทเรียนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้นางหวาดกลัว
เสี่ยวหม่านจ้องมองซุนกุ้ยเซียงอย่างไม่พอใจ “ต่อให้คุณจะเป็นแม่ของเถ้าแก่เนี้ย คุณก็ไม่มีสิทธิ์แสดงกิริยาหยาบคายแบบนี้!”
ซุนกุ้ยเซียงรังแกคนอ่อนแอ หวาดกลัวคนแข็งกระด้าง พอเห็นว่าถึงเสี่ยวหม่านจะโกรธ แต่ท่าทางก็ยังปวกเปียกนุ่มนวลเหมือนไม่สู้คน นางก็ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น
หล่อนชี้หน้าด่าอีกฝ่ายทันที “อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ เรียกนังหลินม่ายออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกให้มันไล่เธอออกซะ!”
หลังจากหลินม่ายกินอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว เธอก็ออกไปตลาดเพื่อซื้อผัก พอกลับมาก็ตั้งใจว่าจะแวะไปที่ร้านเซาเข่าเพื่อคุยงานกับโจวฉายอวิ๋น
ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ เธอเห็นเพื่อนบ้านหลายคนออกมายืนออกันอยู่หน้าร้านเซาเข่าจากระยะไกล ทุกคนต่างชะเง้อคอมองเข้าไปในร้าน จึงรู้ว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่
เธอไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตระหนก ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน
ขณะนั้นเอง แม่เสี่ยวหงที่เห็นหลินม่ายก็เดินเข้ามาประจบประแจงอย่างไม่รอช้า
หล่อนวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาหลินม่ายด้วยสีหน้าจริงจัง บอกว่ามีคนเข้าไปสร้างปัญหาในร้านของเธอ
หลินม่ายยิ้มรับพลางกล่าวขอบคุณ
ตราบใดที่อีกฝ่ายแสดงความปรารถนาดีต่อเธออย่างจริงใจ ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็ยอมปล่อยวางได้
ผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า ถ้ารู้ข้อผิดพลาดแล้วรีบแก้ไข ก็จะยังเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันได้
พอเธอกำลังจะเดินผ่านประตูร้านเข้าไป เสียงที่คุ้นเคยของซุนกุ้ยเซียงก็แว่วเข้ามาสู่โสตประสาทของหลินม่าย
เสียงนั้นชวนให้เธอนึกย้อนไปถึงผู้หญิงเนื้อตัวโสโครกคนหนึ่งที่ตัวเองสงสัยว่าน่าจะเป็นหลินเพ่ย ตอนนี้หลินม่ายสามารถลบคำว่า ‘สงสัย’ ทิ้งไปได้อย่างมั่นใจ
ผู้หญิงโสโครกที่เธอเห็นเมื่อวานนี้ต้องเป็นหลินเพ่ยไม่ผิดแน่ พอรู้แบบนี้ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
ที่ไหนมีหลินเพ่ย ที่นั่นต้องมีซุนกุ้ยเซียงเป็นธรรมดา
เมื่อวานนี้เธอเห็นหลินเพ่ย มาวันนี้ก็ได้ยินเสียงของซุนกุ้ยเซียงอีก
สองแม่ลูกชั่วช้าคู่นี้ เห็นทีคงแยกจากกันไม่ได้สินะ
หลินม่ายสาปแช่งพวกหล่อนในใจ ก้าวเข้าไปในร้านเซาเข่าของตัวเอง เห็นซุนกุ้ยเซียงกับหลินเพ่ยอยู่ตรงนั้น
หลินเพ่ยถอยหลังไปหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน พยายามทำให้ตัวเองดูไร้ตัวตนมากที่สุด
หลินม่ายพูดกับซุนกุ้ยเซียงด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันได้ยินว่าไม่นานมานี้ ลูกสาวคุณเข้าไปที่ร้านเปาห่าวซือที่อยู่ถัดจากร้านนี้ แล้วทำพฤติกรรมสิบแปดมงกุฎจนโดยตำรวจจับเข้าคุก วันนี้คุณยังกล้าเสนอหน้ามาทำตัวกร่างที่นี่อีกเหรอ?”
ลูกค้าและบรรดาพนักงานในร้านต่างมองไปทางซุนกุ้ยเซียงด้วยสายตาเหยียดหยาม
พอเสี่ยวหม่านได้ยินแบบนี้ ก็รีบขับไล่ซุนกุ้ยเซียงออกไป “คุณมันนักต้มตุ๋นนี่เอง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” ซุนกุ้ยเซียงผลักเสี่ยวหม่านออกไปอย่างแรง
จากนั้นก็หันกลับมาตะคอกใส่หลินม่าย “แกหาเงินได้มากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่รู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่ พอเจอหน้าแม่ตัวเองยังกล่าวหาว่าเป็นนักต้มตุ๋น! ฉันขอบอกไว้ตรงนี้ ถ้าแกไม่ยกบ้านหลังนี้กับเงินเก็บทั้งหมดที่แกมีให้ฉัน วันนี้ฉันไม่มีวันเลิกจองล้างจองผลาญแกแน่!”
เมื่อเผชิญหน้ากับหลินม่าย ซุนกุ้ยเซียงไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย
กับลูกสาวตัวเองยังต้องกลัวอะไร นางกลัวแค่คนนอก
เพราะคนนอกอาจจัดการกับนางได้ แต่ลูกสาวไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ เธอหรือจะกล้าลงมือกับแม่ตัวเอง
ตราบใดที่นังลูกไม่รักดีกล้าทุบตีตน นางจะประจานให้อับอายกันไปข้าง!
หลินม่ายเยาะเย้ย “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณจะจองล้างจองผลาญฉันยังไง!”
เธอชี้ไปที่ซุนกุ้ยเซียงและหลินเพ่ยที่หลบอยู่ตรงมุมร้าน หันไปสั่งพนักงานชายสองคนว่า “ลากพวกมันออกไปเดี๋ยวนี้!”
พนักงานชายสองคนรีบเดินเข้ามาผลักซุนกุ้ยเซียงกับลูกสาวของนางออกไปนอกร้านทันที
ซุนกุ้ยเซียงทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ตบต้นขาตัวเองแล้วเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “ทุกคนดูเอาเถอะ ผู้หญิงคนนี้มันลูกอกตัญญู เข้ามาอยู่ในเมืองแล้วหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ กินดีอยู่ดี ใช้ชีวิตสุขสบาย แต่กลับไม่สนใจว่าพ่อแม่ของตัวเองที่บ้านนอกไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวสารกรอกหม้อ!”
หลินเพ่ยเองก็ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสมเพช พร่ำพรรณนาถึงความลำบากของพ่อแม่ ให้ทุกคนรู้ว่าหลินม่ายนั้นโหดร้ายแค่ไหน
ซุนกุ้ยเซียงต้องโดนจับเข้าคุกเป็นเวลาร่วมเจ็ดวัน กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ แถมยังถูกคนร่วมห้องขังทำร้ายร่างกาย
ไม่ว่าใครเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียว อ่อนแอ และน่าสังเวชของทั้งคู่ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินเพ่ยที่ใบหน้าบวมเป่งและตามเนื้อตัวมีแต่รอยช้ำ!
ฝูงชนนักกินแตงที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางต่างชี้ไปที่ร้านเซาเข่าของหลินม่าย พากันประณามหลินม่ายว่ารวยแล้วก็กลายเป็นวัวลืมตีน แม้แต่พ่อแม่แท้ ๆ ยังไม่สนใจไยดี
นักกินแตงที่อาวุโสหน่อยถึงกับสาปแช่งขอให้หลินม่ายถูกสวรรค์ลงโทษ
โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็โกรธมาก รีบวิ่งออกไปนอกร้านทันที แล้วเปิดโปงความชั่วทุกอย่างที่ครอบครัวของซุนกุ้ยเซียงเคยปฏิบัติต่อหลินม่าย
หล่อนหันไปแค่นเสียงใส่ซุนกุ้ยเซียงอย่างดูถูก “คุณขายม่ายจื่อให้ไปเป็นสะใภ้ตระกูลอู๋ เพื่อเอาเงินสินสอดทั้งหมดมาส่งเสียลูกสาวคนโตของตัวเองให้ได้เรียนหนังสือ แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้องความกตัญญูจากม่ายจื่ออีกเหรอ? บอกให้ลูกสาวคนโตของตัวเองรู้จักกตัญญูให้ได้ก่อนเถอะ!”
เหตุการณ์กลับตาลปัตร ฝูงชนนักกินแตงพุ่งเป้าการประณามไปที่ซุนกุ้ยเซียงกับลูกสาวทันที
พอเห็นว่าเรื่องราวเริ่มบานปลาย หลินเพ่ยก็รีบกระเถิบตัวออกไป พยายามจะหลบหนี
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับร้านเซาเข่าข้าง ๆ ดังมาก จนทำให้คนในร้านของว่างเปาห่าวซือต้องออกมาดูสถานการณ์
วังเสี่ยวลี่เดินออกมาพร้อมกับหนังสือพิมพ์ ติดหน้าหนึ่งไว้หน้าประตูร้าน
พร้อมกันนั้นก็ชี้ไปที่พาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ แล้วหันไปพูดกับฝูงชนว่า “พวกคุณดูนี่ พาดหัวข่าวนี้พูดถึงเถ้าแก่เนี้ยของฉัน หล่อนเคยให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างหมู่บ้านที่ไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ควักเงินส่วนตัวเพื่อซื้อกระสอบทรายมากั้นแนวสันเขื่อนเอาไว้ แถมยังบริจาคค่าตอบแทนที่ได้จากรัฐให้กับผู้ประสบภัยอีกด้วย ถ้าพ่อแม่ของหล่อนไม่ได้เป็นฝ่ายปฏิบัติกับหล่อนอย่างเลวร้ายก่อน หล่อนจะปฏิบัติกับพวกเขาแบบนี้ไหม? ในโลกนี้ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่สมควรได้รับความกตัญญูจากลูกหรอก”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ประทานโทษนะ จะมาหาเรื่องม่ายจื่อด้วยการอ้างความกตัญญูเหรอ กระดูกมันคนละชั้นจ้า
ไหหม่า(海馬)