เมื่อองค์รัชทายาทได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงกว่าเดิม
ฮ่องเต้ไม่ถามถึงผลลัพธ์ ไม่ถามถึงเหตุผล เพียงแต่ถามความคิดของเขาในขณะนั้น
เห็นได้ชัดว่าไม่ให้โอกาสเขาแก้ตัว
ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้เป็นครั้งแรก หากมีเพียงพวกเขาสองพ่อลูกคงจะดี เขาแค่ยอมรับความผิดต่อหน้าเสด็จพ่อ
แต่บัดนี้ เวลานี้ ภายในตำหนักมีขุนนางกว่าสิบคนยืนอยู่ พวกเขาล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก องค์รัชทายาทที่คุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่เพียงแต่เป็นบุตรชาย หากแต่ยังเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป หากเขายอมรับความผิดพลาด เขาจะเป็นอย่างไรในสายตาของขุนนางในราชสำนัก
“ฝ่าบาท” ขุนนางผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์รัชทายาทคุกเข่าลงโค้งคำนับ “องค์รัชทายาทไม่ได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ สถานการณ์ในตอนนั้นวิกฤตเกินไป มีชาวบ้านบางส่วนในหมู่บ้านซ่างเหอสมรู้ร่วมคิดกับคนเหล่านี้ด้วย ยากที่จะแยกแยะฝ่ายศัตรู องค์รัชทายาทจึงต้องระมัดระวังพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์รัชทายาทและขุนนางที่อยู่ในซีจิงในเวลานั้นต่างทูลขึ้น
“ฝ่าบาท คนกลุ่มนี้ก่ออาชญากรรมมากมาย ร้ายกาจยิ่งนัก ทำให้จิตใจของชาวซีจิงปั่นป่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดขององค์รัชทายาท แต่เพราะคนกลุ่มนี้กำลังกระทำการชั่วร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก มีขุนนางบางคนลุกขึ้นมาตำหนิ “เหตุใดเวลานั้นจึงปิดบังเรื่องนี้ คดีหมู่บ้านซ่างเหอถูกประกาศออกมาในไม่กี่วันต่อมา บอกว่าเกิดจากการถูกคนร้ายปล้นทรัพย์ อีกทั้งยังไล่ล่าคนร้ายอย่างเอิกเกริก แต่ไม่ได้เอ่ยถึงว่าคนร้ายเสียชีวิตแล้วในหมู่บ้าน”
ดังนั้น ถึงแม้ทั้งเมืองซีจิงตกใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก
“เรื่องเช่นนี้พูดเพื่ออันใด” ขุนนางคนหนึ่งโต้แย้ง “มีแต่จะทำให้เกิดความอกสั่นขวัญแขวนของคนในเมือง”
ภายในตำหนักตกอยู่ในความโต้เถียง ขัดจังหวะคำถามและคำตอบระหว่างฮ่องเต้กับองค์รัชทายาท
ภายในตำหนักของฮองเฮาที่ทราบข่าว องค์ชายห้ากระสับกระส่ายนั่งไม่ติด “เสด็จพ่อจะลงโทษองค์รัชทายาทจริงหรือ”
ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “หากคิดจะลงโทษองค์รัชทายาท เขาต้องปลดตำแหน่งฮองเฮาของข้าเสียก่อน มิฉะนั้นข้าไม่มีทางยอม องค์รัชทายาททรงงานหนักในซีจิง ต้องทนความลำบากมากเพียงใด เวลานี้แผ่นดินสงบสุขแล้ว คิดจะใช้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มาลงโทษองค์รัชทายาท?”
“เสด็จแม่อย่ากังวล” องค์ชายห้าตรัส “มีคนต้องการใส่ร้ายองค์รัชทายาท” เขาหันหน้าไปถามขันทีที่ยืนอยู่ข้างๆ “องค์ชายท่านอื่นเสด็จไปแล้วหรือไม่”
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ได้เรียกตัวเหล่าองค์ชาย แต่ในฐานะพี่น้องขององค์รัชทายาทย่อมต้องไปคุกเข่ารอคอยอยู่ด้านนอกพระตำหนัก เพื่อแสดงความรับผิดชอบร่วมกันกับองค์รัชทายาท อีกทั้งเป็นการสนับสนุนองค์รัชทายาทด้วย
น้อยครั้งมากที่องค์รัชทายาทจะทำให้ฮ่องเต้ทรงโกรธ แต่เคยมีเรื่องการโต้เถียงเกี่ยวข้องกับราชสำนักหนึ่งถึงสองครั้ง ตอนที่ฮ่องเต้ตำหนิองค์รัชทายาท ทุกคนล้วนทำเช่นนี้ เมื่อเห็นพี่น้องสมานฉันท์กัน ฮ่องเต้จึงหายโกรธ
ขันทีผู้นั้นส่ายหน้าด้วยความเกรงกลัว “ไม่ ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายห้าตกตะลึง “ไม่มีหมายความว่าอย่างไร”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ หมายถึงไม่มีผู้ใดไป” ขันทีเงยหน้าขึ้นทูล “องค์ชายสองตรัสว่าเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นอยู่กับฝ่าบาทที่จะทรงตัดสินพระทัย เขาไม่อาจแทรกแซงได้ จึงไม่ได้เสด็จไป ส่วนองค์ชายสามกำลังทรงงานนโยบายคัดเลือกขุนนาง ห่างไกลไม่ได้ องค์ชายสี่เห็นว่าไม่มีผู้ใดไป จึง…”
องค์ชายห้ายกเท้าขึ้นถีบ ขันทีผู้นี้กุมท้องคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าร้องไห้หรือโอดครวญความเจ็บปวด ฟังองค์ชายห้าด่าทอด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าพวกนี้!” ก่อนจะเดินผ่านเขาออกไป
ตอนที่องค์ชายห้าเสด็จมาถึงพระตำหนักใหญ่ เขาไม่ได้ถูกรั้งเอาไว้ เข้าไปด้านในได้อย่างราบรื่น
เสียงภายในตำหนักดังโหวกเหวก องค์รัชทายาทคุกเข่าอยู่ด้านหน้า ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร องค์ชายห้าเข้าไปคุกเข่าลงข้างตัวองค์รัชทายาท
ฮ่องเต้เหลือบมองเขา ยกมือขึ้น “เอาเถิด เงียบเสีย”
เสียงถกเถียงภายตำหนักหยุดลง ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน เดินลงไปสองสามก้าว
“พวกเจ้าล้วนพูดมีเหตุผล” เขาพูด “แต่ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้”
เขามองไปยังองค์รัชทายาท
“ข้าเปลี่ยนคำถามใหม่ จิ่นหยง เจ้าบอกว่ามีโอกาสได้ครุ่นคิด ข้าถามเจ้า หากเวลานั้นโจรร้ายใช้ชีวิตของผู้คนในหมู่บ้านซ่างเหอเป็นตัวประกัน บังคับให้เจ้าถอยหลัง รอเจ้าเลือก เจ้าจะเลือกอย่างไร”
ภายในตำหนักเงียบสงบลง หัวใจขององค์รัชทายาทเย็นวาบ เสด็จพ่อต้องการลงโทษเขาให้ได้
เลือกไม่สนใจชีวิตของผู้คนในหมู่บ้าน เขาย่อมกลายเป็นคนไร้ความเมตตา
หากเลือกรักษาชีวิตของผู้คนในหมู่บ้าน ปล่อยโจรร้ายไป นอกจากได้รับคำชื่นชมว่ามีจิตใจเมตตาแล้ว ยังมีคำติอย่างไร้ความสามารถ
สิ่งสำคัญคือเรื่องนี้เป็นแค่สันนิษฐาน ความจริงแล้วโจรร้ายและผู้คนในหมู่บ้านล้วนตายไปแล้ว เช่นนั้นข้อสรุปภายในใจของทุกคนเป็นอย่างไร
คนบาปที่ฆ่าล้างหมู่บ้านย่อมเป็นเขา…
องค์ชายห้าเรียกขาน “เสด็จพ่อ…”
ฮ่องเต้ตะโกน “ข้าไม่ได้ถามเจ้า เจ้าเป็นองค์รัชทายาทหรือ เจ้าอยากเป็นองค์รัชทายาทหรือ”
ฮ่องเต้โกรธมาก แม้แต่คำพูดเช่นนี้ก็ทรงเอ่ยออกมาได้ องค์ชายห้าตัวแข็งทื่อ
เรื่องถึงตอนนี้ มีเพียงก้าวข้ามด่านนี้ไปก่อน องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้น “เสด็จพ่อ กระหม่อม…”
ขณะที่องค์รัชทายาทกำลังเปิดปาก มีเสียงชราดังขึ้นจากนอกพระตำหนัก “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาการเลือกขององค์รัชทายาท”
เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ทุกคนในตำหนักมองไป เห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินเข้ามา ตามด้วยทหารอีกสองคน ถือกล่องสองใบไว้ในมือ
ฮ่องเต้สีหน้าดำทะมึน “ท่านแม่ทัพหมายความอย่างไร”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กคารวะ เอ่ยขึ้น “กลุ่มโจรนั้นไม่ใช่ราษฎรของซีจิงโดยแท้จริง หากแต่เป็นทหารที่ท่านอ๋องฉีแทรกแซงไว้ในซีจิง”
ที่แท้เป็นอย่างนั้นหรือ ขุนนางภายในตำหนักตกตะลึง
“จุดประสงค์ของพวกเขาคือใช้ประโยชน์จากการย้ายเมืองหลวงก่อกวนเมือง ปั่นป่วนเบื้องพระยุคลบาท” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดต่อ “ดังนั้นไม่ว่าองค์รัชทายาทจะตัดสินพระทัยอย่างไร ผู้คนในหมู่บ้านซ่างเหอก็ย่อมต้องตาย”
สีหน้าของฮ่องเต้ลังเล หัวใจที่เย็นยะเยือกขององค์รัชทายาทคุกเข่าอยู่บนพื้นค่อยๆ อุ่นขึ้น เขาก้มหน้าสะอื้น “เป็นเพราะกระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่รู้เรื่องนี้”
ขุนนางคนหนึ่งถาม “ท่านแม่ทัพมีหลักฐานหรือไม่ พวกเราได้ตรวจสอบตัวตนของผู้ก่อการจลาจลเหล่านี้ในภายหลัง พวกเขาก็คือคนของซีจิงจริงๆ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “คนเหล่านี้ถูกท่านอ๋องฉีแทรกแซงไว้ในซีจิงหลายปีก่อน เป็นความลับอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะการเรียกคืนเมืองฉี ตรวจสอบจำนวนทหาร ข้าคงไม่พบ” เขาหันหลังชี้ไปยังกล่องไม้สองใบในมือของทหารสองคนด้านหลัง
“จำนวนทหารของเมืองฉีไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก ข้าสืบมาเป็นเวลานาน พบว่าหนึ่งในนั้นอยู่ที่ซีจิง”
“คนของข้าในเมืองซีจิงสืบหาเสมอมา ระยะนี้ถึงได้รู้ว่าถูกกวาดล้าง แต่เนื่องจากตัวตนมาถูกเปิดเผย ดังนั้นจึงไร้ร่องรอย”
“สิ่งนี้คือบันทึกย้อนหลังสิบปี คนเหล่านี้ชื่ออันใด มีต้นกำเนิดจากที่ใด รวมไปถึงไปอยู่ในซีจิงในฐานะใด เปลี่ยนเป็นชื่อใด ล้วนตรวจสอบได้”
“ขอฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร”
ทหารคนหนึ่งยกกล่องไม้ขึ้น ขันทีจิ้นจงเดินลงมานำกล่องไม้ขึ้นไปให้ฮ่องเต้ด้วยตนเอง
ฮ่องเต้หยิบกระดาษออกมาหลายใบ กวาดตามอง ไม่พูดสิ่งใด
“กระหม่อมคิดว่าคดีหมู่บ้านซ่างเหอมุ่งเป้าไปที่องค์รัชทายาท ดังนั้นไม่ว่าองค์รัชทายาทจะครุ่นคิดอย่างไร ชาวบ้านเหล่านั้นย่อมต้องตาย โชคดีที่องค์รัชทายาทมีความเด็ดขาด” แม่ทัพหน้ากากเหล็กกล่าว มองไปยังองค์รัชทายาทที่คุกเข่าอยู่ “ไม่เช่นนั้นหากปล่อยคนเหล่านี้ไป จะเกิดคดีหมู่บ้านซ่างเหออีก อีกทั้งการปรากฏตัวของเด็กกำพร้าหมู่บ้านซ่างเหอในขณะนี้ก็เป็นการใส่ร้ายองค์รัชทายาทด้วย”
“ชื่อเสียงขององค์รัชทายาทเสื่อมเสีย พระราชวังวุ่นวาย ฝ่าบาทย่อมต้องกังวลใจ ประกอบกับการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยมในหมู่บ้าน ผู้คนในแผ่นดินย่อมตื่นตระหนก”
“เด็กกำพร้าเหล่านี้แอบซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆ ไร้ร่องรอย แต่กลับปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวงอย่างกะทันหัน มันไม่ใช่สิ่งที่เด็กกำพร้าจะทำได้”
“หลังจากที่กระหม่อมสืบพบว่าคดีของหมู่บ้านซ่างเหอเกี่ยวข้องกับทหารของท่านอ๋องฉี กระหม่อมจึงรีบสืบหาผู้สมรู้ร่วมคิดในเวลานั้น หลังจากที่เด็กกำพร้าของหมู่บ้านซ่างเหอเหล่านี้ปรากฏตัว ร่องรอยของคนเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น กระหม่อมจับกุมพวกเขาหลายคนแล้ว เวลานี้พวกเขากำลังถูกพาตัวกลับเมืองหลวง สิ่งนี้คือบันทึกกาสอบปากคำ”
เขาส่งสัญญาณให้ทหารอีกคนที่อยู่ข้างหลังเขา ทหารคนนั้นก้าวไปข้างหน้ายกกล่องไม้อีกใบขึ้นมา
ฮ่องเต้รับมากวาดตาดู ก่อนจะโยนกล่องไม้ทั้งสองใบลงมาด้วยความโกรธ
“ท่านอ๋องฉี!” เขาตะโกน “ไม่รู้สำนึก! บังอาจยิ่งนัก!”
เหล่าขุนนางทั่วทั้งตำหนักต่างคุกเข่า “ฝ่าบาททรงระงับความโกรธพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทก็โน้มตัว ตะโกน “กระหม่อมไร้ความสามารถ” น้ำตาหลั่งไหลลงมา แต่น้ำตาและร่างกายในเวลานี้ล้วนอบอุ่น
ต่อมา แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงโกรธมากเพียงใด ก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว