บทที่ 292 โลกใบนี้ดูแล้วไม่เห็นความหวัง จึงต้องเตรียมหาที่พึ่งพิงใหม่!
ศรอาบแสงถูกยิงออกไปในทันที แต่ทว่าบิดาของฉงคูเองก็ไม่ใช่ชนชั้นสามัญ
มันมีส่วนร่วมในมหาสงครามครั้งโบราณกาล ทั้งยังรอดมาได้ เพียงพอต่อการพิสูจน์แล้วว่าความสามารถของมันเก่งกาจไม่ธรรมดา
พึงรู้ไว้ ว่ามหาสงครามในครั้งนั้นน่ากลัวอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถอยู่รอดมาได้
“ลี้วิญญาณ!”
มันตอบสนองอย่างรวดเร็ว ใช้เคล็ดวิชาละทิ้งกายหยาบ นำวิญญาณหลบหนีออกไป
มันไม่สามารถรักษากายหยาบนี้เอาไว้ได้อย่างแน่นอน
ศรอาบแสงราวกับตะปู ตรอกตรึงกายเนื้อของมันเอาไว้อย่างสมบูรณ์โดยไม่สามารถกำจัดออกได้
พริบตาต่อมา ศรอาบแสงอีกดอกก็ปักใส่หน้าผากบิดาของฉงคู ทว่าน่าเสียดายที่วิญญาณของมันหนีไปด้วยเคล็ดวิชาแล้ว
“ถึงขีดจำกัดที่ขอบเขตข้าจะทำได้แล้ว…”
เซี่ยเหยียนถอนหายใจภายในใจ นางย่อมเห็นวิญญาณบิดาของฉงคูหลบหนีไปด้วยเคล็ดวิชา
แม้นางจะสามารถใช้คันศรราชันระเบิดพลังอันแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวออกมาได้ แต่ขอบเขตของนางยังคงต่ำกว่าบิดาของฉงคู สิ่งที่นางทำได้จึงมีเพียงเท่านี้…
นางไม่สามารถทำอะไรบิดาของฉงคูที่ใช้เคล็ดวิชาลี้วิญญาณได้
เรื่องที่เกิดขึ้นจึงจบลงโดยที่วิญญาณบิดาของฉงคูหนีไปได้
ความรู้สึกภายในใจของเหล่าคนที่เห็นเหตุการณ์ซับซ้อนยากจะบรรยายออกมาได้ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นนี้!
บิดาของฉงคูสำแดงพลังกดข่มเหล่าผู้คนในยามที่มาถึง กลับต้องทิ้งกายหยาบแล้วหลบหนีไปในตอนสุดท้าย ผลสรุปเช่นนี้อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของพวกเขา
พวกเขามองไปทางเซี่ยเหยียนด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว เซี่ยเหยียนเป็นตัวตนที่พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“เซี่ยเหยียนอยู่ข้างกายท่านเซียนเป็นเวลานาน เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด!”
ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมองไปทางเซี่ยเหยียนแล้วรำพึงขึ้นมาในใจ
เมื่อบิดาของฉงคูต้องการจะเปิดฉากฆ่าในพระราชวัง เขาและสือเฟิงเตรียมพร้อมจะลงมือหยุดยั้ง
ท่านเซียนยังคงอยู่ในพระราชวัง พวกเขาจะปล่อยให้บิดาของฉงคูทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
แม้พลังปราณของพ่อฉงคูจะน่าหวาดกลัวจนพระอาจารย์เกาเซิงและฝู่ถูนักบุญสมัยโบราณไม่สามารถต้านทานได้ แต่ไม่ใช่กับพวกเขาที่ผ่อนคลาย ไร้ซึ่งความกดดัน
บนร่างของพวกเขาล้วนมีของล้ำค่าที่ได้รับมาจากท่านเซียน อย่าพูดถึงบิดาของฉงคูเลย กระทั่งขอบเขตจักพรรดิยังไม่สามารถเอาชนะพวกเขาด้วยแรงกดดันได้เลย!
ทว่ายามที่พวกเขากำลังจะออกโรง ก็ถูกหยุดไว้โดยเซี่ยเหยียนที่ออกมาจากข้างในพระราชวัง ใช้ศรอาบแสงยิงใส่บิดาของฉงคูเสียแล้ว
ทางฝั่งพระราชวัง
หลี่จิ่วเต้าที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เซี่ยเหยียนนั้นนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
สัตว์ร้ายในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามันน่ากลัวและทรงพลังยิ่งกว่าสัตว์ร้ายที่พวกเขาพบระหว่างทางมา
ทว่าต่อหน้าเซี่ยเหยียนแล้ว สัตว์หน้าตนนี้ช่างห่างไกลกับการเป็นคู่ต่อกรของนาง
“ยอดเยี่ยม!”
เขาปรบมือให้เซี่ยเหยียน ยิ่งเซี่ยเหยียนแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น
ยิ่งเซี่ยเหยียนแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด ชีวิตของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
“พวกเราเอามันมากินเถอะ”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม ภายในใจเต็มไปด้วยความเบิกบาน สัตว์ร้ายตัวนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เนื้อของมันก็น่าจะอร่อยเป็นพิเศษ
สัตว์อสูรที่พวกอ้ายฉานล่ามาครั้งที่แล้วนั้นอร่อยเป็นอย่างมาก คิดแล้วก็อยากกินอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำว่ากินจากปากของท่านเซียน หลิงอิน อันหลานเสวี่ย และพวกอ้ายฉานก็มองไปตรงไปด้วยดวงตาลุกวาวพร้อมความรู้สึกเฝ้ารอ
เซี่ยเหยียนเก็บร่างของพ่อฉงคูไป แล้วทะยานกลับไปยังพระราชวัง
“คุณชายต้องการจะกินมันเมื่อไหร่หรือ?”
เซี่ยเหยียนถามออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“วันพรุ่งนี้ละกัน”
หลี่จิ่วเต้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เฝ้ารอคอยที่จะได้ทานมัน “พรุ่งนี้พวกเรามากินเนื้อตุ๋นกันเถอะ!”
“ตกลง!”
“เยี่ยมไปเลย!”
พวกอ้ายฉานรู้สึกตื่นเต้นจนพากันกระโดดโลดเต้นไปมา
…
“ข้าต้องขอตัวกลับไปพักผ่อน…”
กล่าวจบแล้ว แม่เฒ่าตระกูลหานก็พาคนในเผ่ากลับยังพื้นที่พักอาศัยของพวกเขา
ทว่าแม่เฒ่าตระกูลหานก็ไม่ได้พักผ่อนดังคำที่นางพูด
หลังจากกลับไปยังวังที่พักของเผ่าหานแล้ว นางก็หยิบจี้หยกโบราณออกมาด้วยสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก ก่อนจะเพ่งจิตเข้าไปในหยกโบราณ
นี่เป็นสมบัติที่บรรพชนเผ่าหานหลอมขึ้นมา นางสามารถใช้มันเพื่อติดต่อกับผู้นำเผ่าหานได้
ด้านในจี้หยกโบราณเป็นพื้นที่พิเศษ ผ่านไปไม่นานพื้นที่ว่างเปล่าก็ปรากฏความผันผวน ตามมาด้วยหนึ่งร่างจิตสำนึกโผล่ขึ้นมา นั่นคือจิตสำนึกของผู้นำเผ่าหาน
“ท่านผู้นำ!”
แม่เฒ่าคำนับผู้นำเผ่าหานทำความความเคารพ
“จี้หยกโบราณสามารถใช้งานได้เพียงสามครั้ง การที่เจ้าติดต่อข้ามาในครั้งนี้ หรือว่าจะมีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้น?”
ผู้นำเผ่าหานขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใช่แล้วท่านผู้นำ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น!”
สีหน้าของแม่เฒ่าจริงจังขณะกล่าวออกมา “มีคนจากยอดนิกายปรากฏตัวขึ้นมา!”
“อะไรนะ!”
ผู้นำเผ่าหานตัวสั่นด้วยความตกใจในสิ่งที่แม่เฒ่ากล่าวออกมา
นางรีบรายงานเรื่องราวทั้งหมดบนเขาหยงหมิงให้ผู้นำเผ่าหานฟัง
ระหว่างที่รับฟัง ผู้นำเผ่าหานก็แสดงสีหน้าตกใจอยู่ตลอด แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่ายอดนิกายนั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสหญิงพูดก็ยังคงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
สาวน้อยขอบเขตเทวาผู้หนึ่ง กลับสามารถคุกคามอสูรระดับราชันได้!
“ท่านผู้นำ พวกเรายังจะต้องดำเนินการตามแผนเดิมอยู่หรือไม่?”
แม่เฒ่าเอ่ยถามผู้นำเผ่า
ผู้นำเผ่าหานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามแม่เฒ่า “เจ้าคิดว่าจะสามารถขัดขวางสิ่งมีชีวิตจากโลกเทียนหยวนได้หรือไม่?”
แม่เฒ่าครุ่นคิดก่อนกล่าวออกมา “แทบจะเป็นไปไม่ได้…ถึงแม้ยอดนิกายจะแข็งแกร่งน่าตื่นตะลึง แต่สภาพแวดล้อมของโลกใบนี้แย่เกินไป กระทั่งยอดนิกายเองก็อาจจะไม่สามารถขัดขวางสิ่งมีชีวิตจากโลกเทียนหยวนเอาไว้ได้”
ผู้นำเผ่าหานพยักหน้า “เจ้าคิดเหมือนกับข้า”
เขายังคงกล่าวต่อไป “พลังฟ้าดินของโลกใบนี้แย่เกินไป เป็นการยากที่จะบรรลุขอบเขตระดับสูง ยอดนิกายในยามนี้ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับในสมัยโบราณ มีโอกาสน้อยมากที่จะมีผู้บรรลุขอบเขตมหาจักรพรรดิ”
“แต่ถึงจะมีขอบเขตมหาจักรพรรดิอยู่จริง โอกาสที่จะชนะก็มีอยู่ต่ำเกินไป”
“อาณาจักรเทียนหยวนนั้นเป็นหนึ่งในอาณาจักรระดับกลาง พลังฟ้าดินมีมากกว่าดินแดนของพวกเรานัก หลังจากผ่านระยะเวลายาวนาน เมื่อพวกมันหวนกลับมาอีกครั้ง จะต้องมีพลังเหนือยิ่งกว่าสมัยโบราณอย่างแน่นอน…”
ประกายของเขาเรืองวาบ “ในครั้งนี้พวกเราไม่อาจยืนอยู่ข้างโลกของพวกเราได้ พวกเราจำต้องยืนอยู่ฝั่งเดียวกับอาณาจักรเทียนหยวน!”
“แน่นอนว่ายอดนิกายย่อมเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเทียนหยวน หากเราสามารถล่วงรู้สถานการณ์ของยอดนิกายและบอกมันกับอาณาจักรเทียนหยวนได้ จะต้องนับเป็นผลงานใหญ่แน่!”
ในชีวิตนี้เขาไม่ต้องการจะเป็นศัตรูกับอาณาจักรเทียนหยวน เนื่องจากเขามองไม่เห็นความหวังที่จะได้รับชัยชนะ เขาจึงเตรียมการไปพึ่งพิงอาณาจักรเทียนหยวน!
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น จึงได้ติดต่อท่านผู้นำ!”
แม่เฒ่ากล่าว “บรรพชนของเผ่าฉงฉียังคงมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นำสามารถไปพบบรรพชนเผ่าฉงฉีเพื่อหาแนวร่วมมาจัดการกับคนจากยอดนิกายบนเขาหยงหมิง จากนั้นก็เค้นข้อมูลออกจากปากคนเหล่านี้!”
นางกล่าวต่อ “เผ่าฉงฉีได้สร้างความบาดหมางกับคนจากยอดนิกายไปแล้ว พวกเขาไม่ควรจะปฏิเสธความร่วมมือกับพวกเรา”