หินไท่หูที่สูงกว่าชายคาเรือนได้บดบังสายตาที่มองเข้ามา ต้นไผ่เขียวชะอุ่มได้แตกใบอ่อน สายลมพัดผ่าน เสียงใบไผ่เสียดสีกับลม ทำให้ลานเล็กแห่งนี้ดูเงียบสงบ
สืออีเหนียงประคองกานฮูหยินเดินอ้อมภูเขาจำลองในลานเล็กไปยังประตู
ประตูหลักถูกแง้มไว้ หน้าต่างทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกถูกเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง
นางใจลอยเล็กน้อย
ครั้งที่แล้วที่ตนมาที่นี่คือตอนที่พยุงหยวนเหนียงมา…จากนั้นก็ได้พบกับสวีลิ่งอี๋…
แม้ว่าครั้งนี้จะพยุงกานฮูหยิน แต่สถานการณ์นั้นคล้ายคลึงกันมาก
สืออีเหนียงหันไปมองกานฮูหยิน
กานฮูหยินเม้มปากแน่น แววตาสับสน สีหน้าไม่สงบนิ่งเหมือนเมื่อก่อน
เกิดอะไรขึ้นกับสกุลกาน ถึงกับทำให้กานฮูหยินเป็นเช่นนี้ได้!
นางแอบตกใจ เยี่ยนหรงนำสาวใช้น้อยเข้ามาต้อนรับ
“ฮูหยิน เก็บกวาดห้องเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า กานฮูหยินได้สติกลับมา ยิ้มแล้วพูดด้วยความเกรงใจว่า “รบกวนฮูหยินสี่แล้ว!” ร่องรอยความสุขในดวงตาได้หายไป
“ไม่รบกวนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย “ข้าส่งคนไปเชิญป้ารับใช้คนสนิทของท่านมาแล้ว!”
กานฮูหยินยิ้มแล้วเดินเข้าไปในตัวเรือนหลักพร้อมกับสืออีเหนียง
บางทีอาจเป็นเพราะห้องนี้ไม่ได้มีคนอยู่นานแล้ว แม้ว่าจะเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน แต่ทุกมุมในห้องกลับยังมีความเย็นยะเยือก
“กานฮูหยิน ต้องลำบากท่านพักอยู่ที่นี่ไปก่อน!” สืออีเหนียงพยุงกานฮูหยินไปพักบนเตียงสีดำขลับทางฝั่งตะวันออก แล้วยกถ้วยชาร้อนมาให้กานฮูหยินด้วยตัวเอง
กานฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นมาจิบก่อนจะถอนหายใจยาว สีหน้าดูผ่อนคลายลง
สืออีเหนียงหยิบหมอนอิงที่วางอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างมาหนุนไว้ด้านหลังกานฮูหยิน “ท่านเอนหลังพิงสักหน่อยเถิด เมื่อป้ารับใช้คนสนิทของท่านมาข้าก็จะไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก!” กานฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “วันนี้เป็นวันรำลึกพี่สาวของเจ้า เจ้าเองก็กำลังยุ่ง ไม่ต้องสนใจข้าก็ได้” จากนั้นก็เงยหน้ามองบรรดาสาวใช้น้อยที่อยู่ข้างกายสืออีเหนียง “ยังมีพวกนางคอยรับใช้ข้าอยู่ไม่ใช่หรือ”
สืออีเหนียงรู้สึกดีกับกานฮูหยินที่สนิทสนมกันมาตลอด จึงทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้นางอยู่เพียงลำพังทั้งๆ ที่ร่างกายยังเป็นเช่นนี้ จึงยืนกรานว่า “ก็คงแค่ครู่เดียวเท่านั้น” แล้วนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน จึงเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านหิวหรือไม่ ข้าให้คนนำขนมถั่วแดงกวนมาให้ดีหรือไม่ เผื่อท่านจะได้ทานรองท้อง จากนั้นก็พักผ่อนสักหน่อย จะได้มีชีวิตชีวามากขึ้น” พูดจบก็ไม่รอให้กานฮูหยินตอบ หันไปกำชับเยี่ยนหรงให้ไปจัดเตรียมมา
“ไม่ต้องลำบากหรอก!” กานฮูหยินรีบรั้งไว้ “ข้าไม่หิว!”
สืออีเหนียงเกลี้ยกล่อมนางอย่างอ้อมค้อมว่า “เมื่อทานแล้วถึงจะมีชีวิตชีวา หากไม่มีชีวิตชีวาทำอะไรก็จะทำได้ไม่ดี!”
กานฮูหยินฟังแล้วตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีก
สืออีเหนียงรู้สึกโล่งใจ
ยังดีที่โน้มน้าวได้
ให้สาวใช้น้อยไปเร่งเยี่ยนหรง “รีบไปยกมาเร็วเข้า!”
กานฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา หลับตาลงเอนกายพิงหมอนอิงสีเหลืองปักลายดอกพุดตาน ใบหน้าซีดขาวเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า
สืออีเหนียงช่วยจัดมุมผ้าห่มให้นาง แล้วนั่งบนเก้าอี้เป็นเพื่อนนางอยู่ข้างเตียง
ไม่นาน เยี่ยนหรงก็ยกขนมถั่วแดงกวนเข้ามา
สืออีเหนียงยกมาให้กานฮูหยินด้วยตัวเอง
กานฮูหยินฝืนกินสองสามชิ้น
สืออีเหนียงช่วยรินชาร้อนให้นางดื่มล้างปาก แล้วจัดหมอนอิงให้กานฮูหยินนอนลง จากนั้นก็ปล่อยมุ้งลงอย่างเบามือ ขณะที่กำลังจะเดินออกไปก็ถูกคว้ามือไว้
“ฮูหยินสี่…”
สืออีเหนียงก้มหน้าลง เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของกานฮูหยิน
“ไม่มีเด็กแล้ว!” เมื่อนางพูดจบน้ำตาก็ไหลพรากออกมา
ไม่มีเด็กแล้ว? เด็กของใคร
ของกานฮูหยินหรือ
สายตาของสืออีเหนียงจับจ้องไปที่ท้องของกานฮูหยิน
สีหน้าของเยี่ยนหรงพลันเปลี่ยนไป รีบโบกมือส่งสัญญาณ จากนั้นก็พาสาวใช้ปรนนิบัติออกไปจากห้องทันที ส่วนตัวเองเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
เมื่อสืออีเหนียงนึกขึ้นได้นางก็รีบคาดเดาข้อสันนิฐานของตัวเองทันที
กานฮูหยินไม่มีบุตร เฉาเอ๋อร์ หลานถิง และบรรดาบุตรคนอื่นๆ ของจงฉินปั๋วต่างก็เป็นบุตรของภรรยาเอกคนก่อน หากกานฮูหยินมีบุตรในวัยกลางคนก็นับว่าเป็นเรื่องมงคลอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นมีคนมาห้อมล้อมเอาอกเอาใจ แต่ก็คงไม่ต้องมาเหนื่อยเพราะมัวแต่ยุ่งกับงานแต่งของหลานถิงเช่นนี้!
ขณะที่กำลังครุ่นคิด กานฮูหยินก็พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ตอนยังสาว นายท่านกลัวว่าหากข้าให้กำเนิดบุตรชายแล้วจะคิดการอื่น จึงได้ป้องกันข้ามาตลอด…ข้าคิดว่าข้าคือภรรยาเอกคนที่สอง เป็นสามีภรรยากันแค่ครึ่งทาง นายท่านจะไม่วางใจก็เป็นเรื่องปกติ…ระยะทางพิสูจน์ม้า การเวลาพิสูจน์คน ตราบใดที่ข้าดีกับเขาอย่างจริงใจ ดีกับลูกๆ ของเขาอย่างจริงใจ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องเข้าใจข้าว่าข้าเป็นคนอย่างไร…แต่คิดไม่ถึงว่า…” กานฮูหยินสะอึกสะอื้น “ตอนนี้นายท่านคงคิดอยากให้ข้ามีที่พึ่งแล้ว แต่ซื่อจื่อกลับเริ่มกังวลขึ้นมา…ตอนนี้เขาก็กำลังจะเป็นท่านปู่แล้ว เด็กคนนั้นก็เป็นเพียงแค่บุตรของสาวใช้ห้องข้างที่เลี้ยงภายในนามของข้า เช่นนี้ก็ยังเอาไว้ไม่ได้หรือ” นางพูดพลางปิดปากร้องไห้เบาๆ
นางไม่ได้ปรากฏกายในงานเลี้ยงวันเพิ่มสินเดิมให้เจ้าสาว สีหน้าของนายหญิงใหญ่สกุลกานยามนั้นก็ดูตื่นเต้น วันนี้นางมาเป็นลมล้มไป ทุกอย่างล้วนมีคำตอบแล้ว
สืออีเหนียงมองกานฮูหยินที่กำลังร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้องออกมาเสียงดัง นางอดร้องไห้ตามไม่ได้
“ในเมื่อนายท่านรับรู้เข้าใจแล้ว แม้ตอนนี้ไม่มีเด็กแล้วแต่ในภายหน้าก็ยังมีใหม่ได้!” นางปลอบใจกานฮูหยิน “ท่านเองก็อย่าเสียใจไปเลย ร่างกายคือสิ่งสำคัญ!”
“มีใหม่…” กานฮูหยินส่ายหน้าเบาๆ ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “นายท่านอายุมากแล้ว…ต่อไปคงไม่มีโอกาสแล้ว…” น้ำตาใสไหลอาบแก้มของกานฮูหยินหยดลงบนหมอนสีแดงทำให้หมอนเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม นางกัดริมฝีปากแน่น ราวกับกลัวว่าตัวเองจะเสียใจจนกล้าพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมออกมา
สืออีเหนียงน้ำตาคลอเบ้า
กลัวว่าจะทำให้ใบหน้าเปรอะเปื้อน จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหางตา
******
ตั้งแต่วันนั้นที่ส่งกานฮูหยินกลับไปแล้ว สืออีเหนียงก็เหม่อลอยคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง
หู่พั่วเห็นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ “ฮูหยิน ผ่านไปอีกสองวันก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!”
“ข้าไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ข้าแค่คิดไปเรื่อยเปื่อย”
เมื่อสืออีเหนียงเริ่มเป็นผู้ดูแลอาหารการกินและของใช้ในเรือน พวกนางก็ได้พบปะกับผู้คนมากขึ้น และต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ มากมาย บางครั้งหู่พั่วก็ต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสืออีเหนียง!
หู่พั่วไม่กล้ารบกวน ทำได้เพียงดูแลเอาใจใส่ชีวิตประจำวันของนางอย่างละเอียดรอบคอบ
ล้างผลอิงเถาใส่จานแก้วแล้วยกไปด้วยตัวเอง
เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับมาจากจวนเวยเป่ยโหวแล้ว
สืออีเหนียงเรียกนางมาทานผลอิงเถา “รีบไปล้างมือแล้วมาทานผลอิงเถาเร็วเข้า!”
เยี่ยนหรงและคนอื่นๆ รีบไปตักน้ำมาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ล้างหน้าล้างมือ
เจินเจี่ยเอ๋อร์นั่งลงข้างๆ สืออีเหนียงอย่างกระตือรือร้น
“เป็นอย่างไรบ้าง” สืออีเหนียงดันจานแก้วที่ใส่ผลอิงเถา “ที่จวนนั้นสนุกหรือไม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ฟังเจี่ยเอ๋อร์กับพี่หญิงลูกพี่ลูกน้องของนาง แล้วก็เสียนเจี่ยเอ๋อร์กับสือเอ้อร์อี๋ น้องหญิงลูกพี่ลูกน้องของนาง แล้วยังมีคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ และคุณหนูสองท่านจากจวนสกุลเหลียง…ต้องยกโต๊ะมาวางเรียงกันสามโต๊ะถึงจะนั่งพอกัน ตอนนี้ทุกคนกำลังเล่มเกมส่งดอกไม้กัน!”
นางไปตอนต้นยามอู่ ตอนนี้ต้นยามเว่ย ไปเพียงหนึ่งชั่วยามครึ่ง แค่ทานอาหารกลางวันตามนัดแล้วก็กลับมา
“รู้สึกเสียดายหรือไม่” สืออีเหนียงยิ้มพลางมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ คนอื่นๆ กำลังเล่นสนุกอยู่ที่นั่น แต่นางกลับต้องกลับมา
“ไม่เสียดายเจ้าค่ะ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มอย่างสดใส “พอฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เห็นข้ามาก็ดีใจมาก” จากนั้นก็พูดต่อว่า “ท่านป้าสองพูดถูกแล้ว ข้ายังไม่สิ้นสุดพิธีไว้ทุกข์ งานเช่นนี้ควรไปเข้าร่วมให้น้อยจะดีกว่า!” จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง ท่าทางออดอ้อนเล็กน้อย “ท่านแม่เจ้าคะ ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว”
เมื่อมองเห็นรอยยิ้มของนาง สืออีเหนียงก็ยิ้มพลางโอบไหล่นางไว้ “รู้ก็ดีแล้ว อีกสักครู่เมื่อกลับไปก็อย่าลืมบอกกับท่านป้าสองเช่นนี้ด้วยเล่า”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความลังเล
“มีอะไรหรือ” สืออีเหนียงถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เจินเจี่ยเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “สองวันมานี้ท่านป้าสองดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร”
ตั้งแต่ที่นายหญิงเซี่ยงกลับสกุลเดิมไปเยี่ยมพี่สะใภ้ของนาง ฮูหยินสองก็กลับไปสกุลเดิมสองครั้ง ครั้งหนึ่งบอกว่าไปถามอาการป่วยที่จวนสกุลเดิมของนายหญิงเซี่ยง อีกครั้งหนึ่งบอกว่าใต้เท้าเซี่ยงไปเข้ารับตำแหน่งส่วนนายหญิงเซี่ยงก็เดินทางไปส่ง แต่สีหน้าของฮูหยินสองยังคงเฉยเมยมาตลอด สืออีเหนียงเองก็ค่อนข้างยุ่ง ตอนที่เจอกันที่เรือนไท่ฮูหยินจึงไม่ได้สังเกตนางอย่างละเอียด
นางพูดพึมพำว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงไม่มีความสุข”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดต่อว่า “ข้าเห็นว่าหลายวันมานี่พี่เจี๋ยเซียงทำอะไรระมัดระวัง แล้วยังตำหนิสาวใช้น้อยเสียงดังอีก”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “แบบนี้แปลว่าไม่มีความสุขหรือ พี่หู่พั่วของเจ้าก็ตำหนิสาวใช้น้อยอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ”
“ไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่เป็นคนอารมณ์ดี แม้ว่าทุกคนจะเคารพท่าน แต่ก็เห็นได้ว่าไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวท่านเลย สาวใช้น้อยไม่รู้ความเหล่านั้นจึงทำตัวเป็นกันเองกับท่านทำให้เกินขอบเขตไปบ้าง หากพี่หู่พั่วไม่ตำหนิ สาวใช้น้อยเหล่านั้นก็จะไม่รู้จักกฎเกณฑ์ แต่ท่านป้าสองเป็นคนเคร่งขรึมมาก เดิมทีเมื่อทุกคนเห็นนางก็พากันตัวสั่นไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหยอกล้อ พี่เจี๋ยเซียงก็ไม่ใช่คนโมโหง่าย แต่ตอนนี้กลับตำหนิสาวใช้น้อย…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็พึมพำอย่างอดไม่ได้ “ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะท่านป้าสองอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นพอได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ ก็จะรู้สึกหงุดหงิด…พี่เจี๋ยเซียงถึงได้โมโหเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไม่ได้มีความคิดในการแบ่งแยกชนชั้น แม้ว่านางจะเคารพกฎเกณฑ์ แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจการกระทำที่เกินขอบเขตเหล่านั้น
บรรดาสาวใช้น้อยอายุยังน้อย เวลาอยู่ต่อหน้าตนจึงค่อนข้างผ่อนคลาย ไม่เหมือนกับบรรดาป้ารับใช้เหล่านั้น แต่ละคนต่างก็ถูกพวกนางจับผิด ซ้ำยังยิ่งเดาก็ยิ่งแม่น ทำตัวหน้าไหว้หลังหลอก ทำให้รู้สึกน่ากลัวเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม เจินเจี่ยเอ๋อร์สังเกตได้ละเอียดจริงๆ!
ฮูหยินสองไม่ต้องดูแลจวน และไม่มีลูกๆ ที่ซุกซน แม้ว่าการหมั้นหมายของสวีซื่ออวี้จะไม่ราบรื่น แต่ก็ไม่มีคำพูดที่แน่นอนว่าสกุลเซี่ยงจะไม่ตอบตกลง ที่นางอารมณ์ไม่ดี หรือว่าจะเป็นเพราะสกุลเซี่ยงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้คำตอบสกุลสวีสักที
หลังจากส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปแล้ว สืออีเหนียงก็ให้หู่พั่วไปสืบสถานการณ์ที่ฮูหยินสองกลับสกุลเดิม
วันรุ่งขึ้นหู่พั่วก็มารายงาน
“ได้ยินสาวใช้แรงงานที่ติดตามรถบอกว่าฮูหยินสองไปสกุลเดิมของนายหญิงเซี่ยงเพื่อถามอาการป่วย อยู่ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ยังไม่ทันได้ทานข้าวก็ออกมาแล้ว ตอนนั้นใต้เท้าเซี่ยงเป็นคนส่งฮูหยินสองที่ประตูฉุยฮวา ฮูหยินสองถามใต้เท้าเซี่ยงว่าจะกลับมาเมื่อไร ใต้เท้าเซี่ยงมีท่าทางอึดอัด บอกว่าอย่างไรก็ต้องรอให้นายหญิงเกาพี่สะใภ้ของนางหญิงเซี่ยงหายดีก่อนแล้วค่อยกลับไป ฮูหยินสองถอนหายใจ ไม่ได้พูดอะไรก็กลับมาแล้ว ต่อมาก็กลับสกุลเดิม นายหญิงเซี่ยงกับคุณชายน้อยและคุณหนูยังไม่ได้กลับมา ป้ารับใช้คนสนิทของนายหญิงเซี่ยงสั่งให้บ่าวรับใช้ที่จวนยกหีบขึ้นรถม้า ก่อนหน้านี้ยังกำชับว่าทานอาหารเย็นก่อนแล้วค่อยกลับจวน แต่พอภพค่ำก็มีบ่าวรับใช้จากจวนสกุลเกามาบอกว่านายท่านใหญ่สกุลเกาได้ยินว่าใต้เท้าเซี่ยงกำลังจะเข้ารับตำแหน่ง จึงมีคำสั่งให้ใต้เท้าเซี่ยงรีบไป ฮูหยินสองจึงยังไม่ทันได้ทานข้าวเย็นก็ต้องกลับจวนมาแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงเซี่ยงอยู่ที่สกุลเดิมตลอดกระทั่งไม่ได้ส่งสามีตัวเอง ฮูหยินสองไปดูอาการป่วยที่จวนสกุลเกาแต่ก็ไม่ได้อยู่ทานข้าว สองพี่น้องกำลังคุยกัน ใต้เท้าเซี่ยงก็ถูกบ่าวรับใช้ของจวนสกุลเกามาเรียกตัวไป…
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะไม่สงบลงเร็วๆ นี้!