รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 291 ยามคราวเคราะห์มาเยือนต่างคนต่างไป พ่อบังเกิดเกล้าก็ไม่สนแล้ว!

บทที่ 291 ยามคราวเคราะห์มาเยือนต่างคนต่างไป พ่อบังเกิดเกล้าก็ไม่สนแล้ว!

บทที่ 291 ยามคราวเคราะห์มาเยือนต่างคนต่างไป พ่อบังเกิดเกล้าก็ไม่สนแล้ว!

“อมิ…ตาภพุทธ!”

พระอาจารย์เกาเซิงจากพุทธศาสนาตาเบิกกว้าง หน้าตาเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน

หัวใจธรรมมะของเขาหนักแน่นดุจหินผา ปราศจากความปรวนแปรของอารมณ์ กระนั้นวินาทีที่ได้เห็นศรของเซี่ยเหยียนตรึงบิดาฉงคูไว้บนยอดเขา เขาก็ไม่อาจสงบใจได้ไหว อารมณ์พลุ่งพล่านอย่างมาก ตะลึงงันอย่างอธิบายไม่ถูก!

ศรที่ขอบเขตเทวายิงออกไป แม้แต่อสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ผู้น่าพรั่นพรึงอย่างบิดาฉงคูยังไม่อาจต้านทาน น่ากลัวเกินไปแล้ว!

เขาจ้องคันศรในมือเซี่ยเหยียน สะท้านใจเป็นหนักหนา

นี่ต้องเป็นคันศรเช่นไรกัน?

เขาไม่เคยเห็นศัสตราน่าหวาดหวั่นเยี่ยงนี้มาก่อน!

พุทธศาสนาของเขามีการสืบสานมาไม่รู้นานเท่าใด ทั้งเก่าแก่และทรงพลัง ไม่ว่าในยุคสมัยใด พุทธศาสนาของพวกเขาก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก

ทว่าพุทธศาสนาดำรงอยู่มาระดับนี้ ยังไม่เคยมีศัสตราน่าประหวั่นพรั่นพรึงปานนี้ปรากฏ อาวุธอรหันต์อันทรงพลังที่สุดของพุทธศาสนา หลอมสร้างโดยพระอมิตาภะพุทธเจ้าด้วยตนเอง แข็งแกร่งกว่าอาวุธมหาจักรพรรดิทั่วไปมากนัก ทว่าก็ยังไม่อาจเทียบเทียมคันศรในมือเซี่ยเหยียนได้เลย!

จังหวะแห่งเต๋าที่ไหลเวียนอยู่บนคันศรสูงส่งเกินไป ไม่รู้ว่าเหนือกว่าจังหวะแห่งเต๋าขอบเขตมหาจักรพรรดิไปตั้งเท่าไร สูงส่งเสียจนรู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีความหวังว่าสามารถไล่ตามทันได้เลยสักนิด!

“ต้องเป็นยอดนิกายระดับไหน ในช่วงเวลาเก่าแก่ก่อนกาล อาณาจักรแห่งนี้ต้องน่ากลัวปานใด!?”

สีหน้าพระอาจารย์เกาเซิงคร่ำเครียดเหลือแสน ทึกทักว่าคันศรวิเศษเล่มนี้เป็นของขวัญจากยอดนิกายให้เซี่ยเหยียน

“แข็งแกร่ง…ปานนี้เชียว!”

ร่างของแม่เฒ่าตระกูลหานสั่นระรัว ไม้เท้าหลีมู่แทบพยุงร่างอันสั่นเทาของนางไม่ไหว นางเองก็สะท้านเหลือแสน คิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยเหยียนจะมีฝีมือน่าประหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้!

“อมิ…ต้าเต๋อฝอ ข้าพระพุทธไร้เกศา คนนี้แหยมด้วยไม่ไหว ต้องหนีไปให้ไกล!”

ต้าเต๋อหดหัว สายตาที่ทอดมองร่างของเซี่ยเหยียนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

เรื่องนี้มิใช่เล่น ๆ

อสูรร้ายระดับราชันศักดิ์สิทธิ์ยังต้านศรของเซี่ยเหยียนไม่ไหว เขามิบังอาจไปหาเรื่องเซี่ยเหยียน หากเซี่ยเหยียนยิงศรใส่เขาเช่นนี้ เขาคงรับไม่ไหว ได้มรณภาพ ตายลงอย่างสิ้นเชิง!

“ท่านภิกษุน้อยผู้นี้โมโหเหลือเกิน! เดิมข้าตั้งใจออกมาเฉิดฉาย เป็นที่นับถือเคารพของสิ่งมีชีวิตคณานับ กลายเป็นพระเอกของปฐพีนี้ สุดท้ายแต่ละคนที่ได้พบน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันทั้งนั้น!”

เขาถอนหายใจอย่างสลด ความฝันเป็นพระเอกของปฐพีนี้แตกสลาย

ก่อนนี้มีอ้ายฉาน ต่อมามีเซี่ยเหยียน…จะให้เขาเป็นพระเอกของปฐพีนี้ได้อย่างไร สองคนนี้ล้วนแข็งแกร่งกว่าเขา!

“ให้ตายสิ…น่ากลัวเกินไปแล้ว!”

หัวใจของฝู่ถูเต้น ‘โครมคราม’ รุนแรง ต่อให้เขาเป็นถึงนักบุญในยุคโบราณ ก็ไม่เคยพานพบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขากลัวแทบบ้า!

นักบุญโบราณคนอื่น ๆ และนักบุญในยุคนี้ รวมถึงยอดฝีมือจากตระกูลโบราณ และสำนักโบราณอื่น ๆ ต่างประหวั่นพรั่นพรึง จิตใจว้าวุ่นเหลือแสน

นี่มันเรื่องอะไรกันนี่!

เด็กสาวขอบเขตเทวาน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ???

อีกด้าน บิดาฉงคูหมดอาลัยตายอยาก ระทมใจเหลือคณา

มันผ่านสงครามใหญ่ยุคโบราณมาเช่นกัน ทว่าแม้แต่ในสงครามใหญ่ครานั้น มันยังมิเคยอยู่ในสภาพน่าเวทนาเพียงนี้ มาถึงก็โดนตรึงอยู่กับยอดเขา!

อย่าให้มันพูดเลยว่าสภาพจิตใจย่ำแย่ปานใด!

มันอยากหนีไป ไม่อยากต่อสู้อีกแล้ว

ขนาดนี้จะให้สู้ได้อย่างไร

เซี่ยเหยียนผู้มีคันศรวิเศษในมือมิใช่ผู้ที่มันจะต่อกรด้วยได้!

ด้วยขอบเขตพลังของมัน หากจะหนีมันย่อมทำได้ แม้ต้องจ่ายด้วยราคาแพงก็ตาม กระนั้นก็ยังพอหนีไปได้

ทว่า…หากมันหนีไปแล้วฉงคูบุตรชายของมันจะทำเยี่ยงไร

เซี่ยเหยียนจะยอมปล่อยบุตรชายของมันไปหรือ

มันเป็นห่วงฉงคู บุตรชายของมัน!

“นี่มัน…นี่มัน…นี่มัน!”

ฉงคูกลัวจนตัวอ่อนยวบกับพื้น สั่นระรัวไปทั้งตัว

ท่านพ่อของมันมาแล้ว เดิมมันคิดว่าบิดาสามารถกำราบได้ทั่วสารทิศ ไม่มีผู้ใดหยุดยั้ง ล้างแค้นให้น้องชายของมันได้อย่างง่ายดาย

ทว่าผลสุดท้ายกลับไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้สักนิด!

ตอนนี้อย่าว่าแต่ล้างแค้นแทนน้องชายของมันเลย ชีวิตของท่านพ่อยังอาจต้องจบสิ้นลงตรงนี้!

เสียงดัง ‘ฟิ้ว’ มันแหวกมิติหนีไป ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่เสี้ยวลมหายใจเดียว

ส่วนท่านพ่อของมัน…เฮ้อ ตามแต่สวรรค์ลิขิตเถิด!

โบราณว่าไว้มิใช่หรือ ยามคราวเคราะห์มาเยือนต่างคนต่างไป ถึงอย่างไรมันอยู่ที่นี่ต่อก็เปล่าประโยชน์ ช่วยท่านพ่อไม่ได้ มิสู้ให้มันหนี!

หากไม่หนี มันเองก็คงถึงฆาตไปด้วย!

หากท่านพ่อของมันรอดมาได้ คงไม่ตำหนิมันหรอกกระมัง ถึงอย่างไรตายคนเดียวดีกว่าตายทั้งหมด

“นี่ยังใช่ลูกในไส้อยู่หรือ???”

“พ่อแท้ ๆ ยังไม่สนเลยหรือ”

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดตาโต ไม่มีผู้ใดคาดถึงว่าฉงคูจะแหวกมิติหนี

อกตัญญูเกินไปแล้ว…ทิ้งบิดาของตนไว้โดยไม่เหลียวแล หนีไปคนเดียวเนี่ยนะ!

“ไอ้&%#…!”

บิดาฉงคูซึ่งถูกตรึงอยู่บนยอดเขาสบถก่นด่า หน้าเขียวไปหมด!

ช่างเป็นอภิชาตบุตรจริง ๆ นี่มันกระไร มันอุตส่าห์คำนึงถึงฉงคู สุดท้ายฉงคูกลับหนีไปเองหรือ!

ไอ้ระยำ!

เหตุใดมันถึงมีลูกไร้สามัญสำนึกเยี่ยงนี้!

ไอ้ตัวถ่วงพ่อ!

พาบิดาของตนมาเสียท่า ตัวเองกลับหนีไปเสียอย่างนั้น!

หากรู้อย่างนี้แต่แรก เมื่อครั้งให้กำเนิดฉงคูมันน่าจะบีบคอไอ้กตัญญูนี่ให้ตาย!

“หืม!?”

ทั้งหมดเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เซี่ยเหยียนเองก็ตั้งตัวไม่ทัน

เมื่อนางได้สติอีกครั้ง ฉงคูก็ไม่เหลือแม้เงา

นางหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง ยังไม่ทันเกิดสิ่งใดขึ้น ฉงคูก็ทิ้งบิดาของตนแล้วหนีไปเองหรือ???

เด็ดขาดอำมหิตใช้ได้!

ที่สำคัญคือนางมิได้ระแวงด้านฉงคู แต่พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่บิดาฉงคู เพราะหากนางระแวดระวังในตัวฉงคูบ้าง ฉงคูย่อมไม่มีทางหนีไปได้

เสียงดัง ‘ฟิ้ว’ นางลากคันยิงศรไปหาบิดาฉงคูอีกครั้ง!

ศรอาบแสงทะลวงอากาศ รวดเร็วเหนือจินตนาการ ทิ่มตรงไปยังหน้าผากของบิดาฉงคู!

เผ่านี้ไม่มีผู้ใดดีสักตน

น้องชายฉงคูที่ได้พบก่อนหน้าก็ใช้ผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์เป็นทาส ซ้ำยังทำท่าจะเข้ามาฆ่าพวกตนแล้วเอาเนื้อไปกิน ดุร้ายอันธพาลสิ้นดี

ภายหลัง บิดาฉงคูโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่านั้นเสียอีก

ยามมันมาถึงเขาหยงหมิง จงใจปลดปล่อยคลื่นพลังปราณอันสยดสยอง ไม่เห็นชีวิตผู้ฝึกตนคนอื่นอยู่ในสายตา ไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนและสิ่งมีชีวิตเท่าใดต้องตายด้วยคลื่นพลังปราณสยดสยองที่บิดาฉงคูจงใจปลดปล่อยออกมา

ส่วนฉงคูนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ทิ้งได้แม้กระทั่งบิดาบังเกิดเกล้า ต้องใจคอโหดเหี้ยมแน่นอน!

เพราะอย่างนั้น นางถึงไม่คิดไว้ชีวิตบิดาฉงคู นางต้องการปลิดชีพบิดาฉงคู ณ ที่นี่!

เก็บเผ่านี้ไว้รังแต่จะเป็นภัย!

ต่อให้ฉงคูหนีไปก็ไร้ประโยชน์ นางไม่มีทางปล่อยฉงคู นางต้องตามล่าฉงคูอีกครั้งเพื่อจบชีวิตของมัน!

เซี่ยเหยียนยิงศรออกไปอีกครั้ง สิ่งมีชีวิตในเขาหยงหมิงทั้งหมดหายใจหอบถี่ขึ้นมา

อสูรร้ายราชันศักดิ์สิทธิ์ต้องชีวาวายอยู่ที่นี่หรือ…?

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท